ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 35-36
ตอนที่ 35 ไม่ใช่พี่ชายของฉัน
“เขาบอกว่ามีนะครับ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นเธอ ว่ากันว่าเธอทำงานอยู่ที่อเมริกาและสวยมาก”
สีหน้าของหลี่จิ้งเปลี่ยนไปทันที “เขามีแฟนแล้วหรือคะ”
“ครับ เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เจอหน้าเธอเลย”
โม่หันขับรถในขณะที่คนอื่นๆ นั่งอยู่ด้านหลัง พวกเขากำลังหาร้านไว้ฝากท้องช่วงมื้อเที่ยงนี้ก่อนกลับไปทำงานต่อที่สำนักงาน
ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เจ้าของโทรศัพท์เหลือบมองก่อนบอกให้หลิวจื้อหย่วนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูว่าใครโทรมา
“เบอร์ภายในประเทศ ไม่มีชื่อบอกไว้ครับ” อีกฝ่ายส่งโทรศัพท์ให้เขาดู
“รับสายที ถ้าเป็นคนไม่รู้จักก็วางสายได้เลย”
คนฟังรับโทรศัพท์ตามสั่ง “สวัสดีครับ…”
[หืม นี่ไม่ใช่เสียงพี่ชายฉันนี่คะ] ซย่าชิงอีตรวจดูเบอร์ที่กดโทรออกอีกครั้ง มั่นใจว่าไม่ได้โทรผิดแน่
“ขอโทษนะครับ นี่ใครพูดสายอยู่ครับ”
[ฉันซย่าชิงอี น้องสาวของพี่โม่หันค่ะ]
หลิวจื้อหย่วนจำเด็กสาวที่ปรากฏตัวที่สำนักงานพร้อมเจ้านายของเขาเมื่อคืนก่อนหน้านี้ได้ทันที เขาส่งโทรศัพท์ให้โม่หันก่อนเอ่ยขึ้น “น้องสาวของคุณครับ”
โม่หันกำลังมองตรงไปข้างหน้าและจดจ่อกับการขับรถจึงได้แต่ตอบว่า “หยิบหูฟังในกระเป๋าและต่อสายมาให้ผมที”
“เธอรู้เบอร์พี่ได้ยังไง” เขาถามขึ้นหลังจากใส่หูฟังเรียบร้อยแล้ว
[เมื่อคืนค่ะ ฉันเห็นนามบัตรของคุณในห้องทำงานก็เลยหยิบติดมาด้วย คุณชอบให้ฉันโทรหาคุณแต่ก็ไม่เคยให้เบอร์ไว้เลย] เธอกล่าว
หลายวันมานี้เขายุ่งอยู่กับคดีของประธานจางจนลืมเรื่องอื่นๆ ไปเสียสนิท “พี่ขอโทษ ช่วงนี้ยุ่งๆ น่ะเลยลืมให้เบอร์ไว้ แล้วโทรมามีอะไรเหรอ”
[ตอนนี้ฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยและเจอกับเจ้าหน้าที่แล้ว เธอบอกว่าเราต้องยื่นเอกสารเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวแต่ฉันไม่มี เลยโทรมาถามว่าคุณมีบ้างหรือเปล่าคะ]
“ตอนนี้เธออยู่ที่มหาวิทยาลัยเหรอ” เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะออกไปเรียนหนังสือแล้ว
[ใช่ค่ะ เมื่อเช้าอยู่บ้านเบื่อๆ ก็เลยออกมาเรียนหนังสือน่ะ] เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
น้ำเสียงเรื่อยๆ ของเธอขัดกับโม่หันที่มีท่าทีไม่ยินดีนัก เขาไม่พอใจกับสิ่งที่เธอทำลงไปอย่างเห็นได้ชัด “พี่ไม่ได้บอกให้ช่วงนี้เธอพักอยู่บ้านไปก่อนเหรอ แล้วค่อยไปเรียนตอนที่หายดีแล้ว”
คนในรถต่างก็ตกใจและนิ่งไปกับน้ำเสียงดุๆ ของเขา ใครก็รู้ว่าปกติโม่หันจะไม่แสดงอารมณ์ออกมามากนัก ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาเมื่อไร หมายความว่าคดีที่เขาจัดการอยู่ต้องวุ่นวายและซับซ้อนให้พวกเขาต้องทำงานล่วงเวลาแน่
เธอเอ่ยแก้ตัว [คือว่า… ฉันรู้สึกสบายดีแล้วนะคะ ตอนไปตรวจร่างกายมาเมื่อวาน หมอก็บอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว แค่อย่าออกกำลังกายหักโหมเท่านั้นเอง อีกอย่างคุณเองก็เป็นคนอยากให้ฉันไปเรียนไม่ใช่เหรอคะ]
“แล้วทำไมไม่บอกก่อนล่ะว่าเธอจะออกไปเรียนน่ะ”
[ฉันโทรหาคุณแล้วนะคะ แต่คุณน่าจะอยู่ในศาลอยู่เลยไม่ได้รับโทรศัพท์]
เขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่อดีเลยเปลี่ยนเรื่อง “เธอเจอเพื่อนร่วมชั้นแล้วหรือยัง”
[เจอแล้วค่ะ เพิ่งเรียนไปได้วิชาเดียว พอจบคาบฉันเลยโทรมาหาคุณ]
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
[ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ แต่จริงๆ ก็มีบางอย่างที่ฉันอยากขอรบกวนค่ะ] เธอถามขึ้นด้วยเสียงลังเลใจ [ฉันไม่มีเรียนตอนเย็นแต่ยังไม่อยากกลับบ้าน ขอไปอยู่ที่ที่ทำงานของคุณก่อนได้ไหมคะ]
คนฟังชะงักไป เขาไม่ชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนในเวลางาน ที่ผ่านมาเขามักยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องส่วนตัว ใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในศาลและสำนักงาน และเพราะคดีของประธานจางจึงทำให้เขายิ่งยุ่งจนต้องไปๆ มาๆ ระหว่างสองที่นี้ ทำให้ลืมไปรับซย่าชิงอีจากโรงพยาบาลจนเธอต้องมานั่งรอเขาที่สำนักงานเสียนาน
ตอนนี้เธอเป็นน้องสาวของเขาตามกฎหมายแล้ว เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องรับผิดชอบชีวิตเธอ แต่ดูท่าจากที่ผ่านมาที่ไม่ได้ใส่ใจเธอมากนักแล้ว เขาคงทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่
ตอนที่ 36 พี่น้องต่างขั้ว
“ถ้าเบื่อก็มาได้ ตราบใดที่เธอไม่มารบกวนพี่ทำงาน” โม่หันเอ่ยช้าๆ
[จริงเหรอคะ] น้ำเสียงสูงขึ้นกว่าปกติอย่างดีใจจนปิดไม่มิด
“อื้ม”
ทุกคนในรถมองไปที่เขาหลังจากวางสายโทรศัพท์ แววตาสงสัยของหลิวจื้อหย่วนส่งประกายชัดด้วยเพราะเขานั่งอยู่เบาะข้างๆ โพล่งถามขึ้น “เจ้านายครับ เธอเป็นน้องสาวของคุณจริงๆ เหรอ”
เขาตอบเสียงเรียบเฉย “ใช่สิ ไม่งั้นเธอจะเป็นน้องสาวของใครล่ะ ของคุณเหรอ”
“ว่าแต่คุณไปมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไรครับ เธอเป็นน้องสาวแท้ๆ เหรอ ทำไมพวกเราไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลยล่ะครับ” อีกฝ่ายยังคงถามต่อ
เขามองตรงไปข้างหน้าพลางตอบนิ่งๆ “แม่ของผมรับเลี้ยงเธอตอนเธออยู่ต่างประเทศ เพิ่งกลับมาและจะมาอยู่ที่นี่สักพักน่ะ”
“เธอเป็นน้องสาวบุญธรรมสินะครับ” หลิวจื้อหย่วนอ้าปากค้าง “มิน่าล่ะ เธอถึงใช้คนละนามสกุลกับคุณ”
เรื่องที่ครอบครัวทนายโม่มีน้องสาวบุญธรรมทำให้คนที่นั่งอยู่เบาะหลังรถสนใจขึ้นมา “เด็กสาวผมสั้นๆ ที่เห็นเมื่อวานที่สำนักงานน่ะเหรอ”
“ฉันเห็นเธอเมื่อวาน เธอตาโตเป็นประกายสดใสดีนะ หน้าตาสวยเชียวแหละ”
“เธออายุเท่าไรเหรอคะ ดูยังเด็กอยู่เลย ยังเป็นนักเรียนอยู่ใช่ไหมคะ”
โม่หันที่ได้ยินคำถามมากมายถูกส่งมาจากด้านหลังรถก็หัวเราะออกมา “เธอเป็นเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นแหละครับ ยังเรียนอยู่ ไม่ต้องสงสัยเกี่ยวกับเธอขนาดนั้นหรอก”
“จะไม่สนใจได้อย่างไรล่ะครับ เธอเป็นน้องสาวของคุณนะ” หลิวจื้อหย่วนกล่าว “เอาจริงนะครับเจ้านาย ผมไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงครอบครัวของคุณเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำว่า ‘น้องสาว’ จากปากคุณเลยนะเนี่ย เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ นะครับ”
โม่หันเพียงยกยิ้มขึ้น เขาค่อนข้างไม่สนิทกับพ่อแม่ต่างจากที่คนอื่นๆ เป็นกัน พ่อของเขาเข้มงวดและไม่ค่อยพูดกับเขา ในขณะที่แม่เขามักจะเรียกเขาเข้าไปหาและชวนพูดคุยในเรื่องที่เขาไม่อยากจะพูดถึงนัก
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาเป็นเด็กที่เติบโตมาภายใต้แรงกดดันจากพ่อแม่ของเขา และยังมีเรื่องเกี่ยวกับเขาอีกมากที่ยังไม่มีคนพูดถึง
หลังจากมาถึงสำนักงาน เขาก็เริ่มทำงานตามปกติ เขาเข้าประชุมและตรวจดูเอกสารการเงินของคดีที่รับผิดชอบอยู่ ต่อสายหาหลายคนเพื่อรวบรวมข้อมูลทุกด้านของคดีที่ทำอยู่
กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ ชีวิตที่มีแต่งาน งาน และงาน
เขายังทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องหยุดลงเมื่อซย่าชิงอีมาถึงในช่วงเกือบเย็น
จางลี่ที่เรียนรู้ความผิดพลาดที่ทำให้ทนายโม่ตำหนิเธอเมื่อวานแล้ว เมื่อเห็นซย่าชิงอี เธอจึงรีบพาเธอมาส่งที่ห้องทำงานของโม่หันด้วยตัวเอง
ซย่าชิงอีรู้ว่าจางลี่คงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แม้จะแต่งหน้าปกปิดแค่ไหนแต่ก็ยังเห็นรอยคล้ำใต้ตาของเธอ และถึงแม้ว่าปากจะฉีกยิ้มแต่แววตาของเธอกลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย อาจเพราะเมื่อคืนเธอคงนอนไม่ค่อยหลับหลังจากโดนโม่หันตำหนิ ซย่าชิงอีเลยเอ่ยปลอบเธอ “พี่ชายของฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อย คุณคงรู้สึกแย่ที่โดนตำหนิเมื่อวาน อย่าเอามาใส่ใจเลยนะคะ”
จางลี่ไม่คิดว่าซย่าชิงอีจะปลอบตัวเอง เธอนิ่งไปชั่วขณะ “…ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นความผิดของฉันเองที่ทำไม่ถูกต้อง”
“คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ คุณก็แค่ทำหน้าที่ของคุณ เขาทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปเอง”
“แต่ว่า…”
“แต่อะไรคะ อย่าคิดมากเลยค่ะ แค่ฟังที่ฉันพูดก็พอ”
จางลี่มองซย่าชิงอีอย่างประหลาดใจ นิสัยของซย่าชิงอีต่างจากเจ้านายของเธอโดยสิ้นเชิง เขาทั้งเข้มงวด ให้ความสำคัญกับทุกสิ่ง ทำทุกอย่างเป็นงานไปหมด รวมถึงสีหน้าท่าทางเรียบเฉย น้อยนักที่จะเห็นรอยยิ้มของเขา หากแต่ซย่าชิงอีกลับต่างออกไป เพียงแค่มองตาเธอก็รู้สึกถึงพลังงานที่เต็มเปี่ยม เธอช่างพูดช่างเจรจาและมีรอยยิ้มติดใบหน้าอยู่เสมอ ทั้งยังใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นและรู้จักเห็นใจผู้อื่นด้วย
พวกเขาช่างเป็นพี่น้องที่นิสัยต่างกันสุดขั้วจริงๆ