ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 193 ฉันจะกลับมา
โม่หันส่งยิ้มกลับมาให้เช่นกัน “เราไม่เจอกันยังไม่ถึงวันเลยนะ”
“แต่ฉันก็ยัง…คิดถึงพี่ค่ะ” ซย่าชิงอีเฝ้ามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายอย่างแช่มช้า หลังจากที่ได้ความทรงจำกลับคืนมา การได้เห็นหน้าเขาอีกครั้งทำให้รู้สึกราวกับพวกเขาแยกจากกันมาหลายปี
ซย่าชิงอีที่จำเรื่องราวในอดีตได้จะยังคงเป็นซย่าชิงอีที่เขาชอบอยู่หรือเปล่า
ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ความทรงจำกลับคืนมา เธอคิดมาตลอดว่าจะแย่แค่ไหนหากตัวเธอในอดีตแต่งงานหรือมีแฟนหนุ่มเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่ในตอนนี้ดูเหมือนมันจะแย่กว่าที่เธอคิดไว้นัก
เธอไม่มั่นใจว่าโม่หันจะยังคงทำตัวกับเธอเหมือนเดิมหากรู้ความจริงทั้งหมด เขาจะยังคงเป็นเช่นนี้ถ้ารู้ว่าเธอเที่ยวยั่วยวนผู้ชายมากมายตั้งแต่อายุสิบสามไหม หรือเขาจะยังคงเป็นเช่นนี้อยู่หากรู้ว่าเธอทำงานให้กับกลุ่มผู้มีอิทธิพลหรือเปล่า เขาจะยังคงเป็นเช่นนี้ถ้ารู้ว่าเธอตกหลุมรักชายอื่นมาห้าปีหรือไม่
เธอไม่กล้าคิดอะไรต่ออีกต่อไป
“คิดอะไรอยู่” เขาเอ่ยถาม “เราถึงบ้านแล้วนะ”
เธอสลัดความคิดในหัวออกไปก่อนเห็นว่าอีกฝ่ายขับรถมาถึงบันไดทางขึ้นบ้านแล้ว มือของพวกเขาผละออกจากกันอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่เขากำลังหมุนพวงมาลัยเข้าซองเพื่อจอดรถ
เมื่อเข้ามาในบ้าน ระหว่างที่เธอเดินตรงไปที่ห้องนอนของตัวเองเขาก็ว่าขึ้น “พรุ่งนี้เช้าพี่จะไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยนะ”
เธอครุ่นคิดก่อนพยักหน้ารับ
ดูสิ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นวันคืนที่ผ่านมาก็ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม หลังจากผ่านวันนี้ไปเธอต้องกลับไปเป็นซย่าชิงอีตัวแสบที่ร่าเริง เป็นซย่าชิงอีของเพื่อนๆ ที่มีชีวิตสดใสและอยู่เคียงข้างโม่หัน
ดูเหมือนซ่งเนี่ยนมู่ในความทรงจำของเธอจะไม่มีตัวตนอีกแล้ว เธอตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้นตั้งแต่เก้าเดือนก่อน ทว่าตัวเธอในฐานะซย่าชิงอีตอนนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยลืมแม้สักนิดว่าซ่งเนี่ยนมู่ผ่านอะไรมาบ้างตลอดแปดปีที่ผ่านมา และจะเก็บงำความทรงจำนั้นไว้กับตัวเองไปตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่
หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง เธอยังคงไม่ได้บอกโม่หันเรื่องที่ตัวเองได้ความทรงจำกลับคืนมาด้วยกลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหากเขารู้เรื่องนี้เข้า
เธออยากยื้อเวลาออกไปอีกสักหน่อยและดื่มด่ำกับชีวิตที่ในที่สุดก็เพิ่งได้มีหลังจากที่ผ่านความลำบากมามาก อยากจะจดจำทุกช่วงเวลาของชีวิตนี้เอาไว้เผื่อว่าเธอจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
