ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 195 นายน้อยสามในเรือนจำ
โม่หันจุมพิตที่หน้าผากพลางตบหลังของเธอเบาๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะอยู่ข้างเธอไม่ไปไหน คอยดูแลเธออยู่แบบนี้”
มือถูกเลื่อนลงมาลูบที่แขนของเธอ “แล้ววันไหน… พาพี่ไปเยี่ยมเสียวเหยี่ยบ้างนะ”
เธอสบตามองอีกฝ่าย “เขาต้องเป็นคนสำคัญของเธอแน่ๆ หลังจากได้พบเขาพี่คงสัมผัสได้ถึงเรื่องราวในอดีตของเธอ”
“แล้วสักวันหนึ่ง… เราไปด้วยกันนะคะ ฉันจะพาพี่ไปหาเขาในวันครบรอบการตายของเขาค่ะ” เธอว่าขึ้น
เขารู้ว่าซย่าชิงอีกังวลกับเรื่องอะไรอยู่แม้ไม่ได้ต้องการให้เธอต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องของเขา
ว่ากันตามจริงระหว่างที่ฟังเรื่องราวในอดีตของเธอ เขาเองไม่ได้พอใจมากนัก ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตของเธอถูกรับรู้เข้าไปในจิตใจของเขา แต่มันเทียบไม่ได้กับความไม่ต้องการแยกจากเธอและปรารถนาให้เธออยู่เคียงข้างเขาเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่ที่เธอตกลงที่จะคบกัน เขาไม่เคยคิดที่จะปล่อยเธอไปแม้เพียงสักนิด
เพราะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดจึงไม่อาจปล่อยให้เรื่องที่ไม่ใช่สลักสำคัญมาทำให้เขาหวั่นไหว
หลังจากบอกทุกอย่างกับโม่หัน ความรู้สึกเดียวที่เธอได้รับคือความโล่งใจ เธอได้แต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ กับเขาตั้งแต่จำเรื่องทุกอย่างได้ และไม่กล้าแม้จะสบตากับอีกฝ่าย ในตอนนี้ที่ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยดีแล้ว เธอไม่ต้องรู้สึกผิดยามที่ส่งยิ้มในเขาอีกต่อไป
ตลอดคาบเรียนในวันถัดมา เธอสัมผัสได้ถึงพลังงานเต็มเปี่ยมของตัวเอง จดจ่ออยู่กับการเรียนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเห็นข้อความของโม่หันที่บอกว่าจะมารับเธอหลังเลิกเรียน ดวงตาก็ยิ่งเป็นประกายด้วยความสุขและรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงให้กำลังใจที่ดังขึ้นระหว่างคาบเรียน
ตอนนั้นเองที่นึกได้ว่าเธอไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน
เช่นเดียวกับโม่หันซึ่งอยู่ที่บริษัท เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายใจเพราะในที่สุดปมปัญหาที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขาและซย่าชิงอีก็ถูกคลายออก และคงไม่มีปัญหาใดระหว่างพวกเขาที่จะใหญ่กว่านี้แล้ว
เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจออกตัวทำงานง่ายๆ อย่างการเอาเอกสารไปส่งให้หัวหน้าจางที่สถานีตำรวจแทนหลิวจื้อหย่วนที่อาสาจะไปในตอนแรก แน่นอนว่าเหตุผลหลักๆ เป็นเพราะว่าสถานีตำรวจอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยของเธอซึ่งสะดวกกับการไปรับเจ้าตัวหลังจากที่ส่งเอกสารเสร็จ
เขาออกรถและมาถึงสถานีตำรวจอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าจางกลับไม่พบเจ้าของห้อง พอเอ่ยปากถามจึงได้ความว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในห้องสอบสวน พวกเขาเพิ่งจับกุมตัวหัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลได้และคงกำลังสอบปากคำเขาอยู่
เขาถือเอกสารติดตัวไปก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องสอบสวน เห็นหัวหน้าจางนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องผ่านกระจก ท่าทางเข้มงวดจริงจังและกำลังเผชิญหน้ากับชายที่อยู่ตรงข้าม
โม่หันโบกเอกสารในมือให้หัวหน้าจางแต่อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีตอบสนอง ก่อนนึกได้ว่าคนในห้องไม่สามารถเห็นคนด้านนอกผ่านกระจกสะท้อนแสงได้
ดูท่าอีกฝ่ายคงจะไม่ว่างอีกพักใหญ่ เขาจึงหันกลับไปทิ้งเอกสารไว้ให้หัวหน้าจางมาเห็นหลังจากเสร็จงานที่ห้องทำงาน
ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะจากไปก็เห็นชายที่นั่งตรงข้ามกับหัวหน้าจางมองมาทางเขาผ่านกระจก เขาจึงชะงักฝีเท้า
ดูเหมือนสายตาของเขาจะจ้องมาด้วยแววตาเย็นชาและเชือดเฉือน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นเขาผ่านกระจกแต่ในใจก็ยังอดแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาไม่ได้
เขาถามจางหยางที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังมองเข้าไปในกระจกเช่นกัน “คนที่ถูกสอบสวนด้านในเป็นใคร”
ตอนนั้นเองที่คนถูกถามรู้ว่าคนที่มายืนอยู่ข้างๆ คือโม่หัน ก่อนมีท่าทางตกใจเล็กน้อย “โอ๊ะ… ทนายโม่ วันนี้คุณมาทำที่นี่ครับ”
“ผมมาส่งเอกสารให้หัวหน้าจางน่ะ” เขาถามซ้ำ “คนที่หัวหน้าจางสอบปากคำอยู่ด้านในคือใครเหรอ”
จางหยางมองชายที่นั่งอยู่ด้านใน “เฉินเทียน หัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เพิ่งจับกุมตัวได้น่ะครับ เขายังอายุน้อยแต่ก็คลุกคลีในวงการอาชญากรมากว่าสิบปีแล้วครับ เขาจัดการฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ความปรานี และได้ฉายาว่ายาพิษหมายเลขสามในหมู่อาชญากรด้วยกัน”
เขามองท่าทางแข็งกร้าวของชายที่นั่งอยู่ภายในห้องพลางครุ่นคิด
จางหยางจ้องไปที่เฉินเทียนที่นั่งอยู่ด้านในและยิ้มออกมา “จริงๆ แล้วเขายังมีอีกชื่อหนึ่ง คนในวงการต่างเรียกเขาด้วยชื่อนั้น อะไรนะ อ้อ ใช่ นายน้อยสาม”
“นายน้อยสามเหรอ” เขานิ่งค้างไป
“ใช่ครับ นายน้อยสาม มันดูแปลกใช่ไหมล่ะครับ แต่เป็นเพราะว่าเขาอายุน้อยและหน้าตาดีที่สุดในหมู่พี่น้องสามคนซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่ม คนรอบตัวเลยเรียกเขาแบบนั้น” อีกฝ่ายพูดพึมพำกับตัวเองระหว่างที่มองไปที่เฉินเทียน “เอาเข้าจริงๆ เขาหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว แม้แต่หลังจากที่ถูกโกนผมเขาก็ยังคงดูดีอยู่เลย ก่อนที่จะเห็นหน้าเขา ผมยังคิดว่าคนที่อยู่ในวงการใต้ดินแบบนั้นคงต้องดูโหดร้ายและมีรอยแผลบนหน้าและร่างกายไปทั่ว แต่ตอนนี้ความคิดของผมเปลี่ยนไปแล้วล่ะ”
จางหยางเริ่มพูดคุยกับเขา “คุณไม่คิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตอนนี้ดูเหมือนนายน้อยจากครอบครัวเศรษฐีมากกว่าจะเป็นนักโทษบ้างเหรอครับ”
เขามองเฉินเทียนที่นั่งอยู่ด้านในผ่านกระจก หากเดาไม่ผิดเขาคงเป็นนายน้อยสามที่ซย่าชิงอีพูดถึงเมื่อคืน
โลกใบนี้ช่างกลมนัก เขานึกไม่ถึงจะมาเจออีกฝ่ายที่นี่ในวันนี้
โม่หันยังไม่เดินออกไปและยืนมองหัวหน้าจางสอบปากคำเฉินเทียนอย่างดุดัน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยแก้ตัวมากนักและยอมรับข้อกล่าวหาแต่โดยดี
“จากคดีที่เขารับสารภาพตอนนี้ เขาจะถูกตัดสินต้องโทษจำคุกกี่ปีครับ” เขาเอ่ยถาม
จางหยางตอบกลับ “อย่างน้อยก็สิบห้าปีได้ครับ เขาฆ่าคนไปสองคน และเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าสินค้าและเลี่ยงภาษี ยังไม่รวมถึงข้อหาอื่นๆ อีก ทั้งหมดรวมกันประมาณสิบห้าปีได้ แต่เขากลับไม่ได้ขายยาเสพติดและทำให้เราแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย”
ดูเหมือนจางหยางจะกระตือรือร้นในการเล่าเป็นพิเศษ “เขาอยู่ในวงการใต้ดินมากว่าสิบปีและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแม้แต่น้อย ธุรกิจที่เกี่ยวกับยาเสพติดอยู่ภายใต้การดูแลของพี่ชายคนโตของเขาโดยที่เขาไม่เคยเข้าไปยุ่มย่าม ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไม”
“ให้ผมเข้าไปคุยกับเขาสักครู่ได้ไหมครับ”
อีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขา “คุณมีอะไรจะพูดกับเขาเหรอครับ มีคดีความเกี่ยวข้องกับเขาที่คุณรับผิดชอบอยู่เหรอ”
“ไม่ครับ เรื่องส่วนตัวน่ะครับ” เขาตอบ “แค่บอกมาว่าพอจะให้ผมเข้าไปคุยกับเขาไหม”
“ก็พอเป็นไปได้นะครับ แค่ต้องทำตามขั้นตอนหลังจากที่หัวหน้าจางสอบปากคำเขาเสร็จ ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างช่วงเวลากักกันตัวเป็นพิเศษ อาจจะคุยกับเขาได้ไม่นานมากนัก”
“ผมขอแค่สามนาทีเท่านั้น”
เขามองนายน้อยสามที่นั่งอยู่ด้านในด้วยท่าทางสบายๆ แม้จะใส่กุญแจมืออยู่ก็ตามผ่านกระจก และคิดถึงเรื่องที่ซย่าชิงอีพูดถึงเกี่ยวกับตัวเขาเมื่อคืน
สิ่งที่เธอเล่าเกี่ยวกับเขามีไม่มากนักจนโม่หันไม่ได้สนใจเขานักในทีแรก แต่เมื่อมาเห็นอีกฝ่ายที่นี่และเห็นท่าทางของเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
โม่หันจะได้เผชิญหน้ากับนายน้อยสามในอีกไม่ช้า หัวหน้าจางเพิ่งสอบปากคำเขาเสร็จและรู้ว่าโม่หันต้องการคุยกับนายน้อยสาม เขาไม่ได้ถามอะไรมากนักก่อนนำตัวนายน้อยสามมาที่ห้องเยี่ยมที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
คนที่ถูกพาตัวมาทำเพียงนั่งลงและยิ้มขึ้นเมื่อเห็นโม่หันนั่งอยู่ตรงข้าม
ที่เดิมกับที่ซย่าชิงอีนั่งเมื่อหลายวัน
โม่หันขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอนพิงเก้าอี้และยิ้มออกมา “ทำไมคุณถึงยิ้มพอเห็นหน้าผม”
นายน้อยสามส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“คุณไม่อยากรู้ว่าผมเป็นใครและอยากพบคุณทำไมบ้างเหรอ” เขาถามซ้ำ
ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับ “ผมรู้ว่าคุณเป็นใครและรู้ว่าทำไมคุณถึงอยากเจอผม”
ในจังหวะนั้นเองที่โม่หันยกยิ้ม “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นใคร”
“โม่หัน ทนายโม่ คุณคงมาอยู่ที่นี่เพราะลิน่า โอ๊ะ… ไม่สิ…” เขาส่ายหน้า “ตอนนี้ต้องเรียกเธอว่าซย่าชิงอีใช่ไหมครับ”
สีหน้าของโม่หันเปลี่ยนไป “คุณรู้เรื่องระหว่างผมกับเธอเหรอ”
“ผมพูดได้ไม่เต็มปากว่ารู้นักหรอกครับ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับผม”
“เรื่องของผมกับแฟนของผมไปเกี่ยวข้องอะไรกับคุณไม่ทราบครับ”
“โอ้ เกี่ยวมากเลยล่ะครับ… เธอไม่ได้บอกคุณเหรอ” เขามองท่าทีเย็นชาของโม่หันและส่งยิ้มให้อย่างเดาว่าเธอคงไม่ได้บอกเรื่องระหว่างพวกเขากับโม่หัน มุมปากยกขึ้นพร้อมดวงตาที่ฉายแววหยอกเย้า “เมื่อก่อนแฟนสาวของคุณตกหลุมรักผมมาหกปี…”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้โม่หันรู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่คนตรงข้าม
“ผมไปหาเธอครั้งหนึ่งก่อนที่จะถูกจับ แต่ตอนนั้นเธอยังจำอะไรไม่ได้ พูดจาห่างเหินกับผมเสียจนรู้สึกหงุดหงิด… เธอจำทุกอย่างได้เมื่อหลายวันก่อนและมาเยี่ยมที่เรือนจำครั้งหนึ่ง เราพูดคุยกันเยอะเลยครับ และใช่… พอพูดถึงมันแล้ว บังเอิญที่ที่เธอนั่งอยู่ที่เดียวกับที่ที่คุณนั่งอยู่ตอนนี้เลย”
เขายังจำวันที่พวกเขาไปดูหนังด้วยกันเมื่อหลายวันก่อนได้ ท่าทีของเธอที่ไม่ยอมปริปากพูดกับเขาสักคำระหว่างที่หนังฉายอยู่ หลังจากที่ออกมาจากโรงหนังเธอก็บอกว่ามีบางอย่างต้องไปทำ พอมาครุ่นคิดดูแล้วตอนนั้นเธอคงจะมาเยี่ยมนายน้อยสาม
ทว่าเขาคิดมาตลอดว่าเธอคงมาจัดการเรื่องของเสียวเหยี่ย ไม่นึกว่าเธอจะมาพบชายที่ตกหลุมรักมาหกปีในอดีต
อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น “คุณคงคาดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนเธอมีชีวิตยังไง ผมเองที่เป็นคนฝึกเธอให้มาอยู่ข้างๆ ผมตั้งแต่ที่เธอจากครอบครัวมาตอนอายุสิบเอ็ด พอมาย้อนนึกถึงเรื่องนี้ มันก็ผ่านมาได้เก้าปีแล้ว ผมเพิ่งจะมารู้ถึงความรู้สึกของเธอเอาตอนปีก่อนนี้เอง แต่ตอนที่ผมรู้ เธอก็รักผมมาได้ห้าปีแล้ว”
“คำพูดทุกคำที่ออกมาจากปากคุณมันเชื่อไม่ได้” โม่หันจ้องมองอีกฝ่ายผ่านกระจก
นายน้อยสามยกยิ้มอีกครั้ง “ฟังจากที่คุณพูดแล้วดูเหมือนมันจะสร้างความปั่นป่วนให้คุณสินะ” เขาว่าขึ้น “กลับไปถามเธอดูก็ได้ครับ มีเพียงแค่เธอเท่านั้นล่ะที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
โม่หันตอบกลับ “สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกคุณสองคนเป็นเพียงเรื่องในอดีต ผมจะไม่ตั้งแง่กับเธอเพราะเรื่องนี้หรอกนะครับ”
“ผมไม่ได้จะเข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคนหรอกนะครับ กลับหวังว่าพวกคุณจะไปด้วยกันได้ดีด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นเด็กสาวที่ดีคนหนึ่งและจากที่ผมรู้มาคุณก็ดูแลเธออย่างดี ผมแอบสืบเรื่องของคุณเมื่อหลายเดือนก่อน คุณเป็นคนมีความสามารถในหลายๆ ด้าน นับว่าเธอตาแหลมทีเดียว เห็นแบบนั้นผมก็โล่งใจ”