ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 161 ภรรยาของฉัน
คืนนั้นหลังจากเธอกินยาเข้าไป สมองของเธอก็งัวเงียราวกับกำลังจะผล็อยหลับ ในจังหวะนั้นเองที่รู้สึกถึงลมอุ่นร้อนมวลใหญ่ที่ไล้ลงบนผิวให้รู้สึกระคายและไม่สบายตัว
เธอต่อสู้กับความง่วงงุนเพื่อเปิดตาขึ้นและเห็นหันเลี่ยงที่เปลือยท่อนบนกำลังเอนตัวขึ้นคร่อมเธอ เผยให้เห็นแขนแข็งแรงของเขาที่เข้ากอดรัดที่หัวไหล่ขณะที่จะก้มลงจูบลงบนลำคอของเธอ ทันใดนั้นเองเธอก็ตกใจจนตื่นขึ้นเต็มตา ลุกขึ้นนั่งพร้อมผลักเขาออกไป ทว่าฤทธิ์ยานอนหลับกลับทำให้ทั้งร่างอ่อนแรงไปหมด เธออยู่ในอารามตื่นตระหนกจนเหงื่อผุดออกมาทั่ว
“คุณทำอะไรน่ะ” แม้แต่น้ำเสียงของเธอยังแผ่วเบา
หันเลี่ยงไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
เสียงของอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าของตัวเองดังขึ้น
เธอฝืนตัวเองให้รู้สึกตัวตื่นและกัดปลายลิ้นของตัวเองอย่างแรง ความเจ็บปวดที่ได้รับปลุกให้เธอตื่นขึ้นและตบหน้าของอีกฝ่ายเมื่อเขาจู่โจมเข้ามาหาเธออีกครั้ง
หันเลี่ยงนิ่งค้างไป เขาแลบลิ้นเลียมุมปากของตัวเองและจ้องมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา
ซย่าชิงอีดึงเสื้อผ้าของตัวเองกลับขึ้นมาแต่เขากลับก้าวเข้ามาเธออีกครั้ง แรงของเธอเริ่มกลับมามากขึ้น ไม่ได้อ่อนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เธอจึงถีบจนอีกฝ่ายตกลงไปจากเตียง
เธอลุกขึ้นนั่งและต้องการจะเดินออกไปทั้งเท้าเปล่า หลีกเลี่ยงที่จะไม่มองไปที่หันเลี่ยงที่นั่งเปลือยอยู่บนพื้น แต่เขากลับจับมือเธอและพยายามผลักลงบนเตียง
ความโกรธของเธอพลุ่งพล่านขึ้นมา เธอคลานลงจากเตียงแต่เขาก็เข้ามาหาเธออีก เธอปีนไปทางหน้าต่างก่อนจะเปิดมัน ลมเย็นจากด้านนอกพัดเข้ามาในห้องทันที
“ถ้าก้าวเข้ามาหาฉันอีกก้าวเดียว ฉันจะโดด!” เธอจ้องเขาเขม็ง
หันเลี่ยงหยุดการกระทำและมองหน้าเธอ “เนี่ยนเนี่ยน หยุดทำให้เรื่องยุ่งยากได้แล้ว เราเป็นสามีภรรยากันนะ”
เธอยิ้ม “หันเลี่ยง คุณนี่น่ารังเกียจจริงๆ ฉันยังไม่รู้ว่าเราแต่งงานกันได้ยังไงด้วยซ้ำ”
“ฉันน่ารังเกียจเหรอ” เขาเอ่ย “เธอบอกว่าฉันน่ารังเกียจเหรอ เนี่ยนเนี่ยน ถ้าเธอจำได้ เธอจะรู้ว่าเรารักกันมากขนาดไหน เธอจะไม่ถอยหนีไปไกลตอนที่ฉันสัมผัสเธอแบบในตอนนี้”
เขาพูดต่อ “เนี่ยนเนี่ยน ฉันเป็นสามีของเธอ เธอบอกฉันให้ให้เวลาเธอ ฉันก็ทำแล้ว ตอนนี้มันก็ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว ทำไมเธอยังเป็นแบบนี้อยู่อีกล่ะ เพราะว่าโม่หันเหรอ ทำไมล่ะ เธอตกหลุมรักเขาหลังจากที่เธอลืมฉันเหรอไง เธอชอบที่จะอยู่กับเขางั้นเหรอ”
การกระทำของเขาช่างดูน่าขันสำหรับเธอ “เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย! เรากำลังพูดถึงเรื่องระหว่างเราอยู่ต่างหาก! อย่าดึงใครเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เขาขยับขาเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขา งั้นเราก็กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสิ”
