ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 67-68
ตอนที่ 67 ฉันอยากอยู่กับคุณ
เขาหันมองมาที่เธอ “ผมมีบางเรื่องที่ต้องคุยกับเธอคืนนี้”
เธอส่งยิ้มหยัน “เรื่องอะไรล่ะคะ ฉันรู้ด้วยไม่ได้เหรอ”
โม่หันเหลือบมองพลางเอ่ยขึ้น “แค่เรื่องที่มหาวิทยาลัยน่ะ ถ้าคุณอยากเข้ามาฟังด้วยก็ได้”
เธอเบาใจลงเมื่อได้ยินดังนั้น “ฉันไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระของคุณหรอกค่ะ”
เขาพูด “อย่าปล่อยให้อาหารเย็นชืดอย่างนั้นเลย คุณไปทานก่อนเถอะ”
“ไม่ค่ะ ฉันจะทานกับคุณ” อีกฝ่ายร้องบ่น
เขาถอนหายใจ “ครับ ผมจะไปคุยกับเธอก่อน แล้วเดี๋ยวกลับมากินข้าวกับคุณ”
เธอฉีกยิ้ม “เร็วๆ นะคะ ฉันจะรอ”
โม่หันเคาะประตูห้องของซย่าชิงอีแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขามองลอดไปในช่องว่างใต้ประตูและเห็นว่าไฟปิดอยู่
“เธอหลับอยู่เหรอ”
“ค่ะ” คนถูกถามพึมพำตอบเสียงงัวเงียมาจากในห้อง
โม่หันเปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบๆ ทั้งห้องอยู่ในความมืดมีเพียงแสงไฟอ่อนๆ ที่ส่งมาจากห้องนั่งเล่น ทำให้เขามองไม่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหน
“ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ” เขาเอ่ยถาม
“ฉันบอกพี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าหลับอยู่น่ะ” น้ำเสียงของเธอแฝงอารมณ์ขุ่นมัว ตอนแรกเธอคิดว่าพอเขาได้ยินที่เธอบอกแล้วจะปิดประตู ทิ้งเรื่องที่จะพูดไว้วันพรุ่งนี้แทน แต่เธอคิดผิด
โม่หันเอื้อมมือไปเปิดไฟเสียงดัง แล้วทันใดนั้นห้องทั้งห้องสว่างขึ้น ทุกอย่างปรากฏให้เห็นแก่สายตาเขา ซย่าชิงอีนั่งกอดขาตัวเองเอาไว้ตรงพื้นข้างเตียงพลางใช้มือป้องตาจากแสงไฟ
“ถ้าจะเปิดไฟแบบนี้ก็บอกสักหน่อยไม่ได้เหรอ” เธอว่าเสียงแข็ง
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับและปิดประตูลง โม่หันก้าวไปยืนข้างๆ และก้มลงมอง “ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วนักล่ะ”
ซย่าชิงอียังคงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างขณะหันหลังให้เขา “วันนี้ฉันไม่มีเรียนตอนเย็นค่ะ”
“ทำไมไม่ออกไปกินข้าวเย็นข้างนอก”
“ฉันไม่หิว”
“แปลกที่ได้ยินเธอพูดอย่างนั้น” เขาหัวเราะขึ้น
“ที่พี่บอกเมื่อเช้า พี่จะคุยเรื่องอะไรกับฉันคะ” ซย่าชิงอีเปิดคำถามก่อน
เขานั่งลงบนเตียงขณะมองไปด้านนอกหน้าต่างเหมือนที่เธอทำ “เมื่อเช้าพี่รีบไปหน่อย พอคิดไปคิดมา เราน่าจะคุยเรื่องนี้กันคราวหลังดีกว่า”
เธอหลับตาลงอย่างโล่งใจและรู้สึกดีใจเล็กน้อย เธอกลัวว่าเขาจะบอกให้เธอย้ายออกไปอย่างต้องการจะไล่เธอออกจากบ้านของเขา
“เร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้ เรื่องมันยากที่จะเล่าให้ฟังในเวลาสั้นๆ น่ะ” โม่หันนึกเปลี่ยนใจขึ้นมาเมื่อเดินเข้ามาในบ้าน เขาควรหาเวลาพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพ่อแม่กับเธอทีหลัง ตอนนี้เขาอยากจะพักขณะที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอมากกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขานิ่งเงียบและมองตามซย่าชิงอีไปนอกหน้าต่าง ความเงียบโรยตัวไปทั่วทั้งห้อง
“คุณคิดว่าพวกเขาจะเป็นยังไงบ้างคะ” เธอเอ่ยราวกับกำลังพูดกับตัวเองอยู่ พลางก้มหน้าน้อยๆ มองไปนอกหน้าต่าง
“อะไรเหรอ”
“พวกเขาจะกำลังทำอะไรอยู่ ครอบครัวที่แท้จริงของฉัน…” เธอเอ่ยซ้ำ
“พี่คิดว่าพวกเขาคงกำลังตามหาเธออยู่” โม่หันสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวขณะจ้องมองแผ่นหลังเล็กๆ ของเธอ
“ทำไมพี่ไม่คิดว่าเขายอมแพ้เลิกตามหาฉันไปแล้วล่ะ” เธอหัวเราะอย่างขมขื่น
หากพวกเขายังตามหาเธออยู่ ทำไมถึงไม่มาหาเธอที่โรงพยาบาลตลอดเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่นั่น
หากพวกเขายังตามหาเธออยู่ ทำไมความทรงจำที่ฉายเข้ามาในหัวเธอถึงช่างขมขื่นและเจ็บปวดขนาดนี้
“ฉันอยู่ที่นี่ได้ถึงเมื่อไหร่คะ” เธอถามซ้ำ ถามเขาว่าเมื่อไรจะถูกไล่ออกไปจากที่นี่
คำถามนั้นทำให้โม่หันปวดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง เอื้อมมือสัมผัสเรือนผมนุ่มของเด็กสาวตัวเล็กๆ ตรงหน้า พร้อมเอ่ยขึ้น “เธออยู่ที่นี่ได้จนกว่าพวกเขาจะตามหาเธอเจอ”
คนฟังชะงักนิ่งไป เงียบอยู่ในภวังค์ไปกับสัมผัสของเขาที่ลูบศีรษะของเธอ
ตอนที่ 68 เป็นหวัด
ซย่าชิงอีเป็นหวัดในเช้าวันต่อมา
เธอนอนไม่หลับมาสองคืนติดแล้วตั้งแต่ที่โม่หันทักเธอว่าทำไมถึงตื่นเช้าวันนั้น เธอพลิกไปมาบนเตียงทั้งคืนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหลับลง สุดท้ายจึงตัดสินใจเปิดหน้าต่างและนั่งอยู่บนพื้น ฟังเสียงความเงียบยามค่ำคืน
รู้สึกเหนื่อยหลังจากโม่หันออกจากห้องเธอไปเมื่อคืน และลงเอยอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมเหมือนคืนก่อนหน้านี้ เธอนอนไม่หลับตลอดเวลาที่เอนตัวนอนบนเตียง ได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ออกมาขณะห่อตัวเองกับผ้าห่ม แต่หลังจากเปิดหน้าต่างและล้มตัวนอนบนพื้น เธอก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
เธอไม่ได้คาดคิดว่าฝนจะตกในคืนนั้น
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกเวียนหัวและงัวเงีย ภายในลำคอแห้งผากจนไม่มีเสียงพูด ปวดไปทั่วร่างจนไม่อยากขยับตัว เธอพยายามลุกขึ้นมาและเห็นว่าผ้าห่มถูกตัวเองเตะออกไปอีกทางขณะที่เสื้อผ้าที่สวมอยู่เปียกชื้น
เธอลุกขึ้นยืน ถือผ้าห่มไว้ในมือพลางมองหาโทรศัพท์ของตัวเอง หน้าจอบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง เธอมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นท้องฟ้าสีเทาเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม ปิดหน้าต่างและตัดสินใจอาบน้ำอุ่นเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นตามร่างกาย
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ซย่าชิงอีเดินออกไปดื่มน้ำทั้งเส้นผมที่ยังเปียกอยู่ จังหวะที่เธอเดินออกไปก็บังเอิญชนเข้ากับโม่หัน
อีกฝ่ายเพิ่งตื่นนอนเช่นกัน เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเธอในสภาพนี้ ปกติเธอไม่ได้นอนอุตุอยู่บนเตียงจนสายกว่าจะตื่นหรอกหรือ ทำไมสองวันที่ผ่านมาเธอถึงตื่นเช้านัก
“ทำไมเธอถึงตื่นเช้านักล่ะ” โม่หันถาม
ซย่าชิงอีเดินไปในห้องครัวเพื่อหาน้ำกิน ยังคงเจ็บคอแม้จะได้ดื่มน้ำเข้าไปแล้ว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
เขาชะงักไป “ทำไมเสียงเป็นอย่างนั้นล่ะ”
เด็กสาวดื่มน้ำเข้าไปอีกแก้ว “ฉันเป็นหวัดน่ะค่ะ”
“เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับใช่ไหม” เขาสังเกตเห็นสีหน้าซีดๆ เมื่อก้าวเข้าไปใกล้ๆ เธอ
เธอพยักหน้ารับ “ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ ฉันเพิ่งอาบน้ำอุ่นไป เดี๋ยวอีกสักพักน่าจะดีขึ้น”
เสียงแหบแห้งของเธอทำให้เขาได้ยินไม่ชัดนัก ก่อนมุ่นคิ้ว “ไปซื้อยามากิน อย่ารอจนอาการหนักกว่านี้”
“รู้แล้วค่ะ”
โม่หันมองเด็กสาวที่ตอบเขาทั้งที่ยังหลับตาอยู่ เหมือนกับแค่กำลังละเมอคุยกับเขา ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของเขา เขาโมโหขึ้นมาหน่อยๆ ที่เธอเอาแต่พยักหน้าทั้งยังยืนหน้าซีดอยู่ตรงนี้ “เธอได้ยินที่พี่บอกไหมเนี่ย ไปซื้อยามากิน เธอรู้ทางไปร้านยาหรือเปล่า”
“ฉันรู้ค่ะ เดี๋ยวจะไปซื้อยาที่โรงพยาบาลที่มหาวิทยาลัยตอนที่ออกไปเรียนแล้วกันนะคะ” เธอไม่อยากพูดอย่างรู้สึกเจ็บคอทุกครั้งที่เอ่ยอะไรออกมา
“ถ้ายังไม่สบายอยู่ก็ยังไม่ต้องไปเรียนวันนี้ ค่อยไปบอกอาจารย์ของเธอทีหลัง”
ซย่าชิงอีหันหน้ากลับมามองเขาก่อนพูดขึ้น “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันแค่เจ็บคอเท่านั้นเอง”
เธอดื่มน้ำอึกสุดท้ายก่อนเอ่ย “วันนี้ฉันไม่อยากพูดอะไรแล้ว เจ็บคอมาก พี่ช่วยเลิกคุยกับฉันเสียที เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะออกไปเรียนเอง”
พูดจบเธอก็พลิกตัวกลับไปที่ห้องของตัวเอง เดินผ่านหน้าโม่หันไปทั้งอาการเวียนหัวและตาปรือ
ในจังหวะที่โม่หันกำลังจะอ้าปากบ่นขณะที่จ้องมองเธอซึ่งตอบกลับเขามาแบบนั้น เฉินโหรวก็เดินออกมาจากห้องของเขา เธอตรงเข้ามาจะทักทายซย่าชิงอีเมื่อเห็นเจ้าตัวเดินเข้าห้องของตัวเองไปอย่างงัวเงีย หากแต่ก็เห็นว่าท่าทางของเธอดูไม่ได้สนใจใครเสียเลย
สุดท้ายเธอจึงไม่ได้ทักทายอีกคน ก่อนเดินตรงไปหาโม่หันแทนและกอดแขนเขาไว้ “คุณเพิ่งตื่นเหรอคะ”
อีกฝ่ายส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างสั้นๆ