ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 41-42
ตอนที่ 41 เสื้อที่เปิดออก
โม่หันหลับตาลง “เลิกพูดได้แล้ว ปิดไฟนอนได้แล้วครับ”
ซย่าชิงอีลุกขึ้น เดินข้ามตัวเขาที่นอนขวางทางอยู่บนพื้นไปปิดไป ขณะที่ก้าวไปที่เตียงของเขาเธอก็รู้สึกสงบลง ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงอะไรตอนนี้ เธอทำได้เพียงรับมือกับมันให้ดีที่สุดถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่เธอต้องการตอนนี้คือการมีความสุขกับปัจจุบัน
เธอตื่นขึ้นมาเพราะโม่หันเหมือนปกติ เมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นเขาอยู่ในชุดสูทพอดีตัวเรียบร้อยแล้ว ยืนอยู่ข้างโต๊ะกำลังมองหาเอกสารที่เขาวางทิ้งไว้เมื่อคืนก่อน
“รีบลุกขึ้นมาได้แล้วครับ ผมซื้ออาหารเช้ามาแล้ว อยู่บนโต๊ะกินข้าวด้านนอก”
“รู้แล้วค่ะ… นี่กี่โมงแล้วคะ” เธอง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น
“แปดโมงเช้าแล้ว… คุณมีเรียนวันนี้เหรอ”
ความง่วงที่มีก่อนหน้านี้จากเธอไปทันที เธอกระโดดลงจากเตียงเหมือนปลาที่กระโดดออกจากบ่อ “ไม่นะ! ฉันมีเรียนวันนี้! ทำไงดีล่ะ”
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง” เขาดึงเนกไทขึ้นและหยิบนาฬิกาขึ้นมาสวม
เพราะว่าเขาจะไปส่งเธอซึ่งใช้เวลาเร็วกว่าการขึ้นรถสาธารณะไปอยู่มาก เธอจึงคิดว่ายังพอมีเวลาให้กลิ้งไปมาบนเตียง จากนั้นเธอก็เอนตัวลงบนเตียงหมายจะนอนต่ออีกสักนิด
เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีทีท่าจะลุกมาจากเตียง เขาวางกระเป๋าลงก่อนออกแรงพลิกทั้งผ้าห่มและตัวเธอ ดึงซย่าชิงอีขึ้นมาจากเตียงไปที่ห้องน้ำ “ลุกขึ้นมาได้แล้วครับ! ถ้าไปสายอย่ามาโทษผมนะ”
เธอมุ่ยหน้าและบ่นพึมพำพลางเกาคอไปด้วย เมื่อคืนเธอนอนหลับได้อย่างเต็มที่เพราะเตียงหลังใหญ่และนุ่มสบาย ทรงผมยุ่งเหยิงอย่างกับรังนก เธอมองสำรวจตัวเองขณะที่พยายามทำตัวให้สดชื่น
โม่หันก้มมองเธอ จากมุมนี้ทำให้เขาสามารถมองทะลุสาบเสื้อของชุดนอนตัวหลวมที่แยกออกจากกันได้ เขารีบหันหน้าไปอีกทางเหมือนกันไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเห็นอย่างนี้ ตอนนี้เขาก็เริ่มจะเชื่อที่เธอเคยโวยวายบอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กๆ แต่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเข้าเสียแล้ว
ซย่าชิงอียังคงง่วงงุนขณะแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำ แม้จะล้างหน้าแล้วแต่ดวงตาก็ยังคงปรือไปด้วยความง่วง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ กระดุมเม็ดหนึ่งหลุดจนสาบเสื้อด้านหนึ่งเปิดออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนบริเวณเนินอก เขาหันกลับมามองเธอแบบผ่านๆ จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าอกของเธออีก
เขามุ่นคิ้ว “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วครับ”
เธอพยักหน้ารับเบาๆ แต่ก็ขยับตัวช้าๆ ผ่านหน้าเขาไปหยิบเสื้อผ้าจากห้องของเธอด้านนอก
ซย่าชิงอียังคงไม่ตื่นดีเมื่อก้าวเข้าไปตัวรถ เธอกอดกระเป๋าที่ใส่อุปกรณ์ที่ต้องใช้เรียนวันนี้ไว้ พิงตัวกับกระจกรถพลางเอียงหัวไปด้านหนึ่ง ตามองดูผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างรีบเร่งด้านนอก
ฝ่ายคนขับรู้ดีว่าเธอไม่ได้สนใจจะเรียนหนังสือสักนิด แค่ยอมรับปากเพื่อไม่ให้เขาสบายใจเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังคงพร่ำบอกเธอ “แค่พยายามเรียนเท่าที่คุณจะไหวก็พอ มันมีประโยชน์กับการทำงานในอนาคตนะครับ”
เด็กสาวทำเพียงแสดงท่าทีรับรู้สิ่งที่เขาพูด เธอไม่รู้ว่าทำไมแต่รู้สึกได้ว่าการเรียนหนังสือไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบนัก เนื้อหาในแบบเรียนนั้นอ่านกี่ครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่าย เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมใครๆ ก็อยากเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยกันนัก
“ถ้าเลิกเรียนแล้ว คุณกลับบ้านไปก่อนดีกว่า ผมมีเรื่องต้องอยู่จัดการที่สำนักงาน ออกไปไหนไม่ได้ คุณรู้ทางกลับบ้านใช่ไหม” เขามองตรงไปตามถนนขณะเลี้ยวรถ
“รู้ค่ะ คุณทำงานของคุณไปเถอะ”
“ถ้าเบื่อก็มาที่ที่ทำงานของผมได้นะครับ”
คนฟังหัวเราะพลางส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ! อยู่ที่ที่ทำงานของคุณน่าเบื่อกว่าอีก ฉันกลับบ้านดีกว่า”
ตอนที่ 42 กลัว
ซย่าชิงอีรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาเมื่อคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อวานที่สำนักงาน เธอหันไปมองโม่หันที่ขับรถอยู่แล้วเอ่ยถามขึ้น “พี่ชาย ฉันได้ยินมาว่าพี่มีแฟนด้วยเหรอคะ ทำไมฉันไม่เคยเจอเธอเลยล่ะ”
เขาขมวดคิ้วมุ่น “ใครบอกเธอกัน”
“สำคัญด้วยเหรอว่าใครเป็นคนบอก เธอเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของฉัน ทำไมไม่เคยได้ยินเรื่องของเธอเลย”
สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรนัก “ไม่มีอะไรหรอก เธออยู่ที่อเมริกาและเราก็ต่างงานยุ่งกันทั้งคู่ด้วย”
ที่เขาไม่ได้พูดถึงเฉินโหรวแฟนสาวของเขาเลยเพราะว่าพวกเขาทะเลาะกันเมื่อเดือนก่อน ด้วยตารางงานที่ยุ่งและระยะห่างระหว่างพวกเขา ทำให้ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว ทั้งยังมีเรื่องของซย่าชิงอีและคดีความต่างๆ ที่ต้องสะสางจึงยิ่งทำให้เขาค่อยๆ ลืมเรื่องเธอไป นึกได้อีกทีก็ตอนที่ซย่าชิงอีถามถึงเรื่องของเธออยู่ตอนนี้
“แต่… ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะติดต่อกันบ้างไม่ใช่เหรอคะ ฉันไม่เห็นพี่โทรหาใครนอกจากคนในที่ทำงานเลย นี่พี่ชาย พี่ไม่ควรไม่ใส่ใจความรู้สึกของเธอเพราะเรื่องงานนะคะ” ซย่าชิงอีงุนงง ถ้าไม่ได้ยินจากพนักงานเธอคงไม่รู้เรื่องแฟนสาวของพี่ชายที่เอาแต่ทำงานตลอดเวลา
บรรยากาศในรถเย็นยะเยือกขึ้น เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่มันเรื่องส่วนตัวนะ เธอไม่ต้องยุ่งหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
ซย่าชิงอีนิ่งอึ้งไป อาจเพราะที่ผ่านมาที่เธออยู่กับเขาเริ่มรู้สึกว่ากำแพงน้ำแข็งที่เขาตั้งไว้เริ่มละลายลงแล้ว คิดว่าคงเป็นเพื่อนที่สามารถดูแลและช่วยงานเขาได้บ้าง แต่ดูท่าทางเขาตอนนี้แล้วคงไม่เป็นเช่นนั้น เธอหงอยลง สงสัยว่าคงจะก้าวล้ำเส้นมากไปเสียแล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไม่ถามอะไรอีก” เธอกล่าวเสียงแผ่วเบา
คนฟังรู้สึกผิดที่พูดแบบนั้นออกไป รู้ว่าน้ำเสียงที่ใช้รุนแรงเกินไป เพราะเคยชินกับการต้องพูดจาหนักแน่นดุดันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทนายความฝ่ายตรงข้าม เขาปรับเสียงอ่อนลงขณะพูดขึ้น “พี่ขอโทษ… พี่หมายความว่า… เดี๋ยวพี่จะจัดการปัญหาเอง”
“ฉันรู้ค่ะ”
พอเหลือบมองเด็กสาวข้างๆ ที่นิ่งเงียบไปแล้ว เขาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เป็นปกติของเธอที่จะเป็นห่วงเขาเพราะเธอไม่รู้จักใครและเขาก็เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเธอที่สุด แต่เขากลับทำให้เธอเศร้าเพราะเรื่องของเขากับเฉินโหรว
เมื่อเขาจะกล่าวต่อ เธอก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน “มหาวิทยาลัยอยู่ข้างหน้านี้เองค่ะ ส่งฉันตรงข้างทางนี้ก็ได้”
ฝ่ายคนขับมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้สังเกตว่ามาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว จอดรถพลางมองเธอเปิดประตูออกไปพร้อมกระเป๋าในมือ ก่อนหยุดถามเธอ “เธออยากกินอะไรไหม ไว้พี่จะซื้อเข้าบ้านไปให้ตอนเย็น”
ดวงตาเธอเป็นประกายขึ้นมา “ฉันอยากกินขนมปังถั่วแดงจากร้านที่เราไปกันครั้งก่อนค่ะ”
อีกคนหลุดหัวเราะ “ได้ เดี๋ยวจะซื้อกลับไปให้นะ”
เธอพลิกตัวกลับแล้วเดินเข้าไปมหาวิทยาลัยด้วยท่าทางมีความสุข เขาหัวเราะขณะที่มองดูเธอก้าวเดินไปอย่างอารมณ์ดี เธอช่างเป็นคนที่ง้อง่ายเสียจริง แค่ขนมปังถั่วแดงอันเดียวก็ทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาทันทีเหมือนเด็กที่ได้ลูกอมอย่างไรอย่างนั้น
เพราะว่าเพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่จึงไม่รู้จักเพื่อนคนไหน พวกเขาล้วนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอและเธอก็ไม่ได้สนใจจะทำความรู้จักกับพวกเขาเช่นกัน ที่เธอยอมมาเรียนหนังสือเพียงเพราะไม่อยากให้โม่หันต้องกังวล เธอเลยมักทำเป็นเฉยชากับสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้รู้สึกสนใจอยู่ตลอดเวลา และก็ไม่ได้เริ่มทำความรู้จักกับใครก่อนแต่กลับรอให้คนอื่นเข้ามาคุยกับเธอก่อนเท่านั้น
เธอนั่งลงด้านหลังห้อง ทำเหมือนตั้งใจเรียนทั้งที่ใจลอยไปไหนต่อไหน นักศึกษาคนอื่นๆ ในห้องแทบจะไม่รู้ว่ามีเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ด้วยซ้ำ
เด็กสาวใช้เวลาทั้งวันในห้องเรียนไปอย่างนั้น ก่อนจะเลิกเรียนในเวลาสองทุ่มครึ่ง เธอเก็บของและเตรียมตัวกลับบ้านไปกินขนมปังถั่วแดงที่โม่หันบอกว่าจะซื้อมาฝาก
ด้านนอกมืดแล้ว แสงสลัวจากไฟข้างทางส่องสว่างไปทั่วเหมือนตาข่ายที่มองไม่เห็น เธอไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้เลย หลังเลิกเรียนเธอพบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก ยกมือขึ้นเกาหัว รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ เงาสะท้อนจากใบไม้บนต้นไม้ปกคลุมแสงที่ส่องลงมาให้รอบตัวเธอมืด สายลมนิ่งและเงียบสงัด
มันเงียบเกินไปจนเธอรู้สึกกลัวและหันเดินออกไปทันที จนกระทั่งเสียงแผ่วเบาดังขึ้น เสียงกรอบแกรบที่เหมือนกับมีใครสักคนเหยียบลงบนกองใบไม้แห้ง เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทียามที่ได้ยินเสียงนั้นในสถานที่เงียบสงัดแบบนี้ รีบก้าวตรงไปข้างหน้าในที่ที่มีแสงสว่าง จนสะดุดกับบางอย่างและล้มลงบนพื้น