ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 1
ราชวงศ์ต้าโจว เขตอู่โจว เมืองตงหนิง
ณ ทางเข้าหลัก ‘สำนักกระจกทะเลสาบ’ หนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่สะพายกระบี่ไว้ข้างเอวและเดินเข้ามาในสำนักอย่างผ่าเผย
“ศิษย์พี่เมิ่ง”
“ศิษย์พี่เมิ่งอรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่เมิ่ง”
เหล่าศิษย์ในสำนักรอบๆต่างก็พากันทักทายอย่างกระตือรือร้น
เด็กหนุ่มนามเมิ่งชวนพยักหน้าให้เหล่าศิษย์น้องกลุ่มนั้น ซึ่งความจริงแล้ว ‘เหล่าศิษย์น้องชายและหญิง’ ต่างก็มีอายุมากกว่าเขา อย่างไรก็ตามกฎของสำนักกระจกทะเลสาบให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งเป็นอันดับแรก เมื่อสองปีก่อนเขาได้เข้าสู่ ‘ตึกขุนเขาธารา’ ของสำนักกระจกทะเลสาบ ศิษย์ทั้งยี่สิบสองคนตึกขุนเขาธารา คือยี่สิบสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักกระจกทะเลสาบ ซึ่งศิษย์เหล่านั้นล้วนได้รับความชื่นชมและเป็นเป้าหมายที่พวกเขาจะไปให้ถึง และในบรรดาศิษย์เหล่านั้น ‘ศิษย์พี่เมิ่ง’ คือผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือเป็นพิเศษ เพราะว่าศิษย์พี่เมิ่งจะมาชี้แนะพวกเขาเป็นบางครั้ง ส่วนพวกศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงตึกขุนเขาธาราคนอื่นๆก็ขี้เกียจจะมาเสียเวลากับพวกเขา
“คุณชาย คุณชาย” ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากด้านข้าง
จากนั้นก็มีสาