ภาพรักสีจางกลางสมุทร - ตอนที่ 83-84
ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 83 โรคกระเพาะ / ตอนที่ 84 หมดสติ
ตอนที่ 83 โรคกระเพาะ
ซย่าชิงอีเอ่ย “ได้ ถ้าพี่ไม่กลัว ทำไมฉันต้องกลัวด้วย” เธอนั่งลง มองโทรทัศน์ที่เปิดเสียงไว้ตรงหน้า กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนของฉัน เธอพูดลับหลังว่าฉันเป็นเมียเก็บของคนอื่น ฉันบังเอิญไปได้ยินเข้าก็เลยเข้าไปตบหน้าเธอ เธอเลยโกรธแล้วก็ทะเลาะกับฉัน”
คนที่ฟังอยู่ขมวดคิ้วมุ่น “เมียเก็บ? ทำไมพวกเขาถึงพูดอย่างนั้น”
“เพราะพวกเขาเห็นพี่มารับฉันวันนั้นและเข้าใจผิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่พี่เลี้ยงไว้ยังไงล่ะ เข้าใจหรือยังคะ” เธอมองเขาพร้อมรอยยิ้มแข็งๆ บนใบหน้า
เขานิ่งเงียบและยังคงใจเย็น
ต่างคนต่างเงียบใส่กันชั่วครู่ ก่อนเขาจะส่งเสียงพูด “เธอไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะกับพวกเขาเพราะเรื่องพวกนี้ รังแต่จะเจ็บตัวไปเปล่าๆ ถ้ามีครั้งหน้าอีกก็บอกพี่ พี่จะให้คนไปจัดการเอง”
“จัดการ? ยังไงคะ ส่งคนไปทำร้ายพวกเขาเหรอ พี่จะทำถึงขนาดนั้นเหรอ พวกเธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำอย่างนั้นจะไม่ดูแย่ไปหน่อยเหรอคะ” เธอทำเพียงยิ้มออกมา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก แค่สั่งสอนบทเรียนชีวิตให้พวกเธอเท่านั้นแหละ”
เมื่อเห็นสีหน้าของโม่หันฉายแววน่ากลัวขึ้น เธอก็รู้สึกได้ว่าคำพูดของเขาไม่ใช่เรื่องธรรมดาและเริ่มรู้สึกผิดที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง “ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันระบายความโกรธของฉันกับพวกเขาไปหมดแล้วล่ะ พี่ไม่ต้องเข้ามายุ่งหรอก”
“เธออยากย้ายคณะเพราะเรื่องนี้เหรอ”
เธอส่ายหน้า “ไม่เชิงหรอกค่ะ ฉันอยากเปลี่ยนคณะมาก่อนหน้านี้สักพักแล้วล่ะ”
รังสีความอำมหิตยังแผ่จากเขาไม่หยุด จนเธอเริ่มรู้สึกกลัวที่จะนั่งข้างเขา จึงลุกขึ้นและเอ่ย “ดึกแล้ว ฉันไปนอนก่อนนะ พี่ดูโทรทัศน์ต่อก็ได้นะคะ”
ซย่าชิงอีเดินออกมาพลางเหลือบมองด้านหลังไปทางเขา เขายังคงเอนตัวนั่งบนโซฟา มือขวาวางอยู่บนท้องเหมือนว่าเขาจะปวดท้องขึ้นมาอีกครั้ง เธอพยายามไม่คิดมากและรีบเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง
เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นเขาในแบบนี้อีก
หลังจากโม่หันบังคับเธอตอนนั้น เธอก็หัดที่จะนอนหลับบนเตียงดีๆ ในหลายคืนที่ผ่านมา ก่อนได้ยินเสียงมาจากด้านนอก แต่ด้วยสติรับรู้ที่พร่าเลือน เธอไม่มีแรงจะคิดอะไรขณะดันตัวเองขึ้นมาจากเตียงอย่างไม่มีสติ
มันเป็นเสียงที่ร้องด้วยความเจ็บปวดที่ปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา
เธอรู้สึกตัวจากอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อลุกขึ้นนั่งเธอก็รู้ว่าเสียงนั้นมาจากห้องของโม่หันที่อยู่ข้างๆ
เด็กสาวรู้สึกถึงความผิดปกติและลุกจากเตียง เปิดไฟหัวเตียงไว้และเดินไปเคาะห้องของอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้น พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
เขาไม่ตอบกลับ
เธอรู้สึกแปลกยิ่งขึ้น เขาไม่เคยเงียบใส่เธอแบบนี้
ซย่าชิงอีเปิดประตู ภายในห้องมืดสนิทและมองไม่เห็นสิ่งใด เธอตะโกนอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เกิดอะไรขึ้นกับพี่หรือเปล่าคะ พี่หลับอยู่เหรอ”
ทันใดนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงสั่นๆ ของโม่หัน “มานี่”
เธอรู้สึกกลัวขึ้นมา สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา ก่อนเอื้อมมือเปิดไฟในห้อง
แสงไฟสว่างไปทั่วห้อง ภาพที่เห็นทำให้เธอตกใจจนเผลอก้าวถอยไปสองก้าว
โม่หันนอนอยู่บนพื้นพร้อมผ้าห่มที่เกี่ยวพันตัวอยู่ คิ้วขมวดมุ่น เหงื่อเย็นๆ เกาะเต็มหน้าผากกว้าง สีหน้าซีดเซียว มือขวากุมหน้าท้องเอาไว้ ของในห้องตกลงกระจัดกระจายบนพื้น
ซย่าชิงอีวิ่งเข้าไปหาและคุกเข่าลงข้างๆ ไม่กล้าแตะต้องตัวเขา “พี่เป็นอะไรไปคะ”
อีกฝ่ายที่ยังนอนนิ่วหน้า รู้สึกราวกับมีมีดเชือดเฉือนอยู่ข้างในท้องไม่หยุดและสั่นระริกไปทั้งร่าง
ตอนที่ 84 หมดสติ
ซย่าชิงอีประคองอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เมื่อเห็นว่าเขายังคงกุมหน้าท้องเอาไว้จึงเอ่ยถามขึ้น “พี่ปวดท้องเหรอคะ”
เขาพยักหน้ารับ
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ พี่จะอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ เราจะไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้… ฉันต้องไปส่งพี่ที่นั่น แต่ฉันขับรถไม่เป็น… ตอนนี้ยังจะมีแท็กซี่อยู่หรือเปล่านะ…” เธอมองรอบตัวไปมาอย่างตื่นตระหนก ท่าทางเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเวลา
โม่หันพูดขึ้น “อย่าตกใจไปสิ… ประคองพี่ไปที่ลานจอดรถ พี่จะพาเธอไปเอง เธอแค่ช่วยไปเอายาจากโรงพยาบาลมาก็พอ”
ซย่าชิงอีที่เห็นเขาดูอิดโรยอยู่ตอนนี้ กล่าวออกมาทั้งน้ำตา “แต่… พี่ปวดท้องอยู่นี่คะ”
“ไม่เป็นไร พี่ทนได้ พี่แค่จะไปกินยาแต่บังเอิญตกลงมาจากเตียงเท่านั้นเอง”
เธอไม่มีทางเลือกนอกจากช่วยประคองเขาจนลืมเปลี่ยนเสื้อผ้า “ถ้างั้น… เรารีบไปกันเถอะ… รีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”
อีกฝ่ายทิ้งร่างลงบนตัวเธอแล้วค่อยๆ ยืนขึ้น เพราะโม่หันไม่มีเรี่ยวแรง เธอจึงช่วยเขาสวมเสื้อคลุมก่อนหยิบของตัวเองมาใส่และหันกลับมาพยุงเขา กดลิฟต์ลงไปชั้นล่างแล้วเดินตรงไปที่ลานจอดรถ
