ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 83 เก็บงำและอดกลั้น + บทที่ 84 อวยพรปีใหม่
บทที่ 83 เก็บงำและอดกลั้น + บทที่ 84 อวยพรปีใหม่
Ink Stone_Romance
บทที่ 83 เก็บงำและอดกลั้น
หยางชุ่ยมองผู้เป็นแม่อย่างไม่อยากเชื่อ นางเฉินกล้าตบนางเช่นนั้นหรือ แม้ว่านางจะไม่ใช่ลูกคนโปรดเหมือนกับพี่ชายทั้งสองคน แต่นางเฉินก็พยายามอย่างมากเพื่อให้นางได้แต่งงานกับชายในตระกูลชนชั้นสูง
นางเฉินกลัวว่าหยางชุ่ยจะลำบากจึงไม่ยอมให้นางเป็นเกษตรกรทำไร่ทำสวน ทั้งยังส่งนางให้ไปพักอาศัยกับพี่ชายคนโตเพื่อให้พี่สะใภ้ผู้เป็นลูกสาวของซิ่วไฉมาช่วยอบรมเป็นพิเศษอีกด้วย
แต่ทว่าตอนนี้นางเฉินกลับตบหน้าหยางชุ่ยต่อหน้าชาวบ้านมากมาย นางจะทำใจยอมรับได้เช่นไรกัน
“ท่านแม่ตบข้าเช่นนั้นหรือ” หยางชุ่ยมองผู้เป็นแม่ด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
แววตาที่นางเฉินมองลูกสาวนั้นราวกับกำลังตะโกนร้องว่า ‘ช่างไม่ได้ดังใจเสียเลย’ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง “พอได้แล้ว หยุดทำตัวน่าขายหน้าที่นี่เสีย แล้วมากับข้าเดี๋ยวนี้”
หยางชุ่ยอ้าปากจะตอบโต้ แต่ก็ยอมกลับบ้านแต่โดยดีหลังจากสบตาคู่นั้นของนางเฉิน ขณะที่กำลังเดินจากไปนั้น นางก็หันศีรษะมาเหลือบมองเฉียวเทียนช่าง ทว่าสายตาของชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความรังเกียจ ไม่มีแม้วี่แววของความเป็นห่วงหรือความใส่ใจใดๆ
‘เหอะๆ นางเป็นแค่ตัวตลก อุตส่าห์ทำอะไรให้มากมาย แต่สุดท้ายกลับโดนเหยียดหยามเช่นนี้สินะ’
หยางชุ่ยลดศีรษะลงต่ำพลางเดินตามหลังนางเฉินไปราวกับเป็นคนละคน
เฉียวเทียนช่างมองหยางชุ่ย ก่อนจะยิ้มอย่างเย็นชา แล้วหันหลังกลับเข้าบ้าน เพราะไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจกับเรื่องของหยางชุ่ยอยู่แล้ว
ชิงเสวี่ยแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา ขณะกำลังเดินตามหลังหนิงเมิ่งเหยาต้อยๆ “คุณหนูเจ้าคะ มีปัญหาอะไรกับนางผู้นั้นหรือเจ้าคะ”
“ใครจะไปรู้กันเล่า” หนิงเมิ่งเหยายักไหล่ และเอ่ยตอบอย่างแผ่วเบา
หยางชุ่ยมองหญิงสาวเป็นคู่อริตั้งแต่แรกพบ เนื่องจากเห็นว่าเฉียวเทียนช่างนั้นปฏิบัติตัวกับนางดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
มันช่างเป็นเรื่องน่าขัน เพราะหากนางไม่ประพฤติตัวให้ผู้คนรังเกียจเช่นนี้ ชายหนุ่มก็คงไม่ทำตัวแบบนั้นกับนางเป็นแน่ แม้อาจจะไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่คงพอจะทำให้เข้าหน้ากันติดบ้าง
เห็นได้ชัดว่านางเคยมีโอกาสนั้นแล้ว แต่กลับยังทำตัวเช่นนี้อยู่ดี มันจึงไม่ใช่ความผิดของใครอื่นเลย
ระหว่างนั้นเอง หยางฮว๋ายจ้องน้องสาวคนเล็กด้วยแววตาเยือกเย็น โดยมีหยางชู่ และภรรยาของเขายืนอยู่ข้างๆ
“ชุ่ยเอ๋อร์ ดูเหมือนเจ้าจะลืมสิ่งที่พี่สะใภ้เคยสั่งสอนเจ้านะ” หยางชู่ถอนหายใจขณะมองผู้เป็นน้องสาวอย่างผิดหวัง
