ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 168 ถอดเสื้อผ้า
โม่หันลูบศีรษะเธอเบาๆ “ไปนอนเถอะ มีอะไรเราค่อยคุยกันหลังจากตื่นมาแล้วกันนะ”
เขาพาเธอมาที่ห้องของเธอและจับเธอนั่งบนเตียง จากนั้นจึงไปเอาผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำมาเช็ดศีรษะและตัวของอีกฝ่ายให้แห้ง
“เธอไม่ไปอาบน้ำหน่อยเหรอ เดี๋ยวก็ป่วยเอาหรอก” เขานั่งลงข้างเตียงพลางเช็ดศีรษะให้เธอ
คนถูกถามส่ายหน้า น้ำตายังคงไหลลงมาไม่หยุด
“ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยก็ถอดเสื้อผ้าหน่อย เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่แห้งก่อนจะเข้านอน”
เธอเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของตัวเองตั้งท่าจะถอดออก ทำคนที่อยู่ข้างๆ อย่างเขารีบลุกขึ้นและคลุมตัวเธอด้วยผ้าขนหนูขณะที่หันหน้าขวับไปอีกทาง “พี่ยังไม่ได้เอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เธอจะเปลี่ยนตอนนี้ได้ยังไง! รอเดี๋ยวสิ”
โม่หันก้าวไปยังตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนตัวเก่าของเธอออกมาและส่งให้เจ้าของชุดพร้อมเสหน้ามองไปทางอื่น “เช็ดตัวให้แห้งก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”
เธอรับเสื้อผ้ามาและวางมันลงข้างๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงหลังจากถอดเสื้อผ้าเปียกชุ่มออกไปแล้วหนึ่งชิ้น น้ำตาค่อยๆ หยุดไหล ความรู้สึกเดียวที่มีคือเหนื่อยเหลือเกิน พยายามที่จะไม่คิดถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เมือง F และจดจ่อกับการออกแรงเช็ดตัวให้แห้ง
ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นมุมหนึ่งของรูปที่โผล่พ้นกระเป๋าเสื้อผ้าที่เปียกปอนออกมา เธอก็ถูกดึงให้กลับสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง
โม่หันไม่ได้ยินเสียงขยับใดๆ จากเธอและคิดว่าเธอคงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เขาหันหน้ากลับไปและพบว่าเธอยังคงนั่งนิ่งเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางเหม่อลอย
“ทำไมเธอยังไม่สวมเสื้อผ้าล่ะ!” เขาหันไปอีกทางทันที
น้ำเสียงของเขาเรียกให้เธอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เธอค่อยๆ หยิบชุดนอนขึ้นมาสวม จากนั้นจึงล้มตัวนอนลงบนเตียงทั้งที่ยังลืมตาจ้องมองไปนอกหน้าต่าง “ฉันจะนอนแล้วค่ะ พี่ออกไปได้แล้วล่ะ”
เมื่อเขาหันกลับไปมองและเห็นว่าเธอนอนตะแคงอยู่บนเตียงโดยที่เส้นผมยังคงเปียกชื้น ช่วงบนสวมชุดนอนแต่ท่อนล่างยังคงสวมกางเกงยีนเปียกๆ อยู่ เขาทนดูเฉยๆ ไม่ไหวอีกต่อไปก่อนถอนหายใจออกมา “มา เดี๋ยวพี่ช่วยเธอเอง”
เขาคุกเข่าลงข้างเตียง เลิกชายเสื้อนอนของอีกฝ่ายเล็กน้อยและปลดกระดุมกางเกงยีน หันหน้าไปอีกทางขณะที่ดึงกางเกงเธอลงช้าๆ ส่วนซย่าชิงอีทำเพียงเอาแต่จ้องออกไปนอกหน้าต่างและไม่มีทีท่าตอบสนองใดๆ
โม่หันรู้ว่าคงมีบางอย่างเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่เป็นแบบนี้ และเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องทั่วไปอย่างการมีปัญหากับหันเลี่ยงอย่างแน่นอนไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงจะไม่โทรหาเขา
เขารีบช่วยเช็ดตัวให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงเดินไปหยิบไดร์เป่าผมในห้องน้ำ นั่งลงข้างเตียงก่อนปรับความร้อนของไดร์เป่าผมและเริ่มเป่าผมให้แม้ว่าเธอจะหลับไปแล้วก็ตาม
ดูเหมือนเธอจะสบายตัวมากขึ้น เปลือกตาที่ปิดลงขณะที่ปล่อยให้เขาใช้มือสางไปทั่วกลุ่มผม ลมอุ่นๆ จากไดร์เป่าผมทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าซีดจากการตากฝนของเธอให้ขึ้นสีแดง
ทำให้เธอรู้จักกับการนอนหลับโดยที่ไม่ใช้ยาอย่างไม่รู้ตัว
และเธอก็ตกไปในห้วงนิทรานั้นจนกระทั่งสิบโมงเช้าของอีกวัน
“เธอตื่นแล้วเหรอ” สิ่งแรกที่ทำให้เธอตกใจคือการเห็นหน้าโม่หันในยามที่เธอตื่นขึ้นมา
เขาอยู่ในชุดลำลองและกำลังเอนตัวพิงกับหัวเตียงของเธอและอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง ขาทั้งสองข้างเหยียดยาวทับกันเอาไว้
เธอหลับไปนานจนปวดหัวและลุกขึ้นนั่งพลางนวดคลึงขมับไปด้วยความมึนงง
“หันเลี่ยงโทรหาพี่สามครั้งแล้ว พี่บอกไปว่าเธอไม่อยู่ที่นี่ ถ้าเธออยากกลับไปแล้วก็โทรหาเขาละกัน”
เธอขยับไปข้างเตียง กำลังจะสวมรองเท้าอยู่บ้านและลุกออกจากเตียง เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงของโม่หันดังขึ้นด้านหลัง “อะไรกัน เธอไม่หยุดคิดหน่อยเหรอ เธออยากกลับไปคืนดีแล้วก็รอที่จะโทรกลับไปหาเขาไม่ได้เลยหรือไง”
อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนก่อนหันหน้ามามองเขา ท่าทางดูหงุดหงิดเล็กน้อยและพูดขึ้นเบาๆ “ฉันแค่จะไปเข้าห้องน้ำค่ะ”
เขาลุกขึ้นนั่งและมองตามหลังเธอไป จนเห็นเธอเดินเข้าห้องน้ำไป
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ออกมา ยังคงมีหยดน้ำเกาะอยู่ที่เส้นผม เธอคงไปล้างหน้ามา ทว่าก็ยังดูเหนื่อยล้าและไม่ได้ดีขึ้นมากนักจากเมื่อคืนวาน
โม่หันเอ่ยถาม “เธอหิวไหม”
เธอตอบกลับ “นิดหน่อยค่ะ”
“เธออยากกินอะไรล่ะ”
“เกี๊ยวจิ๋วที่โจวจี้ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่สั่งให้เขามาส่งที่นี่” ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะออกไปซื้ออาหารและปล่อยให้เธออยู่บ้าน แต่ด้วยอาการของเธอตอนนี้ เขาแทบไม่กล้าปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียว
“พี่เอาเสื้อผ้าที่เปียกของฉันเมื่อวานไปไว้ไหนเหรอคะ” เธอเอ่ยถามเขา
“อยู่ในเครื่องซักผ้าแล้ว” สิ้นประโยคของเขาเธอก็รู้สึกใจหาย หันขวับรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ มุ่งหน้าไปที่เครื่องซักผ้าที่มุมขวาของห้องน้ำ
“เธอตามหาไอ้นี่อยู่เหรอ” เขาตะโกนมาจากด้านหลัง
เธอหันกลับไปและเห็นเขากำลังถือรูปอยู่ในมือ รีบเหวี่ยงตัวเดินกลับมาอีกทางและหยุดข้างๆ เขา ต้องการจะคว้ารูปจากมือแต่อีกฝ่ายกลับยกมันขึ้นสูงจนเธอเอื้อมไม่ถึง
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น” เขาถาม
“เดี๋ยวฉันจะบอกพี่ทีหลังค่ะ ส่งรูปมาให้ฉันก่อน”
เธอจ้องมองเขา ยื่นมือไปตรงหาเขาอย่างมั่นใจว่าเขาจะต้องคืนรูปให้เธออย่างแน่นอน และเขาก็ทำเหมือนที่เธอคาดไว้ เขามองเธอครู่หนึ่งก่อนที่จะวางรูปบนมือของเธอ
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อยค่ะ” เธอว่าขึ้น
“เอาไปทำอะไร” เขาถามพลางหยิบโทรศัพท์บนเตียง
“โทรหาหันเลี่ยง” เขาตั้งใจจะส่งมันให้เธอแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอบอก แต่สุดท้ายเขาก็เคารพการตัดสินใจของเธอและส่งโทรศัพท์ให้
เธอหยิบโทรศัพท์และเดินไปที่ระเบียง จริงๆ แล้วตอนนี้เขาควรที่เดินไปที่ห้องอื่นให้เธอได้คุยอย่างเป็นส่วนตัว แต่เมื่อเห็นเธอเดินหันหลังจากเขาไปก็อยากได้ยินว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน
ทว่าเขาก็ยังคงเลือกที่จะเดินห่างออกมาอย่างคิดว่าตอนนี้เธอคงอยากอยู่ตามลำพัง
ตอนที่ซย่าชิงอีกำลังล้างหน้าในห้องน้ำ จังหวะที่เธอจุ่มหน้าลงไปในน้ำก็คิดได้ว่าเธอควรเผชิญหน้ากับความจริง ควรแก้ปมของเรื่องนี้อย่างที่พึงจะเป็นและเปิดเผยความจริงที่ซับซ้อนและน่าเจ็บปวดนี้ แม้ว่าตอนนี้มือของเธอที่ถือโทรศัพท์อยู่จะยังคงสั่นไหว เธอสูดหายใจลึกไม่กี่ครั้งก่อนที่จะแนบหูกับโทรศัพท์
“ฉันเอง” เธอว่าขึ้น
เมื่อหันเลี่ยงได้ยินเสียงเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้น แต่พอมองหน้าจอและเห็นว่าเป็นเบอร์ของโม่หัน ท่าทีของเขาก็ดูเย็นชาขึ้นมา [เธอไปหาเขาเมื่อวานสินะ]
“เรื่องเมื่อวานมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา” เธอชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นในตอนท้าย “หันเลี่ยง ฉันรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”
หัวใจของเขาเต้นระรัวอยู่ในอก [เธอรู้อะไร]
“ฉันคิดว่าพวกคุณทุกคนโกหกฉัน คิดว่าพวกคุณทุกคนปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะความจำเสื่อม แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะลงเอยแบบนี้เลยสักนิด”
[เนี่ยนเนี่ยน เธอคงได้ยินบางอย่างมาจากคนอื่นใช่ไหม อย่าไปเชื่อเรื่องพวกนั้นเลยนะ ทำไมฉันต้องโกหกเธอด้วยล่ะ]
“หันเลี่ยง! เลิกโกหกตัวเองสักที ฉันไม่ใช่ซ่งเย่ว์เนี่ยน!”
คนปลายสายเงียบไป
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ในที่สุดหันเลี่ยงก็อ้าปากพูดออกมา [เธอรู้ได้ยังไง]
“เมื่อวานฉัน…เจอรูป ฉันคิดว่า… คุณก็คงไม่เคยเห็นมัน มันบังเอิญหล่นลงมาในมือฉัน” เธอกำโทรศัพท์ในมือแน่น “หันเลี่ยง ออกมาคุยกันเถอะ”
[ได้สิ] เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา [ฉันจะออกไปเจอเธอ]
หลังจากวางสายและเดินกลับเข้ามาในบ้าน เธอปิดประตูและเห็นโม่หันนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นด้านนอก มีแล็ปท็อปวางอยู่ตรงหน้า คงกำลังพิมพ์เอกสารอะไรบางอย่างอยู่
“เธอจะไม่อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานจริงๆ เหรอ”
เธอเอ่ยขึ้นระหว่างที่คิดว่าจะปล่อยให้เขาทำงานเงียบๆ และหมายจะเดินไปที่ห้องอ่านหนังสือเพื่อจะได้ไม่รบกวนเขา
“ฉะ…ฉันยังเล่าได้ไม่เต็มปากตอนนี้… ถ้าพี่อยากที่จะฟังหลังจากฉันกลับมาหลังจากนี้ ฉันจะค่อยๆ เล่าทุกอย่างให้พี่ฟังนะคะ”
“เธอจะไปไหน”
“ไปเจอหันเลี่ยงค่ะ”
“ไปทำไม เธอสองคนทะเลาะกันเหรอ เลยทำให้เธออยากหย่ากับเขาอย่างนั้นใช่ไหม” โม่หันรู้สึกไม่พอใจนัก ตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่เมื่อคืนเธอก็ไม่เคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอให้เขาฟัง แม้เขาจะรู้ว่าเธอต้องการเวลาแต่เขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตอนนี้เธอทำตัวกับเขาเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า
เขาอึ้งไปเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด ทำเพียงหันหน้ามามองเขา “เปล่าค่ะ พี่คิดมากไปแล้ว”
และนั่นทำให้เขายิ่งโกรธมากขึ้น “อ้อ อย่างนั้นเหรอ เธอแค่ไม่พอใจเขาเลยมาหาพี่กลางดึกเมื่อคืนใช่ไหม! พอเธอเสียใจจากเขาก็มาทำกับพี่เหมือนเป็นคนคั่นเวลา! ทำเหมือนพี่เป็นชู้ของเธอ!”
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงต้องโกรธขนาดนั้นและรู้สึกตกใจ พลางยกมือขึ้นเกาหูอย่างมึนงง “ฉันเปล่าค่ะ! … ทำไมพี่ต้องคิดแบบนั้นตลอดด้วยนะ ที่ฉันหมายถึงคือ… ฉันยังไม่ได้แต่งงาน… ไม่สิ ฉันไม่ได้แต่งงานกับหันเลี่ยง… อ๊ะ… แล้วก็ฉันไม่ใช่ซ่งเยว่เนี่ยนด้วยซ้ำ!”
อีกฝ่ายจ้องหน้าเธอ “เธอพูดว่าอะไรนะ!”
เธอว่าขึ้น “คือว่า… ฉันก็ยังอธิบายทุกอย่างให้พี่ฟังเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ตอนนี้… เดี๋ยวฉันจะเล่าให้พี่ฟังหลังจากกลับมาแล้วกันนะคะ”
“แล้วเธอจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาจจะสักพักหนึ่งเลย”
“พี่จะไปกับเธอ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องระหว่างเราสองคน ถ้าพี่ไปเดี๋ยวเรื่องมันจะแย่ลงกว่าเดิมเอานะคะ”
เมื่อเห็นว่าเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมและไม่มีท่าทีแบบเมื่อวานแล้วเขาก็โล่งใจขึ้นมา ทว่ายังคงงุนงงกับสิ่งที่เธอบอกก่อนหน้านี้ คิดว่าในวันนั้นเธอคงผ่านเรื่องราวที่เมือง F มามากและเขาก็ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นสักนิด
ซย่าชิงอีเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและยืนอยู่ที่หน้าประตู ก้มลงใส่รองเท้าขณะที่เขาได้แต่มองเธอจากในห้องนั่งเล่น “เธออยากกินอะไรหลังจากกลับมาคืนนี้”
หลังจากเธอใส่รองเท้าเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เขา “แล้วแต่พี่เลยค่ะ”
ราวกับว่าพวกเขากลับมาใช้เวลาเรียบง่ายแต่แสนอบอุ่นด้วยกันหมือนเดิม เมื่อเขาถามเธอว่าอยากจะกินอะไรเป็นอาหารเย็นและอีกฝ่ายตอบกลับมาว่าอะไรก็ได้ ในจังหวะที่เธอยืนอยู่หน้าประตูและมองไปที่เขา ในที่สุดเธอก็ได้สัมผัสถึงความสบายใจเสียที
เหมือนกับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื้นตันเมื่อในที่สุดก็ได้กลับมาพักใจที่บ้านท่ามกลางสายลมอ่อนๆ เย็นชื่นใจ หลังจากออกไปผจญภัยข้างนอกมาเนิ่นนานและผ่านความยากลำบากมามากมาย
เธอไม่ต้องการไปจากที่นี่อีกแล้ว อยากจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป จนกระทั่งแก่และตายจากโลกใบนี้ไป