ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 41 เว้นแต่ว่าข้าตาย + บทที่ 42 โมโหโทโส
บทที่ 41 เว้นแต่ว่าข้าตาย + บทที่ 42 โมโหโทโส
Ink Stone_Romance
บทที่ 41 เว้นแต่ว่าข้าตาย
นางเฉินเห็นหนิงเมิ่งเหยาหัวเราะ นางจึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เจ้าขำด้วยเรื่องอันใดกัน?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยว่าท่านป้ายังนอนไม่ตื่นใช่หรือไม่? หรือว่ากำลังฝันอยู่? อยากให้ข้าขอโทษลูกสาวของท่านเช่นนั้นหรือ? ลูกสาวของท่านมีคุณสมบัติอันใดที่จะทำให้ข้าต้องกล่าวคำขอโทษได้กันเล่า? แล้วอยากให้ข้ากล่าวขอโทษต่อหน้าชาวบ้านด้วย? ท่านจะใช้ตำแหน่งอันใดมาร้องขอให้ข้าต้องกล่าวคำขอโทษเช่นนั้นหรือ?” คนอย่างหนิงเมิ่งเหยาน่ะหรือจะกลัวซิ่วไฉ? แน่นอนว่าไม่
หากจะกล่าวให้ดูดีสักหน่อยก็คือลูกชายของนางนั้นมีอำนาจชื่อเสียง แต่หากจะกล่าวในทางด้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนั้น ลูกชายของนางก็เป็นเพียงแค่ซิ่วไฉจนๆ ขนาดมารดาของซิ่วไฉเพียงคนเดียวก็ยังเรียกร้องขนาดนี้ พูดจาราวกับว่าสิ่งที่นางพูดนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องชัดเจน นางคงเชื่อสุดใจว่าตัวเองมีความสลักสำคัญเสียเหลือเกิน
“เจ้า…”
“ที่ข้าเรียกท่านว่าป้านี่ยังถือว่าสุภาพแล้ว ท่านคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะกลัวท่าน? แทนที่จะมาก่อกวนข้า สู้ท่านกลับบ้านไปอบรมลูกสาวตัวเองเสียยังจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำตัวเองให้อับอายขายขี้หน้าต่อหน้าประชาชนอีก”
นางคิดว่าหนทางที่นางเลือกใช้นี้ยังถือว่าใจดีมากแล้ว ถึงแม้ว่าแม่ผู้หญิงคนนี้จะไม่รู้สึกซาบซึ้งถึงบุญคุณ แต่นางก็ควรที่จะยินยอมทำตามคำขอ และหนทางนี้เองที่จะเป็นตัวช่วยรักษาชื่อเสียงในตัวลูกสาวของนางเอาไว้ด้วย แต่ใครจะไปคาดคิดว่าแม่คนนี้จะไม่ยอมทำตาม?
“เจ้าแยกผิดชอบชั่วดีไม่ออกหรือ”
หนิงเมิ่งเหยายิ้มบาง ๆ สายตาที่มองไปยังนางเฉินนั้นดูไม่ยี่หระ “ท่านป้า ท่านจะทำเช่นไรก็แล้วแต่ท่าน ข้าจะรอ”
นางควรจะหวาดกลัวต่อหญิงสาวชาวบ้านเพียงคนเดียวหรือ? แน่นอนว่าไม่ นางจะใช้วิธีการใดก็ได้ตามแต่ที่ใจนางต้องการ และถ้าหากนางอยากจะไล่หนิงเมิ่งเหยาออกไปจากที่นี่ ก็มารอดูกันว่านางจะมีความสามารถทำได้จริงอย่างที่พูดหรือไม่
นางเฉินโกรธจัดจนตาเขียวปั้ด กัดฟันกรอดพลางจ้องเขม็งไปยังหนิงเมิ่งเหยา ในที่สุดนางก็กระทืบเท้าจากไปเมื่อเห็นว่าไม่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์อันใดจากหนิงเมิ่งเหยาได้อีก
ร่างที่ค่อย ๆ ลับสายตาไปนั้นทำให้หนิงเมิ่งเหยาเหยียดยิ้มเล็กน้อย อยากจะแก้แค้นงั้นหรือ? เช่นนั้นนางจะรอดู
หยางชุ่ยกำลังรอคอยมารดาของตนอยู่ที่บ้าน เมื่อเห็นนางเฉินกลับมาด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ใจนางก็พลันเกิดความสงสัยขึ้นมา ไม่ใช่ท่านแม่ไปจัดการยายผู้หญิงสำส่อนนั่นหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาด้วยท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนั้นกัน?
นางเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ยายผู้หญิงบ้านั่นมันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แม่ว่าเราต้องเรียกพี่ชายเจ้ามาจัดการ” นางเฉินกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
หยางชุ่ยมองนิ่ง มีความตะขิดตะขวงใจปรากฏอยู่ภายในสายตายามเมื่อมองมารดาของตน ท่านแม่ของนางไม่ได้อะไรกลับมาจากหนิงเมิ่งเหยาเลยหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
แต่ถึงแม้ว่าภายในใจของหยางชุ่ยจะตกตะลึงพรึงเพริดเพียงใด สุดท้ายแล้วนางก็เรียกตัวลูกชายของตน หยางฮว๋าย ให้กลับมาที่บ้าน
สามวันต่อมา นางก็พาหยางฮว๋ายซึ่งเพิ่งมาถึงไปที่หน้าประตูบ้านของหนิงเมิ่งเหยาอีกครั้ง หนิงเมิ่งเหยายังคงสอนหนังสือให้เด็กๆ อยู่
หยางฮว๋ายยืนฟังเสียงการสอนอันแสนไพเราะอยู่ด้านนอก สิ่งที่นางอธิบายอยู่นั้น แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เขาเคยรับฟังมาก่อนก็จริง แต่เมื่อฟังการสอนของนางแล้ว เขากลับรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะมาเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังอย่างถ่องแท้ก็วันนี้ เป็นเวลาชั่วอึดใจที่เขารู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไปในนั้น
เมื่อเห็นว่าลูกชายของนางไม่พูดไม่จา เอาแต่ฟังเสียงจากด้านในแทน ใบหน้าของนางเฉินก็อัปลักษณ์ยิ่งขึ้นไปอีก
“เจ้าลูกชาย เจ้าทำอะไร? ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้รักษาหน้าของน้องสาวเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาฟังการสอนของยายผู้หญิงสำส่อนนั่น” นางเฉินจ้องมองลูกชายอย่างหงุดหงิด
หยางฮว๋ายขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยเพราะเห็นว่านางเป็นมารดา เขาจึงไม่ได้ขัดอะไร แต่คำพูดคำจาอันหยาบคายและท่าทีของนางนั้นทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ นางเป็นหญิงสาวยังไม่ได้หมั้นหมาย โปรดอย่าเรียกนางว่าผู้หญิงสำส่อนได้หรือไม่? ผู้อื่นมาได้ยินเข้าจะเข้าใจว่าท่านเป็นคนต่ำทรามเอาได้” หยางฮว๋ายกล่าว คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของนางเฉินดำคล้ำขึ้นไปอีก
นางเฉินตวัดสายตาไปยังลูกชายด้วยความโกรธ “เจ้าชอบยายผู้หญิงแพศยาพรรค์นั้นรึ? ข้าจะบอกไว้ ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าอย่าได้มีความคิดเช่นนั้นเป็นอันขาด”
หนิงเมิ่งเหยาได้ยินเสียงด้านนอกจากข้างใน นางทำเพียงขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ กำลังหัดเขียนตัวอักษรกันอยู่ นางก็วางหนังสือในมือลงและเดินออกไป หนิงเมิ่งเหยาเห็นนางเฉินกำลังหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นเรื่อยๆ “พวกท่านสองคนทำอะไรกัน? ถ้าจะมาก่อปัญหาละก็ช่วยกลับมาอีกทีตอนบ่ายก็แล้วกัน ข้ายังมีเรื่องต้องทำอยู่”
“ยายผู้หญิงแพศยา…”
“แม่นาง พวกเราต้องขออภัยด้วยที่รบกวนเจ้าตอนกำลังสอนหนังสือเด็กๆ” หยางฮว๋ายค้อมตัวแสดงความเคารพต่อหนิงเมิ่งเหยาและกล่าวขออภัย
การเรียนการสอนของหนิงเมิ่งเหยานั้นแตกต่างจากบรรดาอาจารย์ที่สำนักของเขายิ่งนัก แต่กลับดูมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังเข้าใจง่ายกว่าอีกด้วย
บทที่ 42 โมโหโทโส
ตอนนางเฉินมาถึงพร้อมกับลูกชาย นางมีทีท่าอวดดียโสโอหัง แต่เมื่อเห็นลูกชายของตนปฏิบัติตัวสุภาพกับผู้หญิงที่นางเกลียดชัง ซ้ำยังถึงกับกล่าวขอโทษอีก ภาพที่เห็นทำให้นางรู้สึกราวกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
“ไม่เป็นไร แต่หากท่านไม่มีเรื่องอันใดแล้ว กรุณากลับไปเสียเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาออกคำสั่งในทันที
ความโกรธในตัวของนางเฉินวิ่งพล่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อเห็นท่าทีอันหยิ่งยโสของนาง นางจ้องเขม็งไปยังหนิงเมิ่งเหยาอย่างโกรธเคือง ชี้นิ้วไปที่นางพร้อมกับคำรามด้วยความเดือดดาล “หนิงเมิ่งเหยา ยายผู้หญิงสำส่อน! แกมันแพศยา กล้าดียังไงถึงมายั่วยวนลูกชายของข้า! ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลเป็นอันขาด!”
หนิงเมิ่งเหยามุ่นหัวคิ้ว รูในสมองของยายป้านี่คงใหญ่น่าดูเลยสิท่า? นางไปพูดตั้งแต่เมื่อไรกันว่าอยากจะแต่งเป็นสะใภ้บ้านนาง?
“ท่านป้า ท่านเป็นโรคหลอกตัวเองหรือ?” หนิงเมิ่งเหยาจ้องมองนางเฉิน
นางเฉินถลึงตาใส่หนิงเมิ่งเหยาพลางกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เรียกแกว่าเป็นหญิงสำส่อนยังน้อยไป”
หนิงเมิ่งเหยาเห็นว่านางเฉินคงจะพูดจาภาษามนุษย์มิรู้ความ นางจึงหันหน้าไปมองหยางฮว๋าย “มารดาท่านมีอาการป่วยที่ตรงนี้ใช่หรือไม่?” นางชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง
หยางฮว๋ายกระตุกริมฝีปากและมองหนิงเมิ่งเหยาโดยไม่พูดอะไร ทุกคนในหมู่บ้านไป๋ซานล้วนรู้กันทั่วว่าเขาเป็นซิ่วไฉ ดังนั้นถึงแม้ว่ามารดาของเขาจะปฏิบัติตนเลยเถิดไป แต่ก็ไม่มีใครถือสาหาความเพราะเห็นแก่หน้าเขา
เขาไม่เคยเจอผู้ใดที่ปากกับใจตรงกัน และยังขวานผ่าซากเฉกเช่นหนิงเมิ่งเหยามาก่อน
เขาพูดอะไรไม่ออก และรู้สึกอับอายขายขี้หน้าในขณะเดียวกัน
“ท่านแม่ ท่านอย่าทำตัวเช่นนี้ได้หรือไม่?” หยางฮว๋ายรู้สึกอับอายยิ่งนัก เขากล่าวกับนางเฉินอย่างอับจนหนทาง
“หยางฮว๋าย ข้าพาเจ้ามาด้วยวันนี้เพื่อที่จะให้เจ้ามาช่วยทำให้ยายผู้หญิงสำส่อนนี่มันขอโทษน้องสาวเจ้า และเพื่อเป็นพยานให้พวกเรา ถ้าไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงไม่จบเสียที” นางเฉินเถียงกลับอย่างระอาใจและแค้นเคือง นางไม่ไว้หน้าลูกชายของนางแม้สักนิด
เมื่อหยางฮว๋ายอยากจะโต้กลับ หนิงเมิ่งเหยาก็พูดขัดขึ้นมา “ลูกสาวของท่านปีนกำแพงบุกเข้าบ้านผู้ชาย และเพียงเพราะว่านางโดนข้าที่กำลังเลือกซื้อเนื้ออยู่เห็นเข้า ท่านก็เลยจะโยนความผิดทุกอย่างมาให้ข้าเช่นนั้นหรือ”
หยางฮว๋ายสีหน้าเปลี่ยน ช่วงบ่ายเมื่อวานตอนที่เดินทางมาถึง เขาได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าน้องสาวของเขานั้นช่างไร้ยางอาย ตอนนั้นเขารู้สึกโกรธจนควันออกหู หากแต่เมื่อเขาพยายามเข้าใกล้เพื่อจะสอบถามรายละเอียด ชาวบ้านเหล่านั้นกลับรีบหนีไป ทิ้งให้เขาไม่อาจทำอะไรได้เลย
บัดนี้ หลังจากได้ฟังสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยากล่าวออกมานั้น ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปเช่นที่นางเฉินเล่า
หยางฮว๋ายหันหน้าไปมองมารดาของตนพลางถามขึ้นเสียงเครียด “ท่านแม่ เรื่องจริงเป็นอย่างไรกัน?”