ฮูหยินซุนจ้องมองน้องสะใภ้อย่างช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน “น้องสะใภ้ ไม่ต้องพูดถึงเฉียวเทียนช่างว่าเป็นคนเช่นไรหรอก หากเจ้ามีความรู้สึกต่อเขา เจ้าก็ไม่ควรพูดโพล่งมันออกไปเช่นนั้น เพราะมันจะทำให้ผู้คนคิดว่าหญิงสาวจากตระกูลของเราไม่คู่ควรกับการแต่งงานออกเรือนได้”
สำหรับตระกูลหยางแล้ว คำพูดของฮูหยินซุนนั้นมีความน่าเชื่อถือมาก ในตอนเริ่มแรกที่นางเฉินส่งหยางชุ่ยให้ฮูหยินซุนนั้น นางก็พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล ทั้งยังสั่งสอนเด็กสาวราวกับเป็นลูกสาวของตนเองอีกด้วย
เมื่อหยางชุ่ยกลับมาในช่วงแรกนั้น นางดูราวกับเป็นหญิงสาวผู้มาจากตระกูลที่น่าเคารพนับถือเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นไม่นาน บุคลิกท่าทางของนางก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเมื่อนางพบเจอกับเฉียวเทียนช่าง
นางกล้าที่จะปีนเข้าบ้านผู้อื่นตอนที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ หนำซ้ำยังโดนผู้เป็นเจ้าของบ้านจับได้อีกด้วย
นอกจากนี้ หยางชุ่ยควรจะดูสถานการณ์ให้ถี่ถ้วนชัดเจนก่อนที่จะพูดกล่าวหาใครสักคน นางคิดว่าพวกชาวบ้านจะโง่งมและไร้สมอง จนยอมเชื่อทุกอย่างที่นางพูดเช่นนั้นหรือ
“ท่านพี่สะใภ้ ข้า…”
“พอที หยุดพูดเสียเถอะ ข้าว่าเจ้าไม่เหมาะที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อ เมื่อสิ้นสุดวันปีใหม่ เจ้าจงออกไปอยู่กับพี่สะใภ้ของเจ้าซะ” นางเฉินมองบุตรสาวของตน
ฮูหยินซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยิ้ม และเอ่ยขึ้นว่า “ก็ดีเหมือนกันนะ ข้าจะได้ช่วยเหลือน้องสาวได้”
นางเฉินผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอฝากชุ่ยเอ๋อร์ไว้กับเจ้าด้วยแล้วกัน”
หยางชุ่ยมองผู้เป็นแม่ พลางคิดว่าควรเงียบก่อนจะดีกว่า ทั้งนี้ พวกเขาต่างเชื่อใจพี่สะใภ้ และต่อให้พูดความจริงออกมาในเวลานี้ นางเฉินและคนอื่นๆ คงไม่เชื่อนางเป็นแน่ หยางชุ่ยจึงไม่ทำเรื่องงี่เง่าเช่นนั้น
หากพวกเขาอยากให้นางจากไป ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และนางก็หวังว่าพวกเขาจะไม่มารู้สึกเสียใจในภายหลัง
ฮูหยินซุนเห็นว่าหยางชุ่ยหัวเราะแปลกๆ จึงมองอย่างกังวล แต่มิได้เอ่ยอะไรออกมา
หยางฮว๋ายมองน้องสาวของตนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยางชุ่ย ข้าขอเตือนไม่ให้เจ้าทำเรื่องบัดสีจนพวกเราต้องขายหน้าอีกเป็นอันขาด เพราะข้ากำลังจะสอบขุนนาง หากช่วงนี้เจ้ายังทำเรื่องน่าอับอายและกระทบมาถึงข้าล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไร้ความปราณีแล้วกัน”
บทที่ 84 อวยพรปีใหม่
หยางชุ่ยขบริมฝีปากแน่นแต่ยังคงไม่พูดอะไร เนื่องจากในตอนนี้บ้านของพวกเขาให้ความสำคัญกับการสอบขุนนางของพี่ชายคนรองที่สุด หากเขาสอบผ่าน ตระกูลของพวกเขารวมถึงตัวนางเองก็จะก้าวหน้าขึ้น ฉะนั้นในช่วงเวลานี้ นางจึงผงกศีรษะอย่างยอมจำนน “ข้ารู้แล้ว”
ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลเอ่ยปากในทันที “เอาล่ะ วันนี้คือวันปีใหม่ ดังนั้นอย่าพูดอะไรให้มากความเลย”
หยางชุ่ยมองดูผู้เป็นบิดาของตนเงียบๆ หากนางมีจังหวะเกลี้ยกล่อมพวกเขาก่อนหน้านี้ ก็คงทำไปแล้ว แต่พวกเขากลับไม่ให้โอกาสนางพูดเลย ดังนั้น หากนางอ้าปากเอ่ยอะไรขึ้นมาในตอนนี้ คงมีแต่ทำให้ทุกคนเกิดความโมโหเท่านั้น
หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจว่าหยางชุ่ยจะโดนที่บ้านลงโทษเช่นไร เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้
แม้ว่าจะเป็นวันปีใหม่ และพวกเขาจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ยังมีเด็กๆ มากมายอยู่ที่บ้าน
ดังนั้นหญิงสาวจึงเตรียมของว่างต่างๆ สำหรับวันพรุ่งนี้ รวมถึงซองอั่งเปาอีกด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ จะให้ใส่เหรียญลงไปก้อนขนมปังเหล่านี้กี่ก้อนหรือเจ้าคะ” แม่นมฉินเอ่ยถามหนิงเมิ่งเหยา
“สักแปดก้อนดีหรือไม่”
“ดีเลยเจ้าค่ะ” แม่นมฉินผงกศีรษะ
แปดก้อนนั้นกำลังดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป ทั้งยังมีนัยยะอันเป็นมงคลอีกด้วย
วันต่อมา หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ ทานอาหารเช้าด้วยกัน โดยตรงกลางนั้นมีของว่างวางไว้เพื่อแจกจ่ายมากมายหลายชนิด
หลังจากนั้นไม่นานนัก เด็กๆ ก็เริ่มเดินทางมาหา เสี่ยวมู่และหลินเอ๋อร์นั้นมาถึงเป็นคนแรก ตามด้วยหยางจื้อและเด็กน้อยคนอื่นๆ โดยทุกคนต่างวิ่งอย่างร่าเริงเข้ามาด้านใน ก่อนที่หนิงเมิ่งเหยาจะแจกขนมให้กับเด็กๆ พร้อมทั้งยื่นอั่งเปาให้พวกเขาคนละใบ
“พี่เมิ่งเหยา สวัสดีวันปีใหม่!”
“สวัสดีวันปีใหม่”
เด็กๆ ทุกคนรับซองอั่งเปาด้วยหัวใจเปี่ยมสุข อาจารย์ของพวกเขาช่างใจดีเสียจริง ถึงขนาดแจกอั่งเปาให้พวกเขาในวันปีใหม่ด้วย
และเป็นที่รู้กันว่าขนมทานเล่นของที่นี่รสชาติอร่อยนัก
กระเป๋าของเด็กทุกคนเต็มไปด้วยขนมเหล่านั้น จากนั้นพวกเขาจึงบอกลาหนิงเมิ่งเหยา และไปเยี่ยมบ้านของชาวบ้านคนอื่นๆ ต่อ
บรรดาเด็กน้อยที่แวะมาหาหญิงสาวในวันนี้มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงกระนั้นนางก็มิได้ถือสา และยิ่งได้เห็นแววตาเปล่งประกายของพวกเขาหลังจากได้รับซองอั่งเปาแล้วก็ยิ่งรู้สึกยินดี
‘พวกเขาไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ ในยุคสมัยที่นางจากมาเลย เด็กทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้รับอั่งเปากันในวันปีใหม่ทั้งสิ้น’
ถึงกระนั้น เด็กๆ ที่นี่จะเปิดซองอั่งเปากันหลังจากวันปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว
จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มทอดตัวมาทางทิศตะวันตก เด็กๆ ที่มาเยี่ยมก็เริ่มน้อยลง มีเด็กน้อยบางคนมาหาหนิงเมิ่งเหยาถึงสองครั้ง ทว่าพวกเขาก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะรับอั่งเปาอีกซอง ดังนั้นจึงหยิบขนมไปเพียงสองสามห่อ และพูดอวยพรว่า ‘สวัสดีวันปีใหม่’ ก่อนจะวิ่งจากไป ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าน่าขันนัก
ปีใหม่ปีนี้ช่างดีเหลือเกิน
ในวันที่สอง หญิงสาวมิได้ออกไปไหน และเดิมทีนางนั้นอยากไปเล่นหมากล้อมกับเฉียวเทียนช่าง แต่กลับพบว่าประตูบ้านของชายหนุ่มลั่นกุญแจไว้ โดยไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาออกไปที่ใด
หนิงเมิ่งเหยาเดินกลับอย่างผิดหวัง ท่ามกลางความรู้สึกเบื่อหน่ายนี้ นางจึงทำได้แค่เล่นไพ่กับชิงเสวี่ยและคนอื่นๆ เท่านั้น
พวกเขาทุกคนต่างเล่นไพ่อยู่เช่นนั้นจนกระทั่งหมดวัน แล้ววันต่อมา เฉียวเทียนช่างก็เข้ามาหาพร้อมกับพาชายอีกคนมาด้วย
“เมิ่งเหยา นี่คือสหายของข้า ชื่อว่าเซียวฉีเทียน ข้าไปรับเขามาเมื่อวานนี้ เขาคือคนที่อยากซื้อน้ำปรุงรสของเจ้าน่ะ” เฉียวเทียนช่างแนะนำเพื่อนของตนให้รู้จักกับหนิงเมิ่งเหยา “ฉีเทียน นี่คือเมิ่งเหยา”
เซียวฉีเทียนมองดูหนิงเมิ่งเหยา เช่นเดียวกันกับหญิงสาว ทั้งสองต่างลองเชิงอีกฝ่าย จนในที่สุดหนิงเมิ่งเหยาก็เริ่มทักทายก่อน “คุณชายเซียว”
หากหญิงสาวจำไม่ผิด ผู้มีแซ่สกุลว่าเซียวนั้น จะอยู่ในฐานะนี้ ดูเหมือนว่าตัวตนที่แท้จริงของเฉียวเทียนช่างนั้นจะไม่ธรรมดาเอาเสียแล้ว
“แม่นางหนิง จะไม่เชิญพวกเราเข้าไปด้านในหน่อยหรือ”
“ข้าช่างไร้มารยาทนัก โปรดเข้ามาก่อนเถิด” หนิงเมิ่งเหยายิ้มก่อนเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามาด้านใน
พวกเขาเริ่มสนทนากันต่อในห้องรับแขก เซียวฉีเทียนมองหญิงสาวอย่างจริงจัง “ปีหน้า เจ้าพอจะสามารถเพิ่มการผลิตน้ำปรุงรสของเจ้าได้หรือไม่”
“ข้าไม่แน่ใจนัก อาจจะได้ หรืออาจจะไม่” หนิงเมิ่งเหยายักไหล่ ราวกับยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้
ในปีหน้า หญิงสาวมีเรื่องมากมายที่อยากจะทำ ดังนั้นนางจึงไม่อาจให้คำตอบแน่ชัดกับเขาได้
“ฉีเทียน อย่าทำตัวเช่นนี้สิ น้ำปรุงรสที่เจ้ามีอยู่ก็น่าจะพอแล้วนี่นา” เฉียวเทียนช่างตัดบทของเซียวฉีเทียน ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำใดออกมาอีก จากนั้นจึงมองสหายคนนี้อย่างอดไม่ได้
เซียวฉีเทียนมองดูอีกฝ่ายอย่างขบขันและกลั้นรอยยิ้มไว้ ดวงตาคู่นั้นราวกับกำลังจะพูดว่า “อะไรกัน นี่เจ้าเดือดร้อนแทนนางหรือนี่”
เฉียวเทียนช่างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ก่อนก้มศีรษะมองถ้วยชาในมือ และแล้วมุมปากของชายหนุ่มก็ค่อยๆ ยกขึ้น ‘นี่เขาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางหรือนี่ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะ