ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 198 การแยกทาง
ซย่าชิงอีเอ่ย “พวกเขารู้ได้ยังไงคะ!”
“พี่ตั้งหน้าจอมือถือเป็นรูปเธอนอนหลับน่ะ หลิวจื้อหย่วนช่วยรับสายแทนตอนที่พี่กำลังประชุมอยู่เลยเห็นเข้า พอเขาถาม พี่ก็เลยบอกเขาไปว่าตอนนี้เราคบกันอยู่”
“พี่บ้าไปแล้วหรือไง” เธอมองหน้าอีกฝ่าย “พี่ตั้งรูปฉันเป็นหน้าจอมือถือ?! ถ้าพวกเขาถามพี่ก็บอกไปก็ได้ว่าฉันตั้งใจเปลี่ยนเพื่อแกล้งพี่ ทำไมต้องบอกเขาด้วยล่ะคะ”
ท่าทางของโม่หันไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมซย่าชิงอีต้องโมโหขนาดนั้นด้วย ก่อนดึงมือของเธอไว้ “บอกแล้วมันยังไงล่ะ จะช้าจะเร็วพี่ก็ต้องพูดออกมาอยู่ดี”
“บอกฉันมานะคะว่าวันนี้พี่บอกอะไรกับพวกเขากันแน่” เธอมองเขาด้วยท่าทีจริงจัง
“พี่บอกว่าเธอเป็นแฟนของพี่” เขาตอบ
“พูดตรงๆ อย่างนี้เลยเหรอคะ!”
“แล้วจะให้พี่บอกว่าอะไรล่ะ”
“แล้วพวกเขาว่าอะไรบ้างคะ”
“หลิวจื้อหย่วยดูอึ้งไปนิดหน่อย ส่วนทนายเหลียวไม่ได้พูดอะไร”
ความกังวลของเธอเริ่มก่อตัวขึ้น “พวกเขาคิดว่าฉันเป็นน้องสาวของพี่ ตอนที่พี่บอกไปจะไม่เหมือนกับบอกว่าพี่กำลังคบกับน้องสาวของตัวเองเหรอคะ”
“พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ เราไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดเสียหน่อย”
“ถึงไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดแต่ก็ยังเป็นน้องสาวตามกฎหมายนะคะ ตอนนี้พวกเขาจะคิดอย่างไรที่พี่ทำแบบนี้ ฉันไม่สนใจว่าใครจะมองฉันอย่างไรหรอกนะคะ แต่กับพี่ เขาต้องคิดว่าพี่เป็นคนไร้ศีลธรรมแล้วแน่ๆ เลย”
“แต่พี่พูดเรื่องจริงนี่ ตอนนี้เธอเป็นแฟนของพี่” เขาคิดว่าซย่าชิงอีจะมีความสุขเมื่อรู้ว่าเขาเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาเสียอีก ทว่าดูท่าทีของเธอตอนนี้แล้วเขาอดรู้สึกงุนงงไม่ได้ก่อนเอ่ยถาม “เธอไม่อยากให้ใครรู้เรื่องระหว่างเราเหรอ อยากจะให้เราคบกันแบบเงียบๆ ต่อไปแบบนี้ เธอว่าที่พี่จับมือเธอข้างนอกแม้จะเพียงแค่แป๊บเดียว”
เธอว่าขึ้น “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกเรื่องของเรานะคะ แต่มันยังไม่ถึงเวลาต่างหาก อย่างน้อยก็รอจนกว่าสัญญารับอุปการะสิ้นสุดลงก่อนสิคะ”
เธอพูดต่อ “และอีกอย่างถ้าพี่จะพูดก็น่าจะบอกฉันก่อน ปรึกษาฉันก่อน ตัดสินใจเองแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ”
“จะช้าจะเร็วทุกคนก็ต้องรู้อยู่ดี ถึงสัญญาจะยังมีผลอยู่แต่เราก็ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกันอยู่แล้ว เราแค่คบกันเหมือนอย่างคนอื่นๆ เขา ทำไมจะบอกว่าเราคบกันไม่ได้!”
เธอประจันหน้ากับอีกฝ่าย “แต่ว่าแบบนี้… คนอื่นจะมองพี่ยังไงคะ… พวกเขาคงเอาไปพูดว่าพี่แอบคบกับน้องสาวของตัวเอง! … ไม่ได้นะ เรื่องนี้อาจส่งผลกับหน้าที่การงานของพี่ในอนาคตก็ได้”
“งานก็คืองาน เรื่องระหว่างเราเป็นเรื่องส่วนตัว พี่ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันเลย และอีกอย่าง เธอไม่ต้องเอาเรื่องพวกนี้มาเป็นกังวลหรอกนะ ครั้งหน้าเดี๋ยวพี่จะจัดการเอง”
เขาโกรธขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงขุ่นมัว อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมซย่าชิงอีถึงต้องทำเรื่องที่เขาเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเรื่องใหญ่โต เขาไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญเลยแม้แต่น้อย
“พี่จัดการได้เหรอ!” เธอเอ่ย “พี่คิดว่าพี่จัดการเองได้เลยไม่ยอมบอกฉันว่าพี่ไปเจอกับนายน้อยสามอย่างนั้นสินะคะ”
โม่หันมองเธอที่จ้องมาทางเขา
เธอว่าขึ้น “ฉันเจอจางหยางที่มหาวิทยาลัยวันนี้ เขาบอกฉันเรื่องนี้”
คนฟังก้มหน้าและพูดเสียงแข็ง “พี่คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องของเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างเราสองคน”
“พี่รู้เรื่องแล้วเหรอ” เธอถามอีกฝ่าย
“รู้อะไรล่ะ รู้ว่าเมื่อก่อนเธอรักนายน้อยสามมาหกปีอย่างนั้นเหรอ” เขาสวนเธอกลับ
“พี่ก็เป็นแบบนี้ตลอด เก็บเรื่องทุกอย่างไว้กับตัวเอง พี่รู้ว่าฉันรักเขามาหกปีและไม่คิดจะถามอะไรฉันเลยตอนที่พี่กลับมา ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสจะอธิบายกับพี่สักเลยสักนิด”
“พี่จะบอกเธอให้ว่าพี่ไม่อยากจะคุยเรื่องแฟนเก่าของเธอกับเธอ” เขาเก็บอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็ง
“พี่เรียกใครว่าแฟนเก่าคะ! เมื่อก่อนฉันไม่ได้คบกับเขาเสียหน่อย ระหว่างเราเป็นแค่หัวหน้ากับลูกน้องเท่านั้น” เธอเริ่มหัวเสียหลังจากได้ยินน้ำเสียงของเขา
“เธอรักเขามาหกปี! และคงยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา จากที่เห็นก็ไม่ต่างอะไรกับแฟนเก่านักหรอก”
“ต่างมากสิคะ! จะเหมารวมแฟนเก่าและหัวหน้าด้วยกันได้ยังไง อีกอย่าง…” เธอท้วงอีกฝ่ายขึ้น ก่อนจะนึกได้ว่าจางหยางบอกว่านายน้อยสามฆ่าคนที่มีเรื่องกับเธอก่อนหน้านี้ เธอชะงักคำพูดไปและยืนค้างอยู่อย่างนั้น
โม่หันเงยหน้าไปมองและเห็นว่าเธออยู่ในอาการเหม่อลอย สายตาของเธอจดจ้องอยู่นิ่งเมื่อเขาเห็นว่าเธอเงียบไป เขายิ้มและเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคือง “เธอกำลังคิดถึงนายน้อยสามอีกแล้วเหรอ”
เธอได้สติกลับมา รู้สึกราวกับทุกสิ่งกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เรื่องราวทุกอย่างจากอดีตจนถึงบัดนี้พัวพันวุ่นวายกันไปหมดจนเธอเหนื่อยใจเหลือเกิน ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเอ่ยกับอีกฝ่าย “มันเป็นแค่เรื่องในอดีตค่ะ เราไม่ต้องพูดถึงมันแล้วได้ไหมคะ”
“พี่ดูออกว่านายน้อยสามไม่ได้คิดกับเธอแค่ลูกน้อง แค่เธอบอกพี่มาว่าเธอพยายามลืมเขาแล้วแต่ทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปหาเขาซะ พี่จะไม่รั้งเธอไว้ ถ้าเธอยินดีที่จะคบกับเขาทั้งที่อยู่ในเรือนจำ เธอก็ไปได้ซะเดี๋ยวนี้”
เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดเช่นนั้นออกไป ทั้งที่ความเสียใจจู่โจมเข้าหาเขาทันทีที่หลุดปากพูดออกไป
“พี่พูดว่าอะไรนะคะ!” เธอจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อหู
อีกฝ่ายนิ่งเงียบ เขาวางมือไว้บนศีรษะของตัวเองพร้อมทึ้งผมด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก
“พี่ไม่เชื่อใจฉันเหรอคะ” น้ำเสียงของเธอแทบจะสั่นระรัวในขณะที่เอ่ยถามพร้อมดวงตาที่แดงก่ำ
เขายังคงนั่งเงียบบนโซฟาและไม่ปริปากออกมาสักคำ
ความโกรธของเธอปะทุขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดแม้แต่น้อย คำพูดที่เขาเพิ่งลั่นออกมาวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด
เธอพยายามอย่างหนักที่จะใจเย็นลง อ่อนเสียงและกล่าวขึ้น “ฉันไม่อยากทะเลาะกับพี่ตอนนี้… รอให้อารมณ์เย็นสักสองวัน… และห่างกันสักพักเถอะค่ะ”
น้ำเสียงเย็นชาของเขาดังขึ้น “กำลังจะบอกว่าเธอจะไปจากที่นี่เหรอ”
เมื่อได้ยินเขาพูดดังนั้นเธอก็ทนคุยกับอีกฝ่ายไม่ไหวอีกต่อไปและว่าออกมาในที่สุด “ใช่ๆ ใช่ค่ะ! ฉันจะไปจากที่นี่! จะไม่กลับมาอีก เชิญพี่อยู่ไปคนเดียวเถอะ!”
เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นจากด้านหลังในขณะที่เธอหันไปตั้งท่าจะเดินไปทางประตู “ถ้าเธออยากจะไปนัก งั้นพี่ก็จะไม่ตามหาเธอ!”
เธอเมินคำพูดของเขาและปิดประตูเสียงดังลั่นอย่างคิดว่าจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว!
หลังจากออกจากบ้านมา เธอไม่ได้ต้องการจะกลับไปทะเลาะกับเขาอีก พวกเขาไม่เคยทะเลาะกันมาก่อนและไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทว่าในตอนนี้เธอได้รับรู้แล้วและไม่อยากพบเจอมันอีก
โม่หันช่างงี่เง่าและดื้อดึง เขาไม่ยอมพูดออกมาสักคำ และถึงเขาจะทำอย่างนั้นก็พาลแต่จะทำให้เธอโกรธ ยามที่เธออยากจะทำความเข้าใจกับเขา เจ้าตัวกลับเอาแต่เถียงขึ้นมา
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ซย่าชิงอีเดินเตร็ดเตร่ไปตามข้างถนนเพียงลำพัง ฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด
ฟ้าค่อยๆ มืดลงพร้อมกับความเหนื่อยของเธอจากการเดินมาพักใหญ่ ก้มมองเท้าของตัวเองและเห็นว่าตัวเองยังสวมรองเท้าใส่ในบ้านอยู่ เธอไม่มีแม้แต่เงินติดตัว ทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน และยืนอยู่ข้างทางเพียงลำพัง ในขณะที่บรรยากาศบนท้องถนนค่อยๆ เงียบลงเรื่อยๆ
ภายใต้แสงไฟสลัวจางๆ ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด เธอกอดตัวเองไว้ในอ้อมแขนและค่อยๆ เดินก้มหน้าไปเรื่อยๆ หันมองไปรอบตัวไม่พบเจอผู้ใด โม่หันคงไม่มาตามหาเธอจริงๆ
เขาทำให้เธอกลัวและผิดหวังในตัวเขา
ตั้งแต่ที่ได้รับความทรงจำกลับคืนมา เธอก็รู้สึกอยู่เนืองๆ ว่าเรื่องราวจากในอดีตยังคงตามติดตัวเธอเป็นเงา และไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไหนก็ไม่สามารถหลีกหนีจากความยุ่งเหยิงของมันไปได้
เธอรู้ว่าโม่หันตกหลุมรักซย่าชิงอีหลังจากที่เธอความจำเสื่อม เด็กสาวธรรมดาที่มีเสียงหัวเราะในทุกๆ วัน ไม่ใช่ซ่งเนี่ยนมู่ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการใต้ดินที่ใช้ชีวิตไปกับการทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า
ซ่งเนี่ยนมู่ไม่ใช่ซย่าชิงอี พวกเขาไม่ใช่คนเดียวกัน
ทว่าตัวเธอในตอนนี้เป็นใครกัน เธอเองยังคิดไม่ตกกับคำถามนี้
ยิ่งคิดหาคำตอบก็ยิ่งรู้สึกแย่
และในคืนนั้นเธอไม่ได้กลับไปที่บ้าน
โม่หันนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิมที่ทะเลาะกันและเฝ้ารอตลอดทั้งคืนแต่เธอก็ไม่กลับมา
เขามองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นจากหน้าประตู
ที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะกาแฟถูกเติมเต็มไปด้วยก้มบุหรี่มากมาย ในที่สุดอาการติดบุหรี่ก็กลับมาหาเขาภายในเวลาเพียงคืนเดียว เขานั่งอยู่บนโซฟาพร้อมบุหรี่ที่ค่อยๆ หายไปอย่างรอให้เธอกลับมายืนที่หน้าประตูและดุเขาที่สูบบุหรี่อีกแล้ว
ทว่าไม่มีแม้แต่เงาของซย่าชิงอี
ถึงเวลาที่เขาต้องไปทำงานแล้ว สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นปิดไฟที่ส่องสว่างมาตลอดทั้งคืน ลากร่างตัวเองที่อยู่ในอาการเบลอเพราะไม่ได้นอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็สามารถผูกเนกไทได้จึงดึงมันออกด้วยความหงุดหงิด และทำเพียงสวมเสื้อคลุมทับชุดสูทของตัวเองก่อนที่จะออกจากบ้าน
ในจังหวะที่เดินผ่านห้องนั่งเล่น เขาชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นโทรศัพท์และเสื้อผ้าที่เธอทิ้งไว้บนโต๊ะ คว้ากระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนบางอย่างและวางไว้ข้างๆ โทรศัพท์ของเธอ
ข้อความในกระดาษเขียนไว้ว่า ‘ถ้าเธอกลับมาและอยู่ที่บ้าน เราค่อยคุยกันหลังจากพี่เลิกงานแล้ว’
เมื่อเขาเดินมาถึงประตูบ้าน เขาย้อนกลับไปเอากุญแจสำรองในห้องนอนและวางไว้ในกล่องใกล้กับบานประตูที่เธอรู้ดีอยู่แล้ว
เขาขับรถมุ่งหน้าไปทำงานที่บริษัท ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่นึกไม่ถึงว่าเธอจะจากเขาไปจริงๆ คิดว่าเธอคงต้องนั่งรอเขากลับบ้านอยู่บนโซฟาอยู่แน่ๆ ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแน่นอนว่าเธอโกรธเขาไม่น้อย และต้องการคำอธิบายจากเขา แต่คงไม่เป็นไร เขาจะพูดปรับความเข้าใจกับเธอเอง
เธอมักจะโกรธง่ายหายเร็วเสมอ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงแค่การทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ในเส้นทางชีวิตที่ยาวไกลนี้เท่านั้น
เขาคิดเช่นนี้มาตลอดจนกระทั่งช่วงบ่ายของวัน