ฝ่ายโม่หันเองไม่ได้ถามเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมือง A ดูเหมือนเขาคงลืมมันไปแล้วและเอาแต่บ่นจู้จี้เธอเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทุกวี่วัน อย่างการบอกให้เธออ่านหนังสือหรือโทรหาเขาเมื่อถึงมหาวิทยาลัยแล้ว เขาไม่เคยลืมไปรับเธอหลังจากเลิกเรียนจากนั้นจึงไปหาอาหารเย็นกินและกลับบ้านด้วยกัน
เหมือนเช่นในวันนี้ เธอกำลังโอบข้าวโพดคั่วถังใหญ่เอาไว้ในวงแขนในขณะที่รอโม่หันซื้อตั๋วเหมือนอย่างเคย จากนั้นพวกเขาจะเข้าไปดูหนังในโรงด้วยกัน
เธอเห็นอีกฝ่ายก้าวมาหาเธอท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ และมาถึงตัวเธอในจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอดังขึ้น เธอส่งถังข้าวโพดคั่วให้เขาและล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหาโทรศัพท์
เบอร์ที่ไม่รู้จักปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง
“สวัสดีค่ะ”
[นายน้อยสามถูกจับกุมแล้วครับ]
อันที่จริงก่อนหน้านี้สักพักเธอก็พอจะคาดเดาได้บ้าง เธอยังจำท่าทางของนายน้อยสามที่เดินตามเธอมาในความมืดก่อนที่เธอจะไปเมือง A ได้ เขาคิดอะไรอยู่ตอนที่เจอเธอครั้งนั้นกัน
[เขาคงออกมาไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้เขายังอยู่ที่เรือนจำในตัวเมือง ผมไปพบทนายความและเตรียมหลักฐานไว้แล้ว ตราบใดที่เขาให้ความร่วมมือคงสามารถลดหย่อนโทษให้เขาได้ แต่ว่า…นายน้อยสามกลับไม่เห็นด้วย ดูเหมือนเขาจะเอาแต่โทษทุกอย่างกับตัวเอง ผมไม่รู้จะทำอะไรต่อไปแล้ว คุณช่วยมาโน้มน้าวเขาหน่อยเถอะครับ]
เธอค่อยๆ นึกได้ว่าปลายสายคือใคร เขาเป็นผู้ช่วยที่แสนเก่งกาจข้างกายของนายน้อยสาม เธอได้เห็นหน้าค่าตาเขาอยู่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ครั้ง เมื่อมองไปทางโม่หันที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังมองตั๋วหนังในมืออยู่เธอก็หันไปด้านข้างเล็กน้อยและกดเสียงเบาลง “ทำไมฉันต้องไปโน้มน้าวเขาด้วย”
[นายน้อยสามต้องฟังคำที่คุณพูดเหมือนเมื่อก่อนแน่ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ทำงานให้กับเราแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เรื่องของนายน้อยสามจะไม่สร้างความวุ่นวายให้คุณแน่นอน ถ้าคุณไม่พูดอะไรสักอย่างเขาต้องแย่แน่ๆ เลยครับ] น้ำเสียงตื่นตระหนกของเขาดังขึ้นจากอีกฝั่งของสายโทรศัพท์
“ฉันว่าคุณคงไม่เข้าใจที่ฉันพูด ฉันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว” เธอเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
“หวังว่าคุณจะไม่โทรหาฉันอีกนะคะ” พูดจบเธอก็วางสายทันที
โม่หันยังคงมองมาที่เธอพร้อมถังข้าวโพดคั่วในมือ ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ท่าทางไร้ซึ่งอารมณ์ขุ่นมัวแต่อย่างใด แม้ว่าจะมีแววสงสัยอยู่บ้างก็ตาม เธอไม่กล้าสบตามองเขาอย่างไม่กล้าให้เขารู้เรื่องราวในด้านนี้ของตัวเองที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนไม่กล้าปริปากพูดกับอีกฝ่ายแม้เพียงสักคำ
“ไปดูหนังกันเถอะค่ะพี่” เธอว่าขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่ส่งให้เขา คว้าถังข้าวโพดคั่วจากอีกฝ่ายและเดินตามเข้าไปในโรงหนัง
เธอดูหนังไม่รู้เรื่องนักตั้งแต่เริ่มต้นจนจบลง เมื่อความมืดกลับมาเยือนในโรงหนัง เธอยังคงนั่งจ้องมองไปที่แสงจากหน้าจอด้านหน้าครู่ใหญ่ หากแต่ภายในหัวกลับครุ่นคิดเรื่องในอดีตและติดอยู่กับความทรงจำของตัวเอง
ซย่าชิงอีนั่งนิ่งขณะที่เอาแต่ถูเล็บนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ไปมา เสียงประกอบหนังไม่ว่าจะเสียงหัวเราะหรือร้องไห้ล้วนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของเธอไป ทำเพียงจ้องมองหน้าจออย่างเงียบๆ ไม่ได้ยินเสียงใดไปมากกว่าจังหวะหัวใจของตัวเอง
ทว่ามันกลับช่างเงียบงัน สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่าและวังเวงภายในนั้น เธออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหนังค่อยๆ จบลงไป
สิ่งเดียวที่นึกได้มีเพียงภาพของโม่หันที่อยู่ข้างๆ ตอนที่แสงไฟในโรงสว่างขึ้น เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ผ่านไป
เขาลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือมาหา ชำเลืองมองอีกฝ่ายก่อนที่จะวางมือของตัวเองบนอวัยวะเดียวกันของเขา ก่อนจะเดินตามหลังเขาไประหว่างที่เดินออกจากโรง
หลังจากออกมาจากโรงหนัง อยู่ๆ ซย่าชิงอีก็ปล่อยมือเขาและหยุดฝีเท้าจนอีกฝ่ายหันกลับมามอง
เธอจ้องมองไปที่เขา “ฉันขอโทษค่ะ… ฉันคิดว่าต้องไปทำบางอย่าง”
คนฟังนิ่งเงียบ ท่าทางดูเหมือนจะมองเรื่องราวทุกอย่างออกก่อนกล่าว “เธอจะกลับมาใช่ไหม”
“ฉันจะกลับมาค่ะ” เธอพยักหน้ารับและยืนยันอีกครั้ง “ฉันจะกลับมา…”
เขาก้าวไปหาเธอ โอบแขนรอบเอวและมอบจูบที่แสนยาวนานกับเธอ กระชับกอดเธอเอาไว้แน่นก่อนเอ่ยกระซิบข้างหู “พี่จะรอเธอกลับมา”
เธอแทบจะร้องไห้ออกมา น้ำตารื้นเอ่อคลอในดวงตา แต่เธอก็อดใจไม่ให้ร้องออกมา กอดอีกฝ่ายกลับไปและซุกใบหน้ากับแผ่นอกของเขา เช็ดน้ำตาตัวเองกับเสื้อผ้าของเขา พวกเขาตระกองกอดกันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
ยิ่งเธออยู่ในอ้อมแขนของเขานานเท่าไหร่ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นจางๆ ของมินต์ที่เคล้าปนควันบุหรี่ กลิ่นที่ไม่เคยได้รับจากใครนอกจากเขา
อ้อมกอดแสนอบอุ่นของเขาที่ทำให้เธออยากจะร่ำไห้ออกมา
ทว่าท้ายที่สุดเธอก็คลายอ้อมกอดก่อนจะจากไปเธอไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่ก้มหน้าและหันออกไปก่อนจะรีบเดินห่างออกไปทิ้งให้ระยะห่างจากโม่หันไกลขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดเธอก็มาพบนายน้อยสาม เธอมาที่เรือนจำและขอเข้าพบนักโทษ เขาเพิ่งถูกจับกุมกระบวนการขอเข้าเยี่ยมจึงเข้มงวดไม่น้อย เธอพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่นานก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เจอเป็นเวลายี่สิบนาที
พวกเขาพบกันอีกครั้งในเรือนจำพร้อมกระจกใสที่กั้นระหว่างพวกเขา
หนวดเคราของเขาขึ้นรกใบหน้าให้ท่าทางดูมีอายุกว่าแต่ก่อน ประกายความเหนื่อยล้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนฉายแววในดวงตาของเขา เขานิ่งงันไปทันทีที่เห็นเธอ ลุกขึ้นค้างไว้และจ้องมองเธอครู่ใหญ่เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเธอจริงๆ ก่อนที่จะนั่งลงมองมาที่เธอผ่านหน้าต่าง
ทั้งสองคนไม่พูดคุยกันสักคำ ท่าทางของเธอเรียบเฉยและทำเพียงเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะก้มหน้าจ้องนิ้วมือของตัวเอง จนเมื่อนายน้อยสามยกหูโทรศัพท์ข้างๆ และมองมาที่เธอแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นบ้างและแนบมันลงที่หู ในที่สุดก็เอ่ยปากถามออกมา “คุณอยู่ข้างในนั้น… ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“เธอจำได้แล้วเหรอ” เขายกยิ้มอย่างขื่นขม
เธอพยักหน้ารับ “ฉันไปหาเสียวเหยี่ยที่เมือง A มาค่ะ”
“ฉันคิดว่าเธอจะไม่อยากเห็นหน้าฉันแล้วเสียอีก”
เธอท้วงขึ้น “ฉันก็ไม่ได้อยากเห็นหน้าคุณนะคะ”
เขายิ้มและถามเธอ “ถ้าอย่างนั้นเธอมาที่นี่ทำไมล่ะ”
“หัวหน้าสี่หวงอยากให้ฉันมาเกลี้ยกล่อมคุณให้ฟังคำแนะนำของเขาค่ะ… แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันขอโทษ… ที่ช่วยคุณไว้ไม่ได้… และฉันก็ไม่รู้จะช่วยคุณยังไง”
เขามองเธอด้วยท่าทีอ่อนล้า ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเหยียดอย่างที่เขาชอบทำ “ฉันรู้ ฉันเองก็ไม่ได้หวังให้เธอมาช่วยหรอก เธอช่วยอะไรไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง”
เขาจ้องมาที่เธอจากอีกด้านของกระจกและเห็นว่าเธอยังดูเหมือนเดิมหรือบางทีอาจจะดูสวยขึ้น เธอคงได้ใช้ชีวิตในแบบที่เธอไม่เคยมีในอดีต เขาเอ่ยถามเธอ “รู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอไปหาหวังเซิงเมื่อเก้าเดือนก่อน”
เธอมองเขากลับก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ “หวังเซิงไม่ตายแต่เขาก็เหมือนตายทั้งเป็น ต้องนอนเป็นผักจนถึงตอนนี้ก็ยังนอนอยู่ที่สถานพยาบาล ตำรวจได้รับคลิปเสียงที่เธอส่งให้ สินค้าที่อยู่ในครอบครองของหวังเซิงถูกตำรวจเข้ายึดและทำลาย หลังจากเกิดเรื่องกับหวังเซิง กลุ่มของเขาก็แตก สมาชิกทุกคนต่างแยกย้ายไปคนละทาง สำหรับฉันแล้วคงไม่มีศัตรูที่ไหนจะมาต่อกรได้อีกแล้ว” เขายิ้ม “เธอยังจัดการในแบบของเธอ เพราะโอกาสที่ชนะมีอยู่น้อยนิดแบบนั้น ทุกคนก็ต้องพังไปด้วยกัน”
เขามองมาที่เธอ “รู้หรือเปล่าว่าเธอไปอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง พวกมันต้องการทิ้งเธอที่ใกล้หมดลมหายใจไว้และมองเธอตายตรงหน้าโรงพยาบาล พวกมันอยากจะทำลายความหวังสุดท้ายที่มีอยู่น้อยนิดของเธอและปล่อยให้เธอตายไป
“ตอนแรกฉันคิดว่าเธอคงตายไปแล้ว จนเมื่อสองเดือนก่อนถึงรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่และความจำเสื่อม หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ ฉันก็นึกได้ว่าคงจะดีแล้วถ้าเป็นแบบนี้ การสูญเสียความทรงจำอาจจะดีกับตัวของเธอเอง” เสียงของนายน้อยสามกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ จากอีกฝั่งของกระจก