ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 69-70
ตอนที่ 69 คำพูดน่ารังเกียจ
เฉินโหรวเอ่ย “วันนี้ฉันจะออกไปข้างนอกนะคะ นัดกับเพื่อนของฉันไว้เมื่อวานแล้ว ไหนๆ ก็กลับมาแล้วเลยอยากจะเจอพวกเขาสักหน่อย”
โม่หันตอบ “ดีแล้ว พวกเธอก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่”
“คุณจะไปส่งฉันไหมคะ”
เขาขมวดคิ้วก่อนพูดขึ้น “สำนักงานกฎหมาย…”
อีกฝ่ายจ้องมองเขา “ฉันไม่สนใจหรอก… ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้น! คุณต้องไปส่งฉัน ฉันไม่แม้แต่จะขอให้คุณไปนั่งคุยกับพวกเธอเลยนะ แค่ไปส่งฉันเท่านั้นเอง!”
เขานิ่งไปชั่วครู่ “ได้ครับ ผมจะไปส่งคุณ”
เฉินโหรวฉีกยิ้มแล้วยกแขนขึ้นกอดคอเขาหมายจะจูบที่ริมฝีปาก โม่หันหันหน้าหลบจูบนั้นเมื่อซย่าชิงอีเดินออกมาจากห้อง เธอมองสิ่งที่เห็นตรงหน้าตาปริบๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนก้มลงหยิบหนังสือที่วางทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่นเมื่อวานใส่ลงกระเป๋า ปิดประตูเสียงดังและเดินออกไปเงียบๆ
เฉินโหรวไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับน้องสาวที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นของเขานัก เธออยากจะรั้งและเก็บโม่หันไว้กับตัวเองตลอดเวลา หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจทุกครั้งที่เห็นเขาและซย่าชิงอีอยู่ด้วยกัน
เธอรู้ว่ามันดูงี่เง่าที่คิดเช่นนั้น แต่ว่า…
เธอรู้สึกลึกๆ ว่าซย่าชิงอีจะมาแย่งโม่หันไปจากเธอ
อย่างไรก็ตามเฉินโหรวก็รู้ดีว่าเขามักจะรักษาระยะห่างกับคนอื่นเสมอ เธอต้องยอมรับแม้ว่าเธอจะเป็นแฟนสาวของเขาก็ตาม
ซย่าชิงอีเพิ่งไปซื้อยาจากคลินิกในมหาวิทยาลัย เดินตรงไปที่ห้องเรียนอย่างมึนๆ พร้อมยาในมือ เธอแวะไปคลินิกระหว่างคาบเรียน เป็นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ยังคงบรรยายไม่หยุดหลังจากที่เธอกลับมา เธอเปิดประตูเข้าไปอย่างระวัง เลือกนั่งที่แถวหลังสุดของห้องที่ใกล้ที่สุดแทนที่จะไปนั่งข้างหน้าห้องกับเพื่อนร่วมชั้น ขี้เกียจที่จะหยิบหนังสือเรียนออกมาเพราะอาการมึนงงจากอาการป่วย ฟุบหน้านอนบนโต๊ะเตรียมจะงีบหลับ
หลังจากปิดตางีบหลับได้สักพัก เธอก็ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงออดบอกเวลาเลิกเรียน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ห็นคนเริ่มทยอยเดินออกจากห้องไป อาจเพราะว่าได้หลับไปนิดหน่อย ตอนนี้เธอจึงรู้สึกหัวโล่งขึ้น แต่ก็ยังคงเจ็บคออย่างหนักอยู่ ซย่าชิงอีรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปพร้อมเพื่อนเมื่อเห็นว่ากลุ่มเพื่อนที่มักอยู่ด้วยกันเดินออกจากห้องเรียนไปแล้ว
ซย่าชิงอีก้าวเร็วๆ เดินตามหลังพวกเธอไป แต่ก่อนที่จะเอ่ยปากเรียกชื่อของพวกเธอ เด็กสาวที่เดินอยู่ตรงกลางก็พูดขึ้น
“รู้สึกดีจัง ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะที่ซย่าชิงอีออกไปได้เสียที!”
