ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 162 ชายหนุ่มหน้าตาดี
เขาเห็นใบหน้าของเธอไม่ชัดนักจากภาพจากด้านนอกกระจกที่เห็นก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นก็เห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายดูอิดโรยไม่น้อย ทั้งรอยคล้ำใต้ตาที่เผยให้เห็นจางๆ และใบหน้าขึ้นสี เมื่อแตะหน้าผากของเธอก็รู้สึกได้ว่าเธอตัวรุมๆ
เธอหลับสนิทนอนนิ่งไม่ไหวติงขณะที่พิงซบเข้าที่ไหล่ของเขา ไม่แปลกเลยที่พนักงานสาวจะกังวลและจะส่งเธอไปโรงพยาบาล
เขาไม่อยู่แค่แปดวัน เธอมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไงกัน
โม่หันนั่งลงเงียบๆ ข้างเธอ กระเป๋าของเธอที่ตั้งอยู่ระหว่างพวกเขาถูกเขาหยิบออกไปวางที่อื่น ในตอนนั้นเองที่ขวดยาหล่นลงมาบนเท้าของเขา
เมื่อหยิบขึ้นมาจึงรู้ว่ามันเป็นขวดยานอนหลับ
เขาหันไปมองหน้าเธอที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่
นึกย้อนไปตอนที่เธอย่องมาเอาหมอนหลังจากกลับมาจากเมือง F ในวันนั้น เขาน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เธอไม่เคยนอนหลับได้สบายสักคืน และตอนนี้เธอก็ต้องใช้ยานอนหลับเพื่อทำให้ตัวเองนอนหลับ
โม่หันหยิบกระดาษบนโต๊ะ เทยานอนหลับเกือบหมดขวดลงห่อไว้ในนั้น เหลือไว้เพียงเล็กน้อยติดก้นขวดก่อนที่จะใส่กลับไปในกระเป๋าเธออย่างเงียบๆ
ท่ามกลางความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ในยามบ่ายที่สาดส่องเข้ามาผ่านกระจก และเสียงกีตาร์ที่เล่นคลออยู่เบาๆ เขามองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาบนถนนด้านนอกหน้าต่าง มือของเขาประสานเข้ากับอวัยวะเดียวกันของเธอ
หากจะมีช่วงเวลาไหนที่เขาต้องการจะหยุดไว้ ก็คงจะไม่พ้นจะเป็นช่วงเวลานี้ไปเสียไม่ได้
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยสัมผัสถึงช่วงเวลาไหนที่สงบสุขเพียงนี้มาก่อน
ซย่าชิงอีตื่นขึ้นมาในเวลาพลบค่ำ ดวงอาทิตย์เริ่มตกเตรียมตัวที่จะลาลับไป ท้องฟ้าสีแดงสวยราวกับภาพวาด บรรยากาศด้านนอกที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ และแสงไฟข้างทางที่สว่างขึ้น ดวงดาวที่แขวนอยู่บนฟ้าสีครามส่องประกายระยับ
เธอหันหน้าและยืดคอไปมา คิดว่าคงต้องปวดคอหลังจากนอนหลับในท่านั้นมานาน แต่เมื่อบิดคอไปมาก็พบว่าเพียงแค่รู้สึกตึงนิดๆ เท่านั้น เธอมองเวลาและรู้สึกตัวว่าตัวเองหลับไปนานกว่าสี่ชั่วโมง และมันทำให้เธอรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เด็กสาวตัดสินใจว่าต่อไปจะมานอนหลับที่นี่อีก
เธอรู้สึกดีขึ้นมากจึงจ่ายค่าบริการให้กับพนักงานสาวเพิ่ม ก่อนจะหยิบกระเป๋าและเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
โดยหารู้ไม่ว่ามีรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ตรงข้ามร้านกาแฟ หันหน้าเข้าหาเธอและไม่ขยับไปไหนมาสักพักใหญ่
เธอกลับบ้านตามปกติ แม่ของเธอออกไปเมื่อสักครู่นี้ บอกว่าจะกลับไปทำธุระที่บ้านของลุงและจะไม่กลับมาสักสองวัน ทำให้ทั้งบ้านเหลือเพียงเธอและหันเลี่ยงอยู่กันตามลำพัง ตลอดเวลาสองวันเขามักจะสั่งอาหารมาจากร้านอาหาร
การกินอาหารร่วมกันผ่านไปได้ด้วยดี พวกเขาทั้งคู่ทำเหมือนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไป และกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับในตอนที่เธอเพิ่งจะมาถึงที่นี่ หันเลี่ยงเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟังไม่หยุดในขณะที่เธอนั่งกินอาหารเงียบๆ และทำเพียงยิ้มและเอ่ยตอบรับไม่กี่คำ
หลังจากมื้ออาหารจบลง เธอก็แสร้งทำเป็นเข้านอนอย่างที่เคยทำ
เธอหลับตาและเอนตัวลงบนเตียง และเมื่ออีกฝ่ายจะเข้ามาคุยกับเธอก็จะเอาแต่เงียบเพื่อบอกว่าเธอกำลังหลับอยู่
ตลอดช่วงบ่ายที่ร้านกาแฟเธอนอนหลับอย่างสบาย ทำให้เธอยังตื่นเต็มตาแม้ว่าเวลาจะล่วงไปจนถึงเที่ยงคืนแล้ว เธอลุกนั่งบนเตียงและเล่นกับผ้าห่มของตัวเอง
เสียงเปิดประตูดังขึ้นด้านนอกอย่างไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิด
เธอหลับตาและนอนตะแคงขณะที่แกล้งทำเป็นหลับต่อ
ประตูเปิดขึ้นปรากฏแสงเล็กๆ ที่ลอดเข้ามาจากด้านนอก สะท้อนให้เห็นเงาของผู้ชายบนกำแพง มันเป็นเงาของหันเลี่ยงนั่นเอง เธอนอนหันหลังให้ประตูและได้ยินเสียงประตูเปิดขึ้น จากนั้นไม่นานมันก็ถูกปิดลงเบาๆ ก่อนความเงียบจะโรยตัวไปทั่วห้องอีกครั้ง
เสียงพูดคุยของแม่ดังขึ้นจากด้านนอกให้เธอได้ยิน ดูเหมือนว่าเธอจะกลับมาแล้ว
เธอคลานลงจากเตียง เดินเข้าไปแนบหูกับประตูเพื่อฟังว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก
“เธอหลับแล้วเหรอ” เธอจำเสียงแม่ของตัวเองได้
“หลับแล้วครับ” หันเลี่ยงตอบ “คุยกับลุงลัวเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่มีปัญหาหรอก เราพาเนี่ยนเนี่ยนไปที่นั่นได้ภายในสองวันนี้แหละ”
“ดีเลยครับ”
เธอตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งคู่ผ่านบานประตู ดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ทว่าเธอกลับรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ดูแตกต่างออกไปจากตอนที่พวกเขาอยู่กับเธอ น้ำเสียงที่ดูเย็นชาและไร้อารมณ์ ช่างฟังดูแตกต่างจากน้ำเสียงที่ใช้พูดกับเธอนัก
“ก่อนหน้านี้ตำรวจโทรมาหาแม่ บอกว่า… พวกเขาเจอแล้ว” น้ำเสียงที่ท้ายประโยคนั้นของแม่ของเธอดูสั่นไหวอย่างอธิบายไม่ได้
“ไม่ครับ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลยครับ” เขาเอ่ยขัด
“แต่ว่า… เรารู้เรื่องนี้กันชัดเจนแล้วนะว่า…” อีกฝ่ายว่าขึ้น
“รู้อะไรครับ ตอนนี้ความจริงยังไม่เปิดเผยสักหน่อย เธอเพิ่งจะกลับมาหาเราหลังจากที่ลำบากมามาก แม่อยากให้เธอจากไปอีกหรือครับ”
หญิงสาวรีบตอบกลับอย่างไม่สามารถซ่อนความโศกเศร้าในน้ำเสียงไว้ได้ “ไม่ๆ เธอเป็นลูกสาวของแม่ ในที่สุดเธอก็กลับมาอยู่ข้างแม่หลังจากต้องลำบากมามาก แม่จะไม่ปล่อยให้เธอไปไหนอีก แม่เหลือเธออยู่แค่คนเดียว”
“แม่ต้องเข้าใจว่าเธอกลับมาแล้วนะครับ” เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นอีก “ไม่ว่ายังไงเธอก็กลับมาอยู่ที่นี่กับเราแล้ว”
“แต่ว่า… หันเลี่ยง… ไม่คิดว่ามันจะไม่ยุติธรรมกับเธอไปหน่อยเหรอ” แม่ของเธอถาม
“แล้วใครทำกับเราอย่างยุติธรรมบ้างล่ะครับ แม่ลืมไปแล้วเหรอว่าตลอดหกเดือนที่ผ่านมา เราผ่านอะไรกันมาบ้าง”
“หันเลี่ยง แม่ไม่เหลือใครอีกแล้ว มีแค่ลูกสาวเท่านั้น พ่อของเธอก็ตายไปแล้ว แม่รู้ตัวว่าคงจะอยู่ดูแลเธอได้อีกไม่นาน ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ มีแค่เธอเท่านั้น เธอต้องดูแลเธอให้ดีๆ และไม่ปล่อยให้เธอต้องทุกข์ทรมานนะ
“เธอต้องดูแลเธอให้ดีเหมือนที่เคยทำมา ไม่ว่าเธอจะมีเหตุผลอะไร แม่แค่อยากจากโลกนี้ไปอย่างสบายใจเท่านั้น” ซย่าชิงอีพิงตัวกับประตูและได้ยินแม่ของเธอพูดประโยคนี้ท่ามกลางค่ำคืนอันที่เงียบสงัด
น้ำเสียงของเธอดูสิ้นหวัง ซย่าชิงอีนึกถึงใบหน้ามีอายุของอีกฝ่ายที่ดูเศร้าสร้อยภายใต้แสงไฟ ราวกับว่าเธอได้เดินทางมาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว
“ผมสัญญา แม่ก็รู้ว่าผมรักเธอมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในอนาคตก็ตาม” เขาว่าขึ้น
ซย่าชิงอีไม่ได้อยู่ฟังต่ออีกต่อไป และกลับไปนั่งบนเตียงอย่างเงียบๆ เสียงของพวกเขาที่ดังอยู่ด้านนอกค่อยๆ เงียบลงไปในความมืด แม้ว่าพวกเขาจะยังพูดคุยกันอยู่หรือหยุดแล้วแต่เธอก็ไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาอีก
เธอเอนตัวลงนอนเงียบๆ พลิกผ้าห่มขึ้นคลุมตัวและปิดเปลือกตาลง ในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำพูดของพวกเขาก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง คงจะเป็นหันเลี่ยง
ตั้งแต่ที่เธอกลับมา เขามักจะเปิดประตูเข้ามาบ่อยๆ ทุกครั้งที่เธอหลับ ราวกับกลัวว่าเธอจะหายตัวไปจากที่นี่
เสียงปิดประตูของเขาดังขึ้นพร้อมกับคำพูดที่เขากระซิบบอกเธออย่างแผ่วเบาท่ามกลางความมืดมิดว่า ฉันจะรักเธอตลอดไปเนี่ยนเนี่ยน
หลังจากชีวิตของเธอที่เมือง F ค่อยๆ เข้าที่เข้าทาง หันเลี่ยงก็พาเธอกลับไปเรียนด้านการออกแบบที่มหาวิทยาลัยเหมือนก่อนหน้านี้ เธอไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดและลงเอยด้วยการวาดรูปมั่วซั่ว ทุกวันหลังเลิกเรียนเธอมักจะไปที่ร้านอาหารเพื่อหาอะไรทำและพูดคุยกับเสียวเหม่ย เหตุผลของการมาอยู่ที่ร้านของเธอเป็นเพียงเพราะว่าจะได้กลับบ้านได้ช้ากว่านี้อีกนิด
วงจรการนอนหลับของเธอยังคงยุ่งเหยิง ทว่าอย่างน้อยก็ยังได้แวะที่ร้านกาแฟนี้ทุกวันเพื่อมานอนหลับสักชั่วโมงหนึ่ง เมื่อพนักงานสาวเห็นเธอก็เอามิลค์เชกมาเสิร์ฟให้ตรงหน้าเธอเหมือนปกติ และมองเธอค่อยๆ หลับไปก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมาหลังจากหนึ่งหรือสองชั่วโมงจากนั้น ยืดตัวบิดขี้เกียจและเดินออกจากร้านไป
“ทำไมวันนี้ฉันไม่เห็นหนุ่มหล่อคนนั้นมาเป็นเพื่อนคุณแล้วล่ะคะ” หลังจากนอนหลับมาสักพักที่ร้านกาแฟตามปกติ เธอก็ออกไปจ่ายเงินกับพนักงาน บางทีอาจเป็นเพราะช่วงนี้เธอมานอนที่นี่นานขึ้น พนักงานจึงเริ่มพูดคุยกับเธอ
เธอรู้สึกงุนงง “หนุ่มหล่อเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ หล่อมากเลยล่ะค่ะ วันนั้นพวกเรายังคุยกันอยู่เลยว่าพวกคุณเป็นอะไรกัน เป็นแฟนกันเหรอคะ” พนักงานส่งยิ้มให้เธอ
“คุณคงจำผิดคนแล้วล่ะค่ะ ฉันมาที่นี่คนเดียวทุกครั้งเลยนะคะ”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ คุณนั่นแหละ ครั้งแรกที่คุณมาที่นี่และหลับอยู่ตรงนั้นไงคะ” พนักงานชี้ไปทางโต๊ะที่เธอนั่ง “ตอนนั้นฉันคิดว่าคุณไม่ค่อยสบายเลยคิดว่าจะพาคุณไปส่งโรงพยาบาลดีไหม แต่เขาก็โผล่มาบอกว่ารู้จักกับคุณ จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอคะ”
เธอพยายามคิดแต่ก็นึกอะไรไม่ออก เป็นหันเลี่ยงหรือเปล่านะ แต่เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเป็นเขาจริงคงบอกกับเธอหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว หรือเธอจะความจำเสื่อมอีกกัน
เมื่อพนักงานสาวเห็นเธอยังจำไม่ได้จึงตบเข้าที่ไหล่เธอเบาๆ “ดีที่เราถ่ายรูปเอาไว้เพราะเขาหล่อมาก!” ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความหลงไหลขณะที่พูดขึ้น “คุณไม่รู้หรอกว่าพวกคุณดูเหมาะสมกันขนาดไหนตอนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ฉันล่ะอิจฉาเลย!”
อีกฝ่ายดึงเธอไปอีกด้านและหยิบมือถือออกมาเปิดรูปให้เธอดู
เธอนิ่งค้างไปเมื่อเห็นรูปนั้น
ภายใต้แสงอาทิตย์ ศีรษะของเธอเอนซบกับไหล่ของเขา ทิ้งร่างพิงกับตัวของเขา ส่วนโม่หันทำเพียงดื่มกาแฟด้วยท่าทีสงบพลางเอนหลังบนโซฟา
เป็นเขาไปได้ยังไง เขาไม่ได้อยู่ที่เมือง S เหรอ เขามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ มาที่นี่ได้ยังไง วันนั้นเขามาที่นี่ทำไมกัน เธอไม่รู้ตัวว่าเอนซบเขาอยู่เลยได้อย่างไร
คำถามมากมายผุดขึ้นในใจเธอเต็มไปหมด
“คุณจำได้แล้วใช่ไหมคะ วันนั้นเขาอยู่ที่นี่นานเลย ทีแรกฉันคิดว่าเขาคงจะมาเป็นเพื่อนคุณแต่วันนี้กลับเห็นคุณมาคนเดียว”
เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างพูดอะไรไม่ออก
“โอ๊ะ ถ้าคุณสองคนมาที่นี่ด้วยกันอีก จะมาร่วมงานจิบน้ำชายามบ่ายสำหรับคู่รักกับเราก็ได้นะคะ ถ้ารูปของคุณได้ไปติดบนกำแพง ฉันรับรองได้เลยว่าคุณทั้งสองคนต้องชนะแน่ๆ ค่ะ! พวกคุณดูเหมาะสมกันจริงๆ นะคะ!”
เธอยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างประหม่า “ไม่เป็นไรค่ะ เขาค่อนข้างงานยุ่ง คงไม่สนใจงานแบบนี้เท่าไร”