เธอกัดฟันก่อนว่าขึ้น “หันเลี่ยง ฉันเตือนคุณแล้วนะ”
“อะไร” อีกฝ่ายขยับมาใกล้เธออีก
ทว่าเธอไม่ให้โอกาสกับเขา เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะโดดลงไปจริงๆ
ซย่าชิงอีกระโดดลงไปแล้วเมื่อเขาหมายจะพุ่งเข้าไปจับตัวเธอ ร่างของเด็กสาวร่วงหล่นลงบนสนามหญ้าเสียงดัง
หัวใจของหันเลี่ยงเต้นแรงในทันที เขาก้มมองและเห็นว่าเธอม้วนตัวลงบนพื้นก่อนที่จะลุกขึ้นช้าๆ หันกลับมามองเขา จากนั้นจึงเดินผ่านประตูออกไปด้านนอกภายใต้ดวงจันทร์สีหม่น
เธอจากไปแล้ว เขานั่งอยู่บนเตียงและนึกย้อนไปถึงท่าทีก่อนหน้านี้ของเธอ สัมผัสหนักหน่วงของความพ่ายแพ้เข้าครอบงำเขา
เขารู้ว่าเนี่ยนเนี่ยนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เธอช่างแตกต่างจากคนที่เคยเป็นในอดีตโดยสิ้นเชิง
หากแต่ว่าเขาเพียงต้องการจะเชื่อว่าเธอกลับมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรในที่สุดเนี่ยนเนี่ยนที่รักของเขาก็กลับมาอยู่ข้างเขาแล้ว
สำหรับเขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ตราบใดที่เนี่ยนเนี่ยนกลับมา เขาก็สามารถรับมือกับทุกอย่างที่ต้องเผชิญในอนาคตได้
นี่เป็นสิ่งที่ครอบงำจิตใจของเขาตลอด
ซย่าชิงอีไม่ได้เดินไปไกลมากนักเพราะเธอไม่รู้จะไปที่ไหน
เธอไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว การเดินตามลำพังในค่ำคืนที่หนาวเย็นและเงียบสงัดภายใต้แสงสลัวจากเสาไฟทำให้เธอได้ยินแต่เสียงฝีเท้าของตัวเอง
โชคดีที่เธอไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง แค่มีรอยช้ำที่ขาที่ทำให้เดินได้ไม่สะดวกเท่าไร เธออยู่ในชุดนอนเพียงตัวเดียว อากาศเย็นในยามกลางคืนเข้าจู่โจมร่างกายให้หนาวสั่น เธอลูบไล้เนื้อตัวไม่หยุดและขยับขาไปมาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเอง
เพราะว่าเธอไม่มีที่จะไป เมื่อพบบันไดทางเข้าร้านค้าแห่งหนึ่งเธอจึงหย่อนตัวนั่งลงให้ตัวเองได้มีที่พักผ่อนในคืนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนี้
เธอทิ้งตัวนั่งลงบนขั้นบันไดที่เย็บเฉียบ แหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าในยามกลางคืนที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว และรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจจะทนไหวอีกต่อไปแล้ว
ทีแรกเธอคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น หลังจากที่เธอได้ความทรงจำกลับคืนมา ทว่าทั้งที่เธอก็ยังจำอะไรไม่ได้ ตัวเองก็แทบจะทนไม่ไหวเสียแล้ว อยากจะกลับไปหาโม่หัน
เว้นเสียแต่ว่าเธอไม่รู้ว่าเธอจะสามารถกลับไปได้หรือไม่ เพราะเธอยังจำเรื่องที่สำคัญในอดีตไม่ได้ ทั้งยังจำเรื่องราวทั้งหมดที่เธอมีร่วมกับหันเลี่ยงไม่ได้เลยสักนิด เธอจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้
หากแต่โม่หันคงไม่ต้องการให้เธอกลับไปอีกแล้ว แม้ว่าเขาจะบอกเธอเสียงหนักแน่นว่าเธอไม่ควรติดต่อกับเขาอีกต่อไป แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะอยากโทรหาเขา อยากบอกเขาให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอที่นี่
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกอยากจะร้องไห้ เธอตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเขาแต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย
เธอล้มเลิกความคิดและนั่งขดตัว ซบศีรษะลงบนขาและใช้มือทั้งสองข้างกอดคลายความหนาวให้ตัวเอง สายลมในยามค่ำคืนที่พัดพาอากาศเย็นทำให้เธอหนาวสั่นไปทั้งตัว สมองเริ่มมึนงงให้รู้สึกเหมือนอยากจะหลับ
ท่ามกลางความมึนงงนั้น ท้องฟ้าก็พลันสว่างขึ้น เธอยังคงหลงเหลือสติอยู่และพบว่าหันเลี่ยงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
“ฉันขอโทษ เรา…กลับบ้านกันเถอะ” เขาเอ่ยขอโทษเธอเสียงแผ่วเบา
จากนั้นก็ว่าต่อ “ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรทำแบบนี้กับเธอ เธอคงมีเหตุผลของตัวเองและฉันก็ควรเข้าใจเธอให้มากกว่านี้ เนี่ยนเนี่ยน เราอย่าทะเลาะกันเรื่องนี้เลยนะ ตกลงไหม กลับบ้านกับฉันเถอะนะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาและนิ่งเงียบ
“เราค่อยๆ ปรับตัวกันไปนะ ฉันจะไม่ขออะไรเธออีกตราบใดที่เธอกลับมา”
ในที่สุดซย่าชิงอีก็ลุกขึ้นและตามเขากลับบ้าน บ้านหลังนั้น เพราะเธอรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นหากเธอต้องการความทรงจำกลับมา
หลังจากที่ตากลมข้างนอกอยู่ทั้งคืน เธอก็ไข้ขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน หันเลี่ยงปล่อยให้เธอพักผ่อนในห้องหลังจากกินยา แต่เธอก็ยังไม่กล้าหลับแม้ว่าเธอจะรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างเช่นเมื่อคืนอีก
หันเลี่ยงมองเธอที่แสร้งทำเป็นหลับในห้องและเดินออกมา บอกว่าต้องไปจัดการบางอย่าง เธอรอจนกว่าเขาจะออกไปก่อนที่จะลุกขึ้นนั่ง เตรียมที่จะโทรหาเพื่อที่สำนักงานนักสืบ เธออยากจะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้ในอดีต อย่างไม่สามารถนั่งรออยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรนอกจากรอให้ความทรงจำของตัวเองกลับมาได้แล้ว
โชคดีที่เพื่อนคนนั้นอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน เธอไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าก่อนออกไปคุยกับเขาที่ร้านกาแฟ เมื่อเขาจากไป เวลาก็ล่วงเลยไปจนบ่ายสอง แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านกระจกทำให้บรรยากาศอบอุ่น และในที่สุดความง่วงงุนที่ถูกเก็บไว้มานานก็เข้าครอบงำไปทั้งร่างของเธอ
เธอมองไปรอบตัว เสียงเพลงที่เปิดคลออยู่และเสียงพูดคุยเบาๆ ของลูกค้าในร้านกาแฟ และแม้กระทั่งร่างกายของเธอที่รู้สึกอ่อนปวกเปียกราวกับเจลลี่ขณะที่เอนหลังกับโซฟา ด้วยบรรยากาศที่ดีและอบอุ่นเช่นนี้เธอตั้งท่าจะลองหลับลงสักพัก