“ดูจากเสียงของเธอวันนี้ เธอน่าจะเป็นหวัดนะ เธอไม่ได้บอกเราว่าจะออกไปซื้อยาก่อนหน้านี้ด้วย”
“ใครสนใจเธอกันล่ะ แค่เธอไม่มาอยู่ข้างๆ เราสักนาทีฉันก็รู้สึกดีมากแล้ว”
เด็กสาวอีกคนที่อยู่อีกข้างเห็นด้วย “จริงที่สุด เธอทำตัวแปลกๆ ตลอด หน้าสวยแล้วยังไงล่ะ เธอทำท่าเฉยชาใส่เราทุกครั้งที่เราคุยกับเธอเลย! หยิ่งอะไรขนาดนั้น ยังไม่รวมที่เธอเกาะติดกับเราทุกวันอย่างกับหมากฝรั่งนั่นอีก!”
ซย่าชิงอีรู้สึกรังเกียจขณะที่ฟังบทสนทนาทั้งหมด เธอเลือกที่จะนิ่งเงียบพลางมองไปยัง ‘เพื่อน’ ที่ทำตัวดีต่อหน้าเธอแต่กลับพูดถึงเธอลับหลังเช่นนี้
“อีกอย่างนะ เธอเป็นคนที่พบศพที่มหาวิทยาลัยของเราเมื่อวันนั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นคนอื่นคงร้องไห้เพราะความกลัวไปแล้ว แต่เธอกลับไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างที่ควรจะเป็นเลย ช่างเป็นคนประหลาดอะไรอย่างนี้! ไม่รู้ว่าพวกเขาไปคุยอะไรกันตอนที่ตำรวจมาถามหาเธอในห้องเรียนอยู่ทุกวัน”
“ตำรวจอาจจะสงสัยว่าเธอเป็นฆาตกรก็ได้นะ มันก็เป็นไปได้นี่”
ซย่าชิงอีไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงยังคงเดินตามพวกเขาที่พูดจาน่าขยะแขยงออกมา อาจจะแค่ควบคุมความอยากรู้ของตัวเองว่าพวกคนเสแสร้งพวกนี้พูดถึงเธออย่างไรไม่ได้ก็เป็นได้
ตอนที่ 70 พี่ชายทูนหัวกับน้องสาว
“นี่ วันนั้นเห็นพี่ชายของเธอไหม คนหล่อๆ ที่สวมชุดสูทขับรถหรูคนนั้นน่ะ ฉันถ่ายรูปไปให้เพื่อนดูด้วย พวกเขาบอกว่าเขาเป็นคนดังในเมืองนี้ด้วยนะ” หนึ่งในกลุ่มเด็กสาวเอ่ยขึ้นพลางปิดปากตัวเองไปด้วย
“ฉันเห็น! พวกเขาหน้าตาไม่เห็นคล้ายกันเลยสักนิด บางทีอาจจะเป็นพี่ชายทูนหัวที่เจอกันข้างนอกก็ได้นะ เขาคงให้เงินเธอใช้และดูแลเธออย่างดี!”
“ใช่แล้ว! พวกเขาอาจจะลงเอยกันบนเตียงแล้วเธอก็เรียกเขาเป็นพี่ชายทูนหัว!” เด็กสาวอีกคนปั้นเรื่องขึ้น
ซย่าชิงอีนิ่งชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เธอกำมือแน่นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอพยายามสูดหายใจลึกเพื่อทำใจให้เย็นลง แต่ก็ไม่สามารถอดกลั้นอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านจากประโยคเหล่านั้นได้
เธอจ้องเขม็งไปที่ด้านหลังของกลุ่มเด็กสาวขณะที่กำถุงยาแน่น จากนั้นก็เล็งไปที่ศีรษะของคนที่พูดคำพวกนั้นออกมาแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีโยนตรงไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
“อ๊ะ!” เด็กสาวคนนั้นร้องออกมาพร้อมกับขวดยาที่ตกลงบนพื้นเสียงดัง เธอรู้สึกตกใจจนพูดไม่ออกเมื่อหันไปเห็นซย่าชิงอี
ซย่าชิงอีก้าวเข้ามาและฝากรอยตบหนักๆ ไว้บนหน้าของเธอ ตะโกนอย่างเดือดดาล “ระวังปากของเธอไว้ให้ดีๆ เถอะ!”
น้อยนักที่จะเห็นซย่าชิงอีโกรธ ดวงตาฉายแววเกรี้ยวกราดเชือดเฉือน ราวกับมีดที่สามารถฆ่าพวกเธอให้ตายได้ มันทำให้พวกเธอรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด เด็กสาวที่ถูกตบคิดพลางพยายามทำตัวเป็นปกติ เธอโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ทำไมฉันต้องขอโทษด้วย ก็ฉันพูดความจริงนี่!”
เธอเหยียดยิ้มและลงมือตบอีกฝ่ายอีกครั้ง “เธอควรจำไว้ไม่ว่าคำพูดของเธอจะจริงหรือไม่ก็ตาม!”
ทันใดนั้นเด็กสาวรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาหลังจากถูกตบไปถึงสองครั้ง ขยับไปจับตัวของซย่าชิงอีหมายจะผลักให้ล้มลงบนพื้น เด็กสาวคนอื่นที่อยู่ข้างๆ เธอเริ่มที่จะเข้ามาผลักเธออย่างท้าทายเช่นกัน เมื่อคนรอบข้างเห็นเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นก็แตกกระจายเป็นวงกว้างไปทั้งสองฝั่งของถนน พวกเขากลัวว่าจะโดนลูกหลงแต่ก็ไม่ยอมถอยออกไป เอาแต่ยืนดูและซุบซิบอยู่รอบๆ
ซย่าชิงอีรั้งผมของตัวเองไว้มือหนึ่งขณะที่อีกมือจับที่แขนของอีกฝ่าย เธอเตะกวาดขาฝ่ายตรงข้ามลงอย่างรวดเร็วจนคนที่จิกผมเธออยู่ลงไปกองกับพื้น เพื่อนๆ ของเธอรีบเข้าไปช่วยประคองเจ้าตัวขึ้น
ซย่าชิงอีหอบหายใจหนัก รู้สึกเวียนหัวแทบทนไม่ไหวหลังจากลงไม้ลงมือกับอีกฝ่ายไป เมื่อมองผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็เห็นเป็นภาพเบลอที่หมุนไปมาในหัว
“ทุกคนต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา!” ซย่าชิงอีกล่าวขณะจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม
อาจเพราะความสัมพันธ์เสแสร้งถูกทำลายลงไปแล้ว พวกเธอจึงไม่มีอะไรต้องกลัวอีก เด็กสาวลุกขึ้นยกมือชี้หน้าพร้อมร้องตะโกนเสียงดัง “ทำไมฉันต้องรับผิดชอบอะไรด้วย เธอเองนั่นแหละที่ยอมพลีกายให้ใครก็ได้ที่ได้เจอ ขอแค่รวยๆ ก็พอ เหมือนพวกผู้หญิงขายตัวไงล่ะ! แล้วยังมีหน้ามาเรียกเขาว่าพี่ชายอีก! เธอไม่ละอายบ้างเลยเหรอ พวกเรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ใช่พี่ชายของเธอ! เขาคือโม่หัน ทุกคนในเมืองนี้ต่างก็รู้จักเขาทั้งนั้น แล้วเธอจะไปเป็นน้องสาวของเขาได้ยังไง เธอไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกับเขาด้วยซ้ำ! เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแน่นอน! เธอก็แค่ผู้หญิงหน้าด้านที่ยอมพลีกายถวายตัวให้เขาเท่านั้นแหละ!”
ซย่าชิงอีไม่เคยบอกพวกเธอเกี่ยวกับโม่หันหรือแม้แต่เรื่องที่เธอมีพี่ชาย คิดเสมอว่าการเป็นเพื่อนกับคนอื่นจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและโม่หัน แต่เธอคงคิดผิด ข่าวลือพวกนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงครั้งเดียวที่โม่หันมาหาเธอตอนเกิดเหตุ
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเธอกำลังพูดถึงตัวเองอยู่เลยล่ะ” ซย่าชิงอีเอ่ย
“เธอหมายความว่ายังไง” อีกฝ่ายงุนงง
“เธอต่างหากที่น่าจะเป็นคนที่ทำแบบนั้น” เธอพูดเสียงอ่อนแต่กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เด็กสาวชะงักนิ่ง “ไร้สาระ! เธอพูดถึงเรื่องอะไรกัน”
“เธอยังไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันจะพูดอีกเหรอ ของในกระเป๋าเธอน่ะ ผู้ชายคนนั้นให้มาใช่ไหมล่ะ”
คนฟังเริ่มหลบตาของเธอขณะพูดเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ “ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไรอยู่”