ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 169 ซ่งเย่ว์เนี่ยนตัวจริง
หันเลี่ยงนั่งอยู่ในร้านอาหารบนถนนในเมือง S ที่เขาเจอซย่าชิงอีเป็นครั้งแรก
แก้วน้ำถูกวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า เขานั่งอยู่อย่างนี้มากว่าครึ่งชั่วโมงจนน้ำในแก้วที่เคยร้อนเกือบเดือดเย็นลง ทำเพียงมองผ่านหน้าต่างไปที่ท้องถนนที่พวกเขามองกันและกันจากที่ไกลๆ ในวันนั้น
ทีแรกเขาคิดว่าเธอจะไม่ได้สงสัยอะไร คิดว่าเขาจะทำให้เธอตกหลุมรักได้ก่อนที่เธอจะค้นพบความจริง หากเป็นเช่นนั้นต่อให้เธอรู้ความจริงแล้วเธอก็คงไม่จากเขาไป
เขาไม่คิดว่าทุกอย่างจะมาลงเอยเช่นนี้
“ฉันขอโทษ… มาสายไปนิด รถติดน่ะ” ซย่าชิงอีรีบเข้ามาหาหันเลี่ยง
“ไม่เป็นไร” เขายังคงเหมือนเดิม ส่งยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน และเอ่ยถามเธอเหมือนที่มักจะทำมาตลอด “เธออยากไปไหนหลังจากกินข้าวเสร็จไหม”
“ฉันคิดว่าไม่จำเป็นหรอก หลังจากคุยและกินข้าวเสร็จแล้วกลับกันเถอะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้… เราจะกลับไปด้วยกัน”
เธอขัดเขาขึ้น “หันเลี่ยง! คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ฉันจะไม่กลับไปกับคุณ ฉันไม่ใช่ซ่งเย่ว์เนี่ยน!”
ท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที เขาวางแก้วในมือที่กำลังยกดื่มลง ก้มหน้าและทำเพียงยิ้มบางๆ
เธอหยิบรูปภาพเก่าๆ ที่เปียกชื้นจากน้ำฝนเมื่อวานและวางมันลงบนโต๊ะ “ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือ… ซ่งเย่ว์เนี่ยนตัวจริงสินะ เราเป็นฝาแฝดกัน มิน่าล่ะเราถึงหน้าตาเหมือนกันอย่างนี้”
ในรูปนั้นปรากฎภาพเด็กผู้หญิงอายุสิบเอ็ดปีสองคนที่มัดผมหางม้ายืนจับมือกันอยู่หน้าบ้านหลังนั้นในเมือง F สิ่งที่แตกต่างคือเด็กหญิงด้านซ้ายมือกอดตุ๊กตาเอาไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง ในขณะที่เด็กสาวอีกคนถือหนังสือพร้อมสีหน้าบึ้งตึงบนใบหน้าเหมือนกับถูกบังคับให้ถ่ายรูป
“คนที่อยู่ด้านขวาคือฉันใช่ไหม ส่วนคนที่อยู่ทางซ้ายคือน้องสาวของฉัน และคือซ่งเย่ว์เนี่ยนที่คุณพยายามตามหาใช่ไหม”
“เธอจำทุกอย่างได้แล้วเหรอ” เขาเอ่ยถาม
“ไม่ ฉันจำได้แค่แม่และเรื่องบางอย่างตอนเด็กๆ เท่านั้น ฉันคาดเดาเอาเองจากเรื่องที่รู้ทั้งหมด ระหว่างทางที่นั่งแท็กซี่มาก็ยังคงไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนี้เมื่อฉันมาเจอคุณ ฉันก็คิดว่าฉันเดาไม่ผิด”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนไหนในรูปคือเธอและคนไหนคือซ่งเย่ว์เนี่ยน”
“ถึงแม้ฉันจะจำไม่ได้แต่สัญชาตญาณของฉันมักถูกต้องเสมอ อาจจะเข้าใจยากไปสักหน่อยแต่เมื่อฉันเห็นรูปใบนี้ฉันก็รู้สึกได้ว่าเด็กหญิงที่อยู่ทางขวามือคือฉัน ฉันสัมผัสได้ถึงท่าทีของเธอที่เหมือนกับฉัน”
“เธอจะมากล่อมให้ฉันเชื่อด้วยเหตุผลแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
เธอยกยิ้ม “ฉันได้ยินเสียวเหม่ยพูดว่าซ่งเย่ว์เนี่ยนชอบปลูกดอกไม้เลยมีกระถางต้นไม้เล็กๆ เต็มบ้านไปหมด ของพวกนั้นคงจะถูกเธอเก็บเอาไว้ แต่บังเอิญว่าฉันไม่ชอบดอกไม้เลยสักนิด ที่สำคัญคือเสียวเหม่ยยังบอกว่าเธอรักคุณมาก แต่ตั้งแต่ที่ฉันกลับไป ฉันกลับไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับคุณเลยแม้แต่นิด นั่นทำให้ฉันรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมา ฉันรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เหมือนซ่งเย่ว์เนี่ยนในอดีตเลย”
เขาพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนจะมีแต่เธอที่รักฉันมากขนาดนั้น” ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาคนนี้ไม่ใช่ซ่งเย่ว์เนี่ยน แม้ว่าพวกเธอจะหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะก็ตาม ในตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจสิ่งที่แม่ของเนี่ยนเนี่ยนบอกวันนั้น
เธอบอกว่าทุกคนบนโลกใบนี้มีความแตกต่างกัน มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาไม่มีอะไรที่เหมือนกันแม้แต่น้อย
“เธอ… เธอตายไปแล้วใช่ไหม” ซย่าชิงอีว่าขึ้น
“เธอยังไม่ตาย!” อารมณ์โกรธของหันเลี่ยงพุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“ฉันได้ยินที่คุณคุยกับแม่คืนนั้น ตำรวจคงเจอร่างของเธอแล้ว” น้ำเสียงหนักของเธอดังขึ้น
“เธออย่าทำเป็นรู้ทุกอย่างไปหน่อยเลย! คิดว่าแค่ตามสืบนิดหน่อยจนรู้ว่าตัวเธอไม่ใช่ซ่งเย่ว์เนี่ยนแล้วจะมาตัดสินว่าเธอตายไปแล้วได้เหรอ! ฉันจะบอกเธอให้นะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เราอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี เธอรู้ไหมว่ามันนานแค่ไหน ฉันจะไม่รู้ว่าเธอตายไปแล้วหรือเปล่าได้ยังไง!” เขาเกือบจะโวยวายลั่นออกมา
บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบ ซย่าชิงอีและหันเลี่ยงนั่งเผชิญหน้ากันอยู่คนละฝั่งของโต๊ะ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“เมื่อครึ่งปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เธอพูดพลางก้มหน้าลง
“ฉันก็ไม่…แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ดูเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันยังคิดว่าเป็นแค่ฝันไปอยู่เลย” เขาเอ่ยช้าๆ “เมื่อครึ่งปีก่อน ฉันได้รับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จักระหว่างที่กำลังจัดการบัญชีที่ร้าน เขาบอกว่าเขาลักพาตัวเนี่ยนเนี่ยนไปและให้เตรียมเงินหนึ่งล้านหยวนให้เขาเพื่อแลกกับตัวเธอ ฉันยังจำได้เลยว่าตอนนั้นฉันหัวเราะออกมาและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เนี่ยนเนี่ยนเพิ่งโทรหาฉันเมื่อชั่วโมงก่อนให้ไปรับเธอเอง เธอจะถูกลักพาตัวไปในเวลาแค่แปปเดียวได้ยังไง
“แต่อีกฝั่งของสายเสียงดังมากและคนคนนั้นก็ให้ฉันฟังเสียงของเนี่ยนเนี่ยน เธอเอาแต่ร้องไห้จนฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเนี่ยนเนี่ยนจริงหรือเปล่า เธอละล่ำละลักพูดออกมาไม่เป็นคำ จริงๆ ฉันยังสงสัยว่าตัวเองโดนหลอกหลังจากวางสายไป
“ฉันโทรหาเนี่ยนเนี่ยนหลังจากนั้นแต่ไม่มีใครรับสาย พอไปหาเธอที่มหาวิทยาลัยเพื่อนร่วมชั้นของเธอก็บอกว่าเห็นเธอออกไปคุยโทรศัพท์เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ฉันไปหาเธอที่ร้านและที่บ้านแต่ก็ไม่เจอเธอเลย
“ฉันเริ่มเชื่อสิ่งที่ได้ยินจากโทรศัพท์สายนั้น เลยเตรียมเงินไว้และรอให้โจรลักพาตัวโทรมาเพื่อแลกกับตัวเนี่ยนเนี่ยน ฉันไม่สนใจว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนเพียงแค่ต้องการให้เนี่ยนเนี่ยนกลับมา แต่มันก็ไม่คืนตัวเธอมาให้ฉัน
“เธอไม่คิดว่ามันตลกไปหน่อยเหรอ ฉันเตรียมเงินมาเรียบร้อยแล้วและไม่เคยคิดจะโทรหาตำรวจ ฉันแค่ต้องการให้เนี่ยนเนี่ยนกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ตำรวจกลับมาหาฉันเอง พวกเขาบอกว่าพบร่างของหญิงสาวอยู่ในห้องใต้ดินในย่านชานเมืองเมื่อหลายวันก่อน สันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากแก๊สพิษ มีเบาะแสหลายอย่างที่ห้องใต้ดินนั้นรวมถึงเชือกที่ขาดกระจายด้วย
“พอฉันถามว่าเนี่ยนเนี่ยนอยู่ที่ไหน เธอรู้ไหมว่าพวกเขาตอบว่าอะไร พวกเขาบอกว่าไม่รู้”
หันเลี่ยงคงไม่ค่อยได้พูดมากขนาดนี้กับใครมานานแล้ว เขาเอ่ยต่ออย่างเงียบๆ ในขณะที่เธอได้แต่นั่งฟังอีกฝ่าย
“พวกเขาบอกว่าสถานการณ์ของเนี่ยนเนี่ยนดูไม่ค่อยดีนัก มีเลือดกองใหญ่เจิ่งนองในห้องและเมื่อเขาเอาไปตรวจสอบก็พบว่ามันเป็นเลือดของเนี่ยนเนี่ยน”
ซย่าชิงอีกล่าวขึ้น “คุณก็เลยยังตามหาเธอต่อไปอยู่แบบนี้เหรอ”
“จริงๆ แล้วแม่ของเธอพูดมาตลอดว่าเนี่ยนเนี่ยนตายไปแล้ว ตำรวจที่ติดต่อฉันมาสองเดือนก่อน บอกว่าเจอศพของเนี่ยนเนี่ยน บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เธอพลัดตกลงไปในแม่น้ำลึกตอนที่กำลังวิ่งหนี เธอบาดเจ็บและแถวนั้นก็ไม่มีคนช่วยเธอไว้เลยเสียเลือดมากขนาดนี้”
เขาชะงักและเงียบไป ดูเหมือนจะจมดิ่งไปกับเรื่องในอดีต เธอจึงตัดสินใจปลอบเขาด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนถามขึ้น “ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันล่ะ ฉันความจำเสื่อมได้อย่างไร”
หลังจากได้ยินอีกฝ่ายพูดมามากแล้ว เธอก็รู้ว่ามันไม่มีเรื่องราวส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับเธอในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเลย เธอยังคงไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอคงอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับซ่งเย่ว์เนี่ยน แต่เมื่อฟังสิ่งที่เขาเล่าดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
เขามองหน้าเธอแล้วว่าขึ้นอย่างปลงๆ “จริงๆ แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าเธอความจำเสื่อมได้ยังไง ฉันเจอเธอแค่ไม่กี่ครั้ง รวมถึงตอนที่เจอกับบนถนนวันนั้นนั่นแหละ”
เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“ตอนฉันยังเด็ก มีเนี่ยนเนี่ยนอยู่แค่คนเดียวตอนที่ฉันเจอเธอ ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่าเธอมีพี่สาวฝาแฝดที่ตายไปเพราะอุบัติเหตุเท่านั้น หลังจากนั้นฉันก็เจอเธอบนถนน พอกลับไปถามพวกเขาก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอยังไม่ตาย”
ซย่าชิงอีรู้สึกสับสนมากกว่าเดิมอย่างไม่รู้ว่าเรื่องกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
“เมื่อสองปีก่อน แม่ของเธออยากจะพาเธอกลับมาแต่เธอไม่ยอม เธอบอกว่าจะไม่กลับไปอยู่กับพวกเขาอีกแล้ว แล้วก็บอกว่าเธอสบายดีและไม่ต้องการเห็นหน้าพวกเขาอีก”
เธอสงสัยในคำพูดที่น่าเหลือเชื่อของเขา
ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอไม่เชื่อและพูดขึ้น “อันที่จริงเมื่อสองปีก่อนฉันก็ไม่เชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง ฉันเจอเธอแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ก็เห็นแววตาไม่เป็นมิตรของเธอที่ทันทีมองมา ท่าทางของเธอเวลาพูดดูเย็นชาและเหินห่างจนแทบไม่เชื่อว่าเป็นพี่สาวฝาแฝดของเนี่ยนเนี่ยน”
เขาเอ่ยเสริม “ฉันก็ไม่แน่ใจเรื่องของเธอเท่าไหร่ เธอจากไปตอนที่อายุสิบเอ็ดปีได้ ฉันเลยไม่ค่อยรู้เรื่องของเธอ บางทีแม่ของเธออาจจะรู้ก็ได้ เธอลองไปถามท่านดูสิ”
ทันใดนั้นเธอก็นึกได้ “มิน่าล่ะฉันถึงจำได้แต่ความทรงจำตอนเด็กๆ ตอนที่กลับบ้านไปกับคุณ”
“เธอแตกต่างกับตอนที่ฉันเจอเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเธอดูเย็นชา ทำตัวห่างเหิน และเอาแต่มองฉันด้วยสายตาเชือดเฉือน” เขานึกย้อนไป
“ถ้างั้น… ฉันชื่ออะไรล่ะ ชื่อจริงๆ ของฉัน” เธอถามขึ้น
“ซ่งเนี่ยนมู่”
เธอทวนชื่อนั้นซ้ำเบาๆ ความทรงจำฉายแวบเข้ามาในหัวราวกับเส้นไหมที่วูบไหวในใจของเธอ
“แต่เธอดูจะไม่ชอบชื่อนี้เท่าไหร่ แล้วก็ให้เราเรียกเธอว่าลิน่า”
“ลิน่า?” เธอขมวดคิ้วมุ่น
“ใช่ เธอไม่ชอบให้เราไปหาเธอด้วย ฉันจำได้ว่าตอนที่ไปหาเธอพร้อมครอบครัวของเธอ เธอบอกพวกเขาว่าให้ทำเป็นไม่เคยรู้จักเธอและทำเหมือนซ่งเนี่ยนมู่ได้ตายไปแล้ว พอเราไปหาเธออีกครั้งหลังจากนั้น ก็พบว่าเธอย้ายที่อยู่ไปแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย”
ซย่าชิงอีรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินเรื่องของเธอเมื่อสองปีก่อนที่เขาเล่าให้ฟัง
เธอเป็นคนพูดอย่างนั้นออกไปจริงๆ เหรอ ทำไมถึงดูแตกต่างจากเธอในตอนนี้นัก หรือว่าพวกเขาจะจำผิดคนกัน