เธอกลัวว่าเธอจะไม่สามารถหลับลงได้แม้ว่าเธอจะหลับตาลงแล้วก็ตาม จึงหยิบขวดยานอนหลับจากกระเป๋าและเทออกมากินสองเม็ด เอนพิงศีรษะกับกระจกและนอนหลับไป ในขณะที่เธอปิดเปลือกตาลงเธอแอบหัวเราะกับตัวเองที่ตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชขนาดนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าแค่การนอนหลับจะเป็นเรื่องยากสำหรับเธอขนาดนี้
โม่หันมาที่เมือง F หลังจากที่เขาใจเย็นลงจากที่บริษัท เขาต่อสายหาเบอร์ที่เขาเลี่ยงมาตลอดแปดวันที่ผ่านมาแต่ทว่าไม่มีใครรับสาย จากนั้นจึงขับรถมาที่นี่เพียงเพราะอยากพบเธอ
ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ไม่ว่าเธอจะมองเขาแบบไหน เขาก็เพียงอยากจะพบเธอเท่านั้น
ดูเหมือนว่าการที่ได้เห็นหน้าเธอจะทำให้ความเจ็บปวดที่อัดอั้นอยู่ในใจของเขาได้บรรเทาลงบ้าง
เขาไปที่บ้านหลังนั้นแต่เธอไม่ได้อยู่ที่นั่น
เขาขับรถออกตามหาเธอไปทั่วเหมือนกับที่เคยทำที่เมือง S ตอนที่เธอออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก หลงวนไปวนมาบนท้องถนนให้เขารู้สึกว่าตัวเองกลับไปในอดีต อดีตที่เธอไม่เคยจากไปไหนและไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
อดีตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข อดีตที่ในตอนนี้เหลือเพียงความโดดเดี่ยว
การจากลาช่างกลายเป็นสิ่งที่น่าเศร้าได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน
ความเศร้าโศกที่ใครบางคนจากไปและทิ้งให้อีกคนต้องอยู่รอเพียงลำพัง มีแค่คุณเท่านั้นที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวนั้นเอาไว้
เขาคิดถึงภาพอดีตมากมายที่ย้อนกลับมา และท่ามกลางถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ในที่สุดเขาก็เห็นเธอพิงตัวเข้ากับกระจก
เธอนอนหลับไปเงียบๆ ยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่เขากลับรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกกับเธอ
เขาจอดรถไว้ข้างทางและเดินเข้ามาในร้านกาแฟ
พนักงานสาวยืนมองเธออยู่ข้างๆ และดูเหมือนจะกำลังลำบาก
“คุณคะ คุณ” พนักงานสาวเรียกเธอ
เขาเดินเข้ามาอยู่ข้างๆ มองอีกฝ่ายที่หลับอยู่และเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณรู้จักเธอเหรอ” เธอถาม
เขาพยักหน้ารับ
เธอถอนใจออกมา “เธอหลับตรงนี้มานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่เธอก็ไม่ตื่นขึ้นมาเลย ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปน่ะค่ะเลยคิดว่าจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาลอยู่”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ เธอคงเหนื่อยเฉยๆ” เขาว่าขึ้น “กลับไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวผมจะปลุกเธอให้ตื่นทีหลังเอง”
“ดีเลยค่ะ” เธอตอบรับ “คุณอยากดื่มอะไรไหมคะ”
เขามองซย่าชิงอีที่หลับอยู่ “เอาเหมือนเธอแล้วกันครับ”
พนักงานสาวพยักหน้าและเดินจากไป เขานั่งลงข้างเธอและค่อยๆ ประคองศีรษะของเธอจากกระจกมาซบลงที่ไหล่ของตัวเองพลางฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอ