ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 192 ฉันคิดถึงพี่
ซย่าชิงอีจำทุกอย่างได้ในภาพฝันอันเลือนราง
ความทรงจำตลอดแปดปีนับจากที่เธอได้รับบาดเจ็บในวัยสิบเอ็ดปีปรากฏชัดระหว่างที่อยู่ในห้วงนิทรา ทั้งที่ในความจริงแล้วเธอนอนสลบอยู่ในรถพยาบาลไปเพียงเกือบชั่วโมงเท่านั้น
ในตอนนั้นเองที่เธอไม่แน่ใจนักว่าระหว่างแปดปีและหนึ่งชั่วโมง สิ่งไหนยาวนานหรือสั้นกว่ากัน
เมื่อเห็นว่าเธอลืมตาและดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาแล้ว เจ้าหน้าที่พยาบาลบนรถก็เอ่ยถามขึ้น “คุณเป็นยังไงบ้างครับ”
เธอกะพริบตาครั้งหนึ่ง ท่อช่วยหายใจยังคงอยู่ในจมูก เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาและทำเพียงหันหน้าไปด้านข้าง เห็นแสงจากโคมไฟเล็กๆ ในรถพยาบาลด้วยสติที่ยังไม่กลับคืนมาดีของตัวเอง
เจ้าของร้านที่พบก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่บนรถและเธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน มีเพียงหมอคนหนึ่งที่สวมเสื้อกาวน์และชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คงจะเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาล
ทันทีที่เธอพยายามลุกขึ้นนั่งแต่หมอก็ดันตัวเธอให้นอนลงไป “อย่าขยับครับ ตอนนี้คุณต้องนอนพักสักครู่”
เธอเอ่ย “ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ ฉันกลับไปได้หรือยัง”
อีกฝ่ายมองเธออย่างอึ้งๆ “กลับหรือครับ แต่คุณกำลังอยู่บนรถพยาบาลนะ”
“ฉันขอโทษที่ทำให้พวกคุณทุกคนลำบากนะคะ ตอนนี้ฉันรู้ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ค่ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว ช่วยหยุดรถที่แยกด้านหน้าด้วยนะคะ ฉันไปต่อเองได้”
ท่าทางของหมอดูไม่พอใจนักพลางชี้ไปที่เครื่องตรวจวัดคลื่นหัวใจที่เชื่อมต่อกับร่างของเธออยู่และว่าขึ้น “ดูชีพจรของคุณตอนนี้สิ ร้อยยี่สิบครั้งต่อนาที แถมความดันเลือดของคุณก็ต่ำด้วย การหายใจของคุณก็ยังดูอาการไม่ดีนัก คุณไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายเสียหน่อยเถอะครับ”
“ฉันรู้ค่ะ… แต่ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันเกือบหายเป็นปกติแล้วนะคะ ฉันอยากจะไปตรวจร่างกายแต่มีบางอย่างที่ต้องกลับไปทำที่บ้าน ฉันต้องรีบกลับไป ฉันจะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้แน่นอนค่ะ” อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากไปโรงพยาบาลเท่าไรนัก หากเธอยอมไปมีหวังได้ถูกพวกเขาพาไปตรวจร่างกายมากมายให้กลับไปเมือง S ภายในคืนนี้ตามแผนที่วางไว้ไม่ทันแน่ ถ้าเธอโทรหาโม่หันเขาคงเป็นห่วงและเธอไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวลกับเธอ
หมอที่เห็นเธอยืนกรานอย่างนั้นและเห็นว่าชีพจรเริ่มลดลง หน้าตาของเธอดูมีชีวิตชีวามากขึ้นหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เขาจึงยอมให้เธอทำตามที่ต้องการและให้คำแนะนำขั้นพื้นฐานกับเธอ ก่อนจะปล่อยให้เธอลงที่แยกหนึ่งและขับออกไป
เมื่อลงมาจากรถ ในจังหวะที่เท้าของเธอก้าวลงบนพื้นถนน อยู่ๆ ก็รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยราวกับเพิ่งตื่นมาจากห้วงความฝันอันยาวนาน จ้องมองด้านหลังของรถพยาบาลที่ขับหายลับตาไป จากนั้นจึงเลื่อนสายตาไปตามถนนที่คุ้นตาซึ่งเธอหลงลืมไปเป็นเวลานาน
เธออยู่ในเมืองนี้มาตลอดแปดปี
ตัวเธอในอดีตหลบซ่อนในเมืองนี้เนิ่นนาน จริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่เธอเกือบจะสำรวจครบทุกตรอกซอกซอยท่ามกลางความมืดมนตลอดแปดปีที่เธออยู่ที่นี่
เธอผ่านช่วงเวลาที่มืดมนนั้นมาถึงแปดปี
ท้ายที่สุดเธอมุ่งหน้าไปที่หลุมศพของเสียวเหยี่ย หลังจากพูดไม่กี่คำกับผู้ดูแลสุสาน เขาก็ปล่อยให้เธออยู่เพียงลำพัง ในตอนนั้นเธอไม่ได้ไปงานศพของเสียวเหยี่ยจึงไม่รู้ว่าเขาถูกฝังอยู่ที่นี่ เป็นนายน้อยสามที่มาบอกเธอว่าหลุมศพของเขาอยู่ที่ไหน และไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็นความตั้งใจหรือความบังเอิญที่เขาถูกฝังในที่ที่เขาเคยบอกไว้ว่าต้องการให้เป็นเช่นนั้นหลังจากที่เขาตายไป
นายน้อยสามคงเป็นคนจัดการเรื่องนี้ เธอยังจำได้ดีว่าเขาอยู่ที่นั่นด้วยตอนที่เสียวเหยี่ยพูดเรื่องนี้ออกมา
อีกไม่กี่เดือนจะเป็นครั้งแรกที่ครบรอบการตายของเขา
หลังผ่านเวลามาเนิ่นนาน หลังผ่านเรื่องราวมากมาย หลังที่จากไปแสนไกล ในที่สุดเธอก็ได้มาอยู่ตรงหน้าและเห็นหลุมศพของเสียวเหยี่ยเป็นครั้งแรก
เธอไม่ได้อยากจะร้องไห้แต่เมื่อเห็นรูปสีเหลืองของเขาที่ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้าบนหลุมศพ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา ก่อนฝืนตัวเองให้ยิ้มออกมาเพราะว่าอยากให้ใบหน้าแย้มยิ้มของตัวเองเป็นสิ่งแรกที่เขาจะได้เห็น แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ น้ำใสๆ ไหลร่วงลงมาบนมือของเธอ
ปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงร้องไห้ “ฉันขอโทษ… ฉันขอโทษ… ฉันน่าจะ… มาให้เร็วกว่านี้”
เธอน่าจะได้พูดสิ่งเหล่านี้ระหว่างงานศพของเสียวเหยี่ยในวันนั้นเมื่อเก้าเดือนก่อน ทว่าไม่คาดคิดว่าจะได้ทำมันหลังจากเวลาผ่านมาป่านนี้
“ฉันขอโทษ… ฉันขอโทษ…” เธอทำได้เพียงขอโทษอย่างไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา
แม้กระทั่งจนถึงตอนนี้เธอเอาแต่คิดว่าหากตอนนั้นเธอแข็งแรงและฉุกใจขึ้นมาสักนิด คงเข้าไปช่วยเขาได้ทันและสิ่งต่างๆ คงไม่ลงเอยเช่นนี้
หลังจากฟื้นและได้รับความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา เธอค่อยๆ นึกได้ว่าภาพฝันร้ายในอดีตที่แล่นขึ้นมาหลายครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับเสียวเหยี่ย
เธอไม่มีทางลืมท่าทางของเสียวเหยี่ยจากภาพฝันนั้น ภาพที่เขาเอื้อมมือมาหาเธอ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดก่อนเอ่ยขึ้น ‘พี่ ช่วยผมด้วย ผมรอให้พี่มาช่วยผมอยู่’
ในห้วงความฝันของตัวเอง เขายังพูดกับเธอ ‘พี่รีบหนีไป รีบหนีไป… ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ทิ้งผมไว้ที่นี่’
เธอไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเสียวเหยี่ยคิดอย่างไรก่อนที่เขาจะตายกันแน่ รู้เพียงว่าตัวเองไม่ได้ไปช่วยเขาวันนั้นทั้งๆ ที่นั่นเป็นสิ่งที่เธอควรทำ
มันกลายเป็นฝันร้ายในชีวิตเธอ
เสียงร้องไห้เบาๆ ของเธอดังขึ้นต่อหน้าหลุมศพของเขาพร้อมเฝ้ากระซิบบอก “ฉันขอโทษ… ฉันขอโทษ…”
ในวันนั้นเธอมองใบหน้าเปื้อยยิ้มของเขาบนหลุมศพและร้องไห้อยู่นานก่อนที่เดินออกมา ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าคำขอโทษนัก เสียวเหยี่ยไม่มีทางกลับมาแม้เธอจะทำเช่นนั้นก็ตาม
เธอจองตั๋วเครื่องบินกลับไปที่เมือง S ราวสามทุ่ม โม่หันโทรหาเธอระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ที่ห้องรับรองในสนามบินและจ้องมองตั๋วเครื่องบินในมืออย่างเหม่อลอย
[เธออยู่ไหนแล้ว เพิ่งออกจากสนามบินเหรอ อยากให้พี่ไปรับหรือเปล่า] ปลายสายคิดว่าเธอมาถึงเมือง S แล้ว
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจากการร้องไห้เล็กน้อย “ฉัน… ยังไม่ถึงเมือง S ค่ะ ตอนนี้อยู่ที่สนามบิน อีกสักพักก็จะขึ้นเครื่องแล้วค่ะ”
เขาเงียบไปชั่วครู่และค่อยๆ ลดความเร็วของรถลง [เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า]
เธอนิ่งไปพักใหญ่ก่อนว่าขึ้น “ค่ะ มีเรื่องนิดหน่อย ฉันอธิบายทางโทรศัพท์ไม่ค่อยถนัดเท่าไร เดี๋ยวจะเล่าให้พี่ฟังหลังจากกลับไปนะคะ”
เขาควรได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย เขามีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องในอดีตของเธอ เธอไม่มั่นใจนักว่าเขาจะยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเธอหลังจากได้ยินเรื่องราวในอดีตของเธอหรือไม่ ด้วยตัวเธอในตอนนี้ที่ช่างแตกต่างกับในอดีตอย่างสิ้นเชิง
[เครื่องลงเมื่อไหร่]
“สองชั่วโมงหลังจากนี้ค่ะ”
[พี่จะไปรับเธอที่สนามบินเอง] เขากล่าว
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ มันดึกแล้ว พี่เข้านอนก่อนเถอะค่ะ พอฉันไปถึงแล้วเดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่จากสนามบินเอง”
[พี่จะไปรับเอง] เขาเอ่ยซ้ำ
เธอถอนหายใจออกมา “อยากมาก็มาค่ะ ฉันจะส่งข้อความตามไปบอกเวลาที่แน่นอนนะคะ”
เสียงประกาศจากสนามบินดังขึ้น “เรียนผู้โดยสารทุกท่าน สายการบินไชน่าแอร์ไลน์ เที่ยวบินเคเอฟหนึ่งศูนย์เก้าแปดพร้อมที่จะเดินทางแล้ว ขอเรียนเชิญผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้ ณ ประตูทางออก ขอบคุณครับ”
เธอพูดกับปลายสาย “ฉันต้องขึ้นเครื่องแล้ว เดี๋ยวโทรหาตอนถึงเมือง S นะคะ”
การเดินทางสั้นกว่าที่เธอคิดเอาไว้ อาจเพราะความเหนื่อยล้าจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น เธอเอนหลังลงกับเบาะและงีบหลับก่อนที่จะตื่นขึ้นมาเมื่อจุดหมายปลายทางแล้ว
เธอมาถึงสนามบินในเวลาราวๆ เที่ยงคืน ไม่ได้มีสัมภาระมากเหมือนอย่างผู้โดยสารคนอื่นๆ มีเพียงกระเป๋าเป้บนหลังทำให้คนมองหาสังเกตเห็นเธอได้ง่าย เดินออกมาจากทางออกไม่กี่ก้าวก็เห็นโม่หันรอเธออยู่อีกด้าน
เขากำลังส่งยิ้มมาให้เธอพลางโบกมือให้เมื่อเห็นว่าเธอมองมาที่เขาก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาหา ในตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ
“ทำไมมาถึงช้านักล่ะ เที่ยวบินล่าช้าเหรอ” เขาถาม
เธอยิ้มบางๆ “น่าจะนะคะ ฉันไม่ได้สังเกตเหมือนกัน เอาแต่นอนหลับบนเครื่อง”
โม่หันลูบหัวเธอขณะที่เดินอยู่ข้างๆ “เหนื่อยเหรอ”
คนถูกถามพยักหน้ารับและเดินตามอีกฝ่ายไปด้านนอก
เขาไม่ได้ถามเธอว่าทำไมอยู่ๆ ถึงได้ไปที่เมือง A หรือเรื่องที่เธอบอกเขาไว้ทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ทำเพียงถามเรื่องทั่วไปด้วยท่าทีอ่อนโยน เธอรู้ดีว่าจริงๆ แล้วเขารอเวลาให้เธอเอ่ยปากบอกเขาด้วยตัวเอง
เขาไม่มีทางถามเธอเรื่องนี้ถ้าเธอไม่อยากบอก
อากาศในยามค่ำคืนค่อนข้างเย็น ทันทีที่ก้าวออกมาจากสนามบินความหนาวเย็นก็เข้าจู่โจมเธอ เธอไอออกมาก่อนที่คนข้างกายจะโอบบนไหล่ของเธอ ถูแขนของเธอด้วยมือทั้งสองข้างที่อบอุ่นของเขาและถามขึ้น “หนาวเหรอ”
“นิดหน่อยค่ะ” พูดจบเขาก็ถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองคลุมลงบนตัวเธอ และช่วยรูดซิปขึ้นให้อย่างเงียบๆ
เธอยิ้มและลูบศีรษะของเขาขณะที่เจ้าตัวย่อตัวลง “พี่ไม่หนาวเหรอคะ”
อีกฝ่ายยืดตัวขึ้นมองเธอหลังจากรูดซิปให้เสร็จ ใช้สองมือประคองใบหน้าของเธอไว้และจูบบนริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยนก่อนเอ่ย “ไม่หนาวเลย”
เธอยกยิ้มอีกครั้งในขณะที่โม่หันดึงมือของเธอให้เดินไปที่รถ และไม่ปล่อยมือออกแม้จะอยู่บนรถแล้ว ดูเหมือนเขาจะเคยชินกับการทำเช่นนี้ไปเสียแล้ว เขามักจะมองไปข้างหน้าและขับรถ มือขวากระชับกุมอยู่กับอวัยวะเดียวกันของเธอ และมีบางครั้งที่ขยับเล่นกับนิ้วโป้งของเธอ
“พี่ขับรถอยู่ มันไม่ปลอดภัยนะคะ ปล่อยได้แล้วค่ะ” เธอสะบัดมือที่สอดประสานเข้าด้วยกันอยู่
อีกฝ่ายยังคงขับรถต่ออย่างคล่องแคล่วด้วยมือซ้ายของเขาและไม่ตอบอะไรเธอ
เธอส่ายหน้าอย่างยอมแพ้ ปล่อยให้เขาจับมือเธอต่อไป ขยับเอนตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้นและยิ้มออกมาในขณะที่จ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาอยู่ครู่ใหญ่
“มองพี่ทำไม” สายตาของเขายังมองตรงไปพร้อมกับรถที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
“ฉันคิดถึงพี่ค่ะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา