ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 43-44
ตอนที่ 43 ฆาตกร
เธอแตะของเหลวปริศนาทันทีที่ล้มลงกับพื้น รู้สึกถึงสัมผัสเหนียวๆ บนมือ ซย่าชิงอีจับข้อเท้าของตัวเองขณะมุ่นคิ้วจ้องมองบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ที่ทำให้เธอสะดุดล้ม มันดูเหมือนหินแต่ไม่แข็งและขนาดใหญ่กว่า เธอมองเห็นไม่ชัดนักเพราะความมืดที่โรยตัวรอบๆ ก่อนลุกขึ้นปัดใบไม้ที่บังอยู่ให้มองชัดชึ้น
เธอก้าวถอยหลังในทันที รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ
ตรงหน้าเธอคือร่างที่นอนไม่ไหวติง ถ้าจะให้เจาะจงมากขึ้นคือร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่
ชุดกระโปรงสีขาวบนร่างของผู้หญิงคนนั้นถูกถกดึงขึ้นมาจนถึงหน้าอก ท่อนล่างมีบาดแผลรุนแรง เลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วทุกที่ เลือดสีแดงสดกลิ่นสนิมทำให้นึกถึงตอนที่มือของเธออาบไปด้วยเลือด และตอนนี้ข้อเท้าของเธอก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน
เธอรู้แค่ว่าต้องใจเย็น แม้ไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่แต่เธอก็รีบหยิบโทรศัพท์แล้วต่อสายหาโรงพยาบาลและสถานีตำรวจทันที หลังจากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนหิน ไม่กล้ามองไปที่ร่างของผู้หญิงคนนั้น เมื่อเธอใจเย็นลงจึงครุ่นคิดว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตำรวจมาถึงก่อน พวกเขาเดินตรงมาหาเมื่อเห็นเธอที่มือเต็มไปด้วยรอยเลือด แสดงบัตรเจ้าหน้าที่ก่อนเอ่ยขึ้น “สวัสดีครับ ผมเจ้าหน้าที่จางหยาง คุณเป็นคนที่แจ้งเหตุเข้ามาใช่ไหมครับ”
เธอลุกขึ้นยืน ทำเพียงพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้ากับสิ่งที่เพิ่งเจอ
“รบกวนคุณช่วยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟังด้วยครับ” ตำรวจหนุ่มที่สวมหมวกหยิบสมุดขึ้นมาเตรียมจดรายละเอียดเหตุการณ์ต่างๆ
เธอมองไปยังเหตุอาชญากรรมตรงหน้า คนมากมายเข้ามามุงรอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ บางคนเข้ามาถ่ายรูป บางคนก็พูดคุยถกเถียงกัน เธอเอ่ยถามขึ้น “เธอตายแล้วเหรอคะ”
จางหยางมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ “ไม่มีสัญญาณชีพเลยครับ”
เขาพูดต่อ “ตอนคุณพบศพเธอ เธอเป็นยังไงบ้างครับ”
“ใบหน้าเธอซีด ชุดกระโปรงถูกถกดึงขึ้นมาถึงหน้าอก ชั้นในถูกดึงลงมาถึงหัวเข่า มือทั้งสองข้างมีร่องรอยการถูกทำร้าย น่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เธอน่าจะถูกเชือกมัดไพล่หลังไว้ ส่วนอื่นๆ ในร่างกายก็มีบาดแผลเล็กๆ ด้วยแต่ฉันเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ เธอสวมรองเท้าสีแดงแค่ข้างเดียว เลือดเจิ่งนองเต็มพื้นไปหมด โดยเฉพาะจากบริเวณท่อนบนของร่าง อืม… ฉันจำได้เท่านี้แหละค่ะ” ซย่าชิงอีพยายามนึกเท่าที่เธอทำได้
จางหยางรู้สึกทึ่งหลังจากที่ได้ยินเธอเล่า ถ้าต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้คนส่วนใหญ่คงจะกลัวจนร้องไห้และขอกลับบ้านไปแล้ว แต่ทว่านักศึกษาคนนี้ที่เป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ กลับสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดได้อย่างนิ่งเฉย ทำให้ความสงสัยของเขายิ่งเพิ่มขึ้น
“คุณเป็นใครกันครับ” จางหยางมีท่าทีจริงจังขึ้น
เธอมองเขาตาปริบๆ ยิ้มออกมาอย่างประหม่า “ฉันชื่อ…ซย่าชิงอีค่ะ”
“คุณเป็นอะไรกับผู้ตายครับ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเธอค่ะ แค่บังเอิญเดินผ่านมาเจอเท่านั้น”
“มุมอับแบบนี้ คุณบังเอิญมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ” จางหยางเริ่มถามด้วยท่าทีแข็งกร้าวขึ้น
“ฉันเพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่ กำลังจะกลับบ้านแต่หลงทางเลยหาทางออกอยู่ค่ะ”
“มีคนเป็นพยานไหมครับ”
“ไม่ค่ะ” เธอจ้องมองเจ้าหน้าที่หนุ่มซึ่งมองเธอราวกับว่าเธอเป็นผู้ก่อเหตุ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “คุณเจ้าหน้าที่ คุณกำลังสงสัยว่าฉันเป็นฆาตกรเหรอคะ”
“ก่อนสอบสวนเสร็จ ใครก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ทั้งนั้นแหละครับ ช่วยให้ความร่วมมือด้วย” เขาตอบกลับมาเสียงหนักอย่างไม่สบอารมณ์
เธอส่งยิ้ม “ก่อนจะสงสัยฉัน ลองคิดตามดูนะคะ อย่างแรกเลย เสื้อผ้าของผู้ตายหลุดลุ่ยและมีบาดแผลเล็กๆ เต็มตัวไปหมด ดูเหมือนเธอจะโดนล่วงละเมิดทางเพศมา ฉันจะเป็นฆาตกรไปได้ยังไงในเมื่อฉันเป็นผู้หญิง จะไปข่มขืนผู้หญิงที่ไม่รู้จักกันได้ยังไงคะ อีกอย่างต่อให้ฉันสันนิษฐานผิด แต่แผลสาหัสที่โดนปาดคอบนตัวผู้ตายซึ่งทำให้เธอเสียเลือดมาก ฆาตกรต้องใช้อาวุธอย่างมีดผ่าตัดที่ใช้ในโรงพยาบาลที่คมมากและพกพาไปไหนต่อไหนง่าย เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ร่างกายอ่อนแออย่างฉันจะไปมีแรงจับตัวเธอไว้ก่อนลงมือฆ่าเธอได้อย่างไร”
ตอนที่ 44 ความเฉยชาภายใต้รอยยิ้ม
จางหยางนิ่งชะงักไปกับคำพูดของเธอ รู้ได้ว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ความคิดละเอียดรอบคอบและช่างสังเกต มองเห็นจุดที่คนอื่นๆ มองข้ามไป
ซย่าชิงอีไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับตำรวจอีกต่อไป เธอก้มมองนาฬิกาและเห็นว่าเป็นเวลาสามทุ่มครึ่ง โม่หันน่าจะเลิกงานและซื้อขนมปังถั่วแดงมารอเธอที่บ้านแล้ว
“ในฐานะที่คุณเป็นคนแจ้งเหตุ คุณต้องมาให้ปากคำเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจด้วยครับ” จางหยางพูด
ขณะที่เธอจะเอ่ยปากพูด เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นเสียก่อน เป็นสายจากพี่ชายของเธอนั่นเอง
[เธออยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน] เขากล่าวอย่าร้อนรนเมื่อพบว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้าน หลังจากต่อแถวแวะซื้อขนมปังอยู่ครึ่งชั่วโมง
“ฉัน…ฉันยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยค่ะ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่”
[เกิดอะไรขึ้น เรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า]
“มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่ค่ะ ตำรวจขอสอบปากคำฉันเพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติม”
[เหตุฆาตกรรมเหรอ] โม่หันกล่าวเสียงหนักขึ้น
“ค่ะ ฉันเป็นคนแรกที่เจอศพ ตอนนี้ตำรวจเลยกำลังสอบปากคำฉันอยู่”
ปลายสายมุ่นคิ้ว [รออยู่ที่มหาวิทยาลัย เดี๋ยวพี่ไปรับ]
เธอตอบรับก่อนถามขึ้น “พี่ซื้อขนมปังมาหรือเปล่าคะ”
โม่หันคิดไม่ถึงเลยว่าในเวลาอย่างนี้เธอยังจะมีอารมณ์คิดถึงขนมปังถั่วแดงของเธอได้อีก [อืม ซื้อมาแล้ว เดี๋ยวพี่เอาไปให้]
มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนหุบลงเมื่อเห็นสายตาของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่จ้องเธอเขม็ง เธอบอกลาโม่หันแล้ววางสายขณะรอตำรวจมาสอบปากคำต่อ
“คุณเจอศพผู้ตายเมื่อไหร่ สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอื่นๆ อีกไหมครับ”
เด็กสาวนึกถึงเสียงฝีเท้าที่เหยียบบนใบไม้แห้งที่ได้ยิน ทว่าเธอก็ไม่เข้าใจว่าหากนั่นเป็นเสียงฝีเท้าของฆาตกรจริง ทำไมเขาถึงปล่อยให้เธอรอดแทนที่จะฆ่าทิ้งในเมื่อเธอเป็นคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ถ้าหากเสียงเท้านั่นเป็นเสียงของอย่างอื่นล่ะ ในสถานที่เงียบแบบนี้ นี่มันเกินคำว่าบังเอิญเกินไป
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจบอกจางหยางเกี่ยวกับเสียงที่ได้ยิน “ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนจะเจอเธอค่ะ เป็นเสียงเหมือนเหยียบบนใบไม้อยู่”
อีกฝ่ายจดลงสมุดอย่างแข็งขัน แม้ว่าเขาจะสงสัยในตัวเธอแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอช่วยให้เบาะแสกับเขาได้มาก
“มีอะไรอีกไหมครับ”
“ไม่มีแล้วค่ะ”
จางหยางปิดสมุด “วันนี้ดึกมากแล้ว พอแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ วันพรุ่งนี้รบกวนไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วยนะครับ ผมจะได้ทำบันทึกการให้ปากคำเพิ่มเติม”
เขาส่งปากกาให้เธอ “รบกวนเขียนช่องทางการติดต่อให้ด้วยครับ”
เธอไม่ได้ยื่นมือไปรับ สัญชาตญาณของเธอบอกว่าเธอไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับตำรวจ “ฉันมีเรียนพรุ่งนี้ คงไม่มีเวลาไปสถานีตำรวจหรอกค่ะ”
“การเข้าเรียนสำคัญกว่าคดีที่เกิดขึ้นหรือครับ นี่มันไม่ใช่คดีลักทรัพย์ธรรมดาแต่เป็นคดีฆาตกรรมนะครับ! ” จางหยางเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนี้ เขาจึงทุ่มเทกับการทำคดี ยิ่งได้เข้ามาทำคดีฆาตกรรม เขาจึงรู้สึกโมโหที่คนที่แจ้งเหตุเข้ามาทำตัวเหมือนกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง
“แต่ฉันก็บอกสิ่งที่ฉันรู้ไปหมดแล้วนี่คะ ต่อให้ฉันไปให้ปากคำพรุ่งนี้ก็คงไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมหรอกค่ะ” เธอโต้กลับ
ขณะที่ทั้งสองกำลังเถียงกันไม่เลิก โม่หันก็เดินเข้ามาจากที่ไกลๆ เขามองไปที่เธอก่อนก้าวไปยืนคั่นกลางระหว่างเธอและเจ้าหน้าที่จาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางส่งยิ้ม “ขอโทษด้วยครับ เธอยังเด็กอยู่ ไม่รู้จักระวังคำพูด อย่าเอามาใส่ใจเลยนะครับคุณเจ้าหน้าที่”
ซย่าชิงอีเงียบไปขณะมองเขาอย่างหงุดหงิด จางหยางหันมามองโม่หันที่อยู่ในชุดสูทพอดีตัว ชายร่างสูงรูปร่างหน้าตาดูดี รอยยิ้มอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกถึงความเฉยชาบ่งบอกชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา จางหยางรู้สึกกดดันขึ้นมาทันทีเมื่อชายตรงหน้าปรากฏตัวขึ้น แม้ว่าเขาจะอยู่ในชุดตำรวจก็ตาม