“อะไรนะ? นี่เจ้าเชื่อหญิงอื่น แต่ไม่เชื่อข้าผู้เป็นแม่ของเจ้างั้นรึ?” นางเฉินหัวเสีย จะเป็นอะไรไปเล่าถ้าหากนางกุเรื่องให้ลูกชายฟัง? เขาเป็นลูกชายของนาง ดังนั้นเขาควรจะเชื่อฟังในทุกสิ่งที่นางเป็นผู้พูด
หยางฮว๋ายจ้องมองนางเฉินด้วยความผิดหวัง ก่อนกล่าวเบาๆ “ข้าเชื่อว่านางมิได้โป้ปด” ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยานั้นไร้ซึ่งมลทินและปราศจากซึ่งคำโกหกใดๆ แต่ในขณะเดียวกัน ในดวงตามารดาของเขานั้นกลับมีความตระหนกฉายวาบขึ้นมา เห็นเพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่าผู้ใดกันแน่ที่พูดความจริงและผู้ใดกันแน่ที่พูดเท็จ
แต่ความเชื่อใจของเขาที่มีต่อหนิงเมิ่งเหยาได้ทำให้นางเฉินโมโหจนแทบจะกระอักเลือด นี่คือลูกชายผู้แสนดีของนาง
“ข้าให้เจ้าได้ร่ำเรียนจนกระทั่งมีความรู้ความสามารถ และนี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้างั้นรึ?” นางเฉินกัดฟันกรอด
หยางฮว๋ายจ้องเขม็งไปที่นางเฉิน “หากท่านแม่เพียงต้องการจะใช้ชื่อเสียงของข้าก่อเรื่องเช่นนี้ ข้าก็จะขอเลิกเรียนหนังสือขอรับ ด้วยเกรงว่าจะมีแต่นำความอับอายมาในภายภาคหน้าเท่านั้น” การมีมารดาที่แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้เช่นนี้ มีแต่จะทำให้อนาคตของเขาริบหรี่เลือนลาง
เหตุใดสหายของเขาจึงปฏิเสธที่จะมาเยี่ยมบ้านของเขากัน? สาเหตุก็เพราะเขามีมารดาเป็นคนเช่นนี้อย่างไรเล่า
นางเฉินถลึงตาเบิกโพลง “เจ้ากล้าดียังไง”
หนิงเมิ่งเหยาเห็นว่าทั้งคู่กำลังจะทะเลาะกัน นางจึงกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “หากพวกท่านอยากมีปากเสียงกัน ขอเชิญกลับไปทะเลาะกันที่บ้านเสียเถิด อย่ามาทะเลาะกันที่หน้าบ้านคนอื่นเลย”
“แก…. ทั้งหมดเป็นความผิดของนังผู้หญิงสำส่อนอย่างแกคนเดียว! ข้าจะตบแกให้ตายคามือ” นายหญิงเฉินว่าและเงื้อมือขึ้น แต่ก่อนที่จะถึงตัวหนิงเมิ่งเหยา การกระทำของนางก็ถูกหยุดไว้ก่อนด้วยฝีมือของหยางฮว๋าย
หยางฮว๋ายขึงตามองมารดาของตนอย่างหมดความอดทน “ท่านแม่ หากท่านยังอยากให้ข้าเป็นขุนนางในวันหน้า ขอท่านกระทำการเช่นนี้ให้น้อยลงด้วยเถอะ” ถ้าแม้แต่ครอบครัวตัวเองเขายังไม่สามารถจัดการได้ เช่นนั้นแล้วเขาจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นขุนนางจัดการผู้อื่นได้อย่างไรกัน?