ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน - บทที่ 85 ฉลองแด่การร่วมงานกัน + บทที่ 86 ไม่มีสงครามไม่หวนกลับ
- Home
- ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน
- บทที่ 85 ฉลองแด่การร่วมงานกัน + บทที่ 86 ไม่มีสงครามไม่หวนกลับ
บทที่ 85 ฉลองแด่การร่วมงานกัน + บทที่ 86 ไม่มีสงครามไม่หวนกลับ
Ink Stone_Romance
บทที่ 85 ฉลองแด่การร่วมงานกัน
หนิงเมิ่งเหยามองชายหนุ่มทั้งสอง พลางรู้สึกว่าพวกเขากำลังแอบสื่อสารผ่านสายตากันอย่างเงียบๆ
“ถ้าเช่นนั้น แม่นางหนิงวางแผนไว้เช่นไรกันเล่า” เซียวฉีเทียนมองหน้าหญิงสาวอย่างใคร่รู้
“อันที่จริง ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ตอนนี้ข้าแค่อยากจะหมักเหล้าเท่านั้นเอง” หนิงเมิ่งเหยาดูผ่อนคลาย ในขณะที่เฉียวเทียนช่างกำลังเม้มปากแน่น ‘เอ่ยมันออกมาง่ายๆ เช่นนั้นเลยหรือ’
เซียวฉีเทียนมองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ และมีความสงสัยเปล่งประกายอยู่ในแววตา “เจ้าหมักเหล้าด้วยเช่นนั้นหรือนี่”
“มันแปลกประหลาดอย่างไรรึ” หนิงเมิ่งเหยามองกลับอย่างไร้เดียงสา ทำให้เขาถึงกับสำลักและไม่อาจตอบคำถามได้
“แล้วเจ้าคิดจะหมักเหล้าชนิดใดเล่า” เซียวฉีเทียนสนใจเรื่องนี้อย่างมาก
หญิงสาวครุ่นคิดพลางมองชายหนุ่ม ก่อนจะหันมองเฉียวเทียนช่าง นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “ตอนนี้ข้าคิดจะหมักเหล้าดอกแอปริคอทและเหล้าดอกท้อ นอกจากนี้ก็มีเหล้าองุ่น”
ดวงตาของเซียวฉีเทียนดูงุนงง ‘ดอกไม้นำมาทำเหล้าได้ด้วยหรือนี่’
“เจ้าจะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของมันแล้วน่ะ” หนิงเมิ่งเหยายิ้ม
หญิงสาวรู้สึกไว้วางใจชายหนุ่มที่เฉียวเทียนช่างพามาหา
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงจะต้องรบกวนด้วย”
ทั้งสามพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง ขณะที่แม่นมฉินและชิงเสวี่ย รวมถึงคนอื่นๆ นั้นเดินเข้าครัวไปเพื่อทำอาหาร
ตอนเที่ยงวัน แม่นมฉินจัดวางอาหารไว้บนโต๊ะ ชิงเซวียนไปยังห้องใต้ดินเพื่อหยิบเหล้าองุ่นขึ้นมาสองเหยือก
หลังจากที่เปิดฝาเหยือกออก เซียวฉีเทียนได้กลิ่นหอมของเหล้าองุ่น แม้ว่าจะยังไม่ได้ชิมแต่เขาก็มั่นใจได้ว่ารสชาติของมันต้องไม่เลวเลยทีเดียว
หนิงเมิ่งเหยารินเหล้าองุ่นใส่แก้วให้เซียวฉีเทียน ทำให้ชายหนุ่มยกมันขึ้นมาจิบอย่างอดไม่ได้ และแล้วใบหน้าของเขาก็เปล่งประกาย หลังจากชิมไปเพียงจิบเดียวเท่านั้น
“เหล้าองุ่นรสชาติดีเลยทีเดียว ข้าอยากร่วมงานกับเจ้าแล้วสิ” เซียวฉีเทียนยื่นข้อเสนอให้กับหญิงสาวอย่างไม่อ้อมค้อม
เฉียวเทียนช่างเริ่มไม่ชอบใจ และมองสหายของตนด้วยแววตาไม่สบอารมณ์นัก “ข้าว่าเจ้ากำลังแย่งงานของข้าอยู่นะ” เดิมทีชายหนุ่มตั้งใจจะทำงานร่วมกับหนิงเมิ่งเหยา แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ก็มีชายอีกคนก้าวเท้าเข้ามาร่วมวงด้วย ช่างน่าไม่อายเสียจริง
เซียวฉีเทียนกวาดสายตามองไปยังเฉียวเทียนช่างและยิ้ม “เฉียวเทียนช่าง เจ้าอย่าขี้งกนักเลยน่า”
ส่วนหนิงเมิ่งเหยานั้นมิได้ตกใจอะไรนักกับการที่เซียวฉีเทียนต้องการร่วมงานกับนาง หนำซ้ำยังรู้สึกดีอีกต่างหาก
หญิงสาวไตร่ตรองเรื่องนี้ และมองชายหนุ่มทั้งสอง ก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าขอส่วนแบ่งร้อยละหกสิบ ส่วนพวกเจ้าจะได้ร้อยละยี่สิบต่อคน อีกอย่าง เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง พวกเจ้าทั้งสองจะต้องดูแลเรื่องของส่วนผสม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ข้าไม่มีวัตถุดิบเลย” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยอย่างเรียบง่าย
“ไม่มีปัญหา” เซียวฉีเทียนรับปากพร้อมทั้งกำหมัดคารวะ
ส่วนเฉียวเทียนช่างนั้นครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ารับคำ นับว่าเป็นเรื่องดีที่ชายหนุ่มรู้ว่าจะพอหาดอกไม้เหล่านั้นได้จากที่ใดบ้าง
“แล้วเหล้าองุ่นเล่า” เซียวฉีเทียนชี้ไปยังเครื่องดื่ม
“ต้องรอบ่มจนถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้าเลย พี่เฉียวช่วยข้าหมักเหง้าองุ่นชุดนี้ไว้เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้เอง มันยังมีปริมาณไม่มากนัก” หรือต่อให้มีเหล้าองุ่นอยู่มาก นางก็ไม่บอกเช่นนั้นอยู่ดี เพราะหากชายผู้นี้หยิบฉวยไปจะทำเช่นไรเล่า
เซียวฉีเทียนดูผิดหวังไปเล็กน้อยขณะมองหญิงสาว และถอนหายใจดังเฮือก “แล้วพอจะให้ข้าสักสองเหยือกได้หรือไม่เล่า”
หนิงเมิ่งเหยาพิจารณาใคร่ครวญก่อนจะผงกศีรษะ “หนึ่งเหยือกหนักสองจิน ราคาสามร้อยตำลึง หากเจ้าต้องการก็จ่ายเงินมาได้เลย”
ฝ่ามือของเซียวฉีเทียนแข็งเกร็ง และเห็นว่าหญิงสาวมิได้พูดติดตลก เขาจึงต้องพยักหน้าเออออ “ได้” ‘มิใช่ว่ามันราคาเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงหรอกหรือนี่’ ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงจ่ายเงินตามราคาดังกล่าวอยู่ดี
หนิงเมิ่งเหยาพึงพอใจและชูแก้วเหล้าองุ่นขึ้นสูง “แด่การร่วมงานของพวกเรา”
“แด่การร่วมงานของพวกเรา” ท่ามกลางหนุ่มสาวทั้งสามคนนี้ มีเพียงเซียวฉีเทียนผู้เดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก โดยเฉียวเทียนช่างนั้นยิ้มแปล้ราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินกับความโชคร้ายของสหายผู้นี้
หลังจากทานอาหารเสร็จ หนิงเมิ่งเหยาก็ร่างสัญญา และทำสำเนาสองฉบับสำหรับแต่ละคน หากเหล้าองุ่นบ่มจนได้ที่เมื่อไหร่ เซียวฉีเทียนจะส่งคนมารับ เนื่องจากเขาดูแลรับผิดชอบเรื่องการจำหน่ายเหล้าองุ่น และแน่นอนว่าหญิงสาวจะเก็บบางส่วนไว้เองด้วยเช่นกัน
เมื่อจัดการกับข้อตกลงต่างๆ เสร็จสิ้น เฉียวเทียนช่างและเซียวฉีเทียนจึงจากไป ทั้งคู่ขี่ม้าเข้าเมืองซึ่งเป็นสถานที่ที่เซียวฉีเทียนพักอาศัยอยู่ชั่วคราว “เจ้าคิดจะกลับไปเมื่อไหร่หรือ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“เจ้าไม่รู้หรือ เทียนช่าง เจ้าก็รู้ดีว่าท่านพี่ต้องการเจ้าแค่ไหน” เซียวฉีเทียนถอนหายใจแผ่วเบาอย่างไม่รู้ว่าจะพูดกับอีกฝ่ายเช่นไร
เฉียวเทียนช่างเงียบลง และไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ส่งผลให้เซียวฉีเทียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ไม่อาจทำอะไรได้
บทที่ 86 ไม่มีสงครามไม่หวนกลับ
“เจ้ากังวลว่าผู้คนจะมองเจ้าเช่นไรจริงๆ น่ะหรือ” เซียวฉีเทียนมองเฉียวเทียนช่างอย่างไม่ชอบใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมทำตามความคาดหวังของตน เขาเข้าใจเหตุผลที่เฉียวเทียนช่างจากไปในตอนแรกดี แต่เขาก็ไม่อยากเชื่อว่าบุรุษผู้นี้จะหนีปัญหาของตัวเองได้
เฉียวเทียนช่างยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง “ฉีเทียน ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว จริงๆ อยู่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก อย่างน้อย ที่นี่ก็ไม่มีกลอุบายเล่ห์เหลี่ยมต่อกัน”
เซียวฉีเทียนอ้าปาก อยากจะเอ่ยถ้อยคำเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อมั่น แต่สุดท้ายก็มิได้พูดอะไรออกมา
“ข้ารู้ แต่เจ้าไม่ควรใส่ใจว่าพวกเขาจะคิดกับเจ้าเช่นไรหรอกนะ”
“ข้าคิดเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน แต่พวกเขาจะยอมปล่อยข้าไปง่ายๆ รึ” ‘หรือถ้าหากพวกเขายอม พอเขากลับไปจริงๆ พวกนั้นก็คงจะไม่รีรอรีบใช้งานเขาทุกอย่างเป็นแน่ พวกเขาช่างใจใหญ่เสียไม่มี ไม่หวาดกลัวเลยหรือว่าเขาจะสังหารทุกคนจนสิ้น’
เซียวฉีเทียนไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ เขารู้เรื่องราวทุกอย่างดี แต่ที่แห่งนั้นต้องการเฉียวเทียนช่างจริงๆ
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็หวังว่าเจ้าจะกลับไปนะ” เซียวฉีเทียนตบไหล่ของสหายผู้นี้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉียวเทียนช่างเข้าใจถึงความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่ได้หมายความว่าตัวเขาจะต้องทำตาม
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนมองอีกฝ่าย “หากชายแดนนั้นไม่มีสงครามเกิดขึ้น ข้าก็จะไม่กลับไปหรอก”
เขาจะร่วมทำงานกับหนิงเมิ่งเหยาที่นี่ มันไม่เลวเลยทีเดียวกับการใช้ชีวิตอันเรียบง่าย ในสถานที่ที่ไม่มีอุบายเล่ห์เหลี่ยมหรือการวางแผนหลอกล่อใดๆ แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้เกรงกลัวอะไร แต่เขาก็รังเกียจสิ่งเหล่านั้นนัก
สีหน้าของเซียวฉีเทียนเปลี่ยนไป ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าพูดจริงหรือนี่”
ชายหนุ่มผงกศีรษะ “ข้าต้องฝืนทนอยู่กับพวกเขาเหล่านั้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ชายแดนก็สงบสุขแล้ว ข้าจึงอยากจะใช้ชีวิตที่เรียบง่ายบ้าง”
เซียวฉีเทียนเงียบไปขณะก้มศีรษะลง และรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำทุกอย่างเพื่อพี่น้องขุนนาง และตอนนี้คนกลุ่มนี้ก็มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว เฉียวเทียนช่างจึงไม่อาจช่วยอะไรได้อีก ดังนั้นเมื่อคนเหล่านั้นมาหา เขาจึงหนีไปอยู่ตัวคนเดียวในทันที หากตอนนั้นเหลยอันไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาคงยังมืดแปดด้าน และไม่รู้เลยว่าเฉียวเทียนช่างเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็กๆ และใช้ชีวิตเป็นนายพรานล่าสัตว์เช่นนี้
“เจ้าตัดสินใจเรื่องนี้ดีแล้วหรือ”
“ใช่ ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะไม่กลับไป หากมันไม่มีสงครามเกิดขึ้น” เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะอย่างขึงขัง
เซียวฉีเทียนเติบโตมาพร้อมกับชายหนุ่ม จึงรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร และรู้ดีว่าคำพูดของตนไม่อาจโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายคล้อยตามได้ เขาจึงตบบ่าของเฉียวเทียนช่างอีกครั้งก่อนเอ่ยขึ้น “เมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะไปบอกพี่น้องขุนนางตามนี้แหละ”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอบคุณเจ้ามาก”
“แล้วทำไมเจ้าต้องทำตัวเป็นทางการกับข้าด้วย”
“อ้อ ไม่ต้องเป็นทางการก็ได้นี่” ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเฉียวเทียนช่างค่อยๆ เผยความเป็นกันเองออกมา
เซียวฉีเทียนมองชายหนุ่ม ก่อนจะพูดขึ้นในทันที “ข้าหวังว่าจะได้รับเชิญไปร่วมงานแต่งงานของเจ้าเร็วๆ นี้นะ”
เฉียวเทียนช่างอึ้ง ก่อนจะหัวเราะ “ไว้ข้าจะเชิญแล้วกัน”
“ฮ่าๆ ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
เขาสังเกตได้ว่าเฉียวเทียนช่างดูผ่อนคลายอย่างมากต่อหน้าหนิงเมิ่งเหยา และเขายังไว้ใจหญิงสาวอีกด้วย ประเด็นนี้จึงไม่ต้องคลางแคลงใจนัก
ในวันต่อมา เซียวฉีเทียนเดินทางจากไป โดยเฉียวเทียนช่างเพียงแค่ยิ้มส่งอย่างเรียบง่าย ทั้งนี้ชายหนุ่มสนใจเรื่องของการตามหาดอกแอปริคอทและดอกท้อให้กับหนิงเมิ่งเหยาเสียมากกว่า
เมื่อเฉียวเทียนช่างได้ลิ้มรสเหล้าองุ่นเหยือกนั้น แน่นอนว่าดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายขึ้น เพราะเขารู้สึกว่าจะต้องรับเงินก้อนโตเป็นแน่ หากขายให้กับชายผู้นั้นได้
ในวันที่ห้าของปฏิทินจันทรคตินั้น มีเทศกาลโคมไฟจัดขึ้นในตัวเมือง หนิงเมิ่งเหยาพาหยางเล่อเล่อเข้าเมืองไปด้วยกัน ตอนแรกนั้นหยางซิ่วเอ๋อร์วางแผนว่าจะบากหน้าเข้าหาหญิงสาว แต่ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายนั้นเลวร้ายจนเกินจะรับฟัง นางจึงจำต้องไปกับกลุ่มชาวบ้านที่เหลือแทน ใบหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นบึ้งตึงราวกับหนิงเมิ่งเหยาทำอะไรผิดต่อนาง
ในวันนี้ตัวเมืองนั้นคึกคักอย่างยิ่ง แม้ยังไม่ถึงช่วงเวลากลางคืน แต่ถนนหลายสายก็เต็มไปด้วยตะเกียงมากมายหลายประเภท ทุกอันมีความสวยงามอย่างมาก ทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นเล็กน้อย
“คุณหนูเจ้าคะ ดูตะเกียงอันนั้นสิเจ้าคะ ช่างน่ารักเสียจริงเชียว!” ดวงตาของชิงจู๋เป็นประกายขณะหยิบตะเกียงรูปกระต่ายขาวตัวเล็กขึ้นมาดู
“หากเจ้าถูกใจก็ซื้อได้เลย”
“เจ้าค่ะ” ชิงจู๋ผงกศีรษะ แต่สุดท้ายนางกลับวางตะเกียงนั้นไว้ที่เดิม
พวกนางเดินตะลอนไปตามถนนอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายในใจ และเดินเข้าทุกร้านที่กำลังเปิดอยู่ในขณะนั้น
หยางเล่อเล่อรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองซึ่งดูคล้ายกับดอกชบาอันงดงามกำลังเบ่งบาน นางจับจ่ายซื้อของทุกชิ้นที่นางชื่นชอบและถูกใจ