ทั้งสองเข้ามาในรถอย่างทุลักทุเล ตอนนี้เวลาเกือบตีสองแล้ว บนถนนมีรถบางตาผ่านไปมา ซย่าชิงอีนั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสารพลางมองทางซ้ายไปที่โม่หันซึ่งกำลังขับรถขณะที่ต้องทนกับอาการปวดอยู่ เหงื่อของเขาไหลลงมาตามใบหน้าไม่หยุด เธอกังวลเหลือเกินและมองเวลาที่เดินผ่านไปทุกนาที ในทางกลับกันโม่หันกลับต้องเป็นคนปลอบเด็กสาวพร้อมเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร เราใกล้ถึงแล้วล่ะ”
น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาลงเรื่อยๆ หลังจากผ่านสี่แยกและเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนใหญ่ เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เหยียบเบรก ปล่อยคลัตช์ ก่อนฟุบหมดสติไปบนพวงมาลัย
หลังจากเขาหมดสติไป ซย่าชิงอีก็รู้สึกงุนงงและหวาดกลัว บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด โม่หันนิ่งไม่ขยับกายบนพวงมาลัยรถ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาเพราะว่าเธอจะได้ยินเพียงเสียงของตัวเอง และมันทำให้เธอหวาดกลัวมากขึ้น
ในที่สุดเธอก็สงบอารมณ์ลงได้ในหนึ่งนาทีถัดมา บังคับมือของตัวเองไม่ให้สั่นและตั้งสติ เธอเปิดประตูลงจากรถ เดินอ้อมไปทางด้านคนขับ ค่อยๆ พยุงเขาขึ้นมาในท่ายืนก่อนพิงตัวเขาบริเวณด้านหลังรถ
เธอหันไปมองรถที่ขับผ่านไปมาโดยที่ไม่หยุดจอดสักนิด ตะโกนเสียงดังอย่างต้องการขอความช่วยเหลือให้พาเขาไปส่งที่โรงพยาบาล ให้พวกเขาหยุดรถ แต่เธอพบเพียงเสียงของรถที่ขับผ่านไปเท่านั้น
เด็กสาวเหนื่อยหอบ มองใบหน้าซีดเซียวของเขาและรู้สึกว่าไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ซย่าชิงอีหันมองไปรอบๆ จนในที่สุดก็พบจักรยานเก่าๆ คันหนึ่งอยู่ในมุมมืด เธอประคองโม่หันตรงไปทางจักรยานคันนั้นด้วยความหวังในใจ ร่างของเขาพิงแนบชิดกับตัวเธอ เพียงระยะทางใกล้ๆ กลับทำให้เธอต้องหยุดเดินทั้งศีรษะที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
โชคดีที่จักรยานไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ เธอคิดในใจ ช่างมีน้ำใจนัก ฉันจะเอาจักรยานมาคืนที่นี่เร็วๆ นี้นะคะ
จากนั้นซย่าชิงอีก็ไม่ลังเล เธอใช้แรงทั้งหมดวางร่างของโม่หันให้นั่งบนที่นั่งดีๆ จับร่างของเขาให้พิงเข้ากับตัวเองและค่อยๆ ขึ้นคร่อมบนจักรยาน เธอตัดสินใจใช้เสื้อคลุมของตัวเองเป็นเชือกมัดเขาเข้ากับตัวเองด้วยกลัวว่าเขาจะไม่ปลอดภัยหากนั่งอยู่ในท่านี้
ซย่าชิงอีเริ่มถีบจักรยานออกไปอย่างยากลำบาก และพบว่าโม่หันตัวหนักกว่าที่เธอคิด เขาเหมือนกันเหล็กก้อนใหญ่ที่ถูกวางอยู่ด้านหลัง ระหว่างที่เธอปั่นจักรยานไปก็เป็นกังวลว่าเขาจะตกลงไป จึงใช้มือหนึ่งกอดแขนของเขาไว้ขณะที่ใช้อีกมือขับจักรยานไปข้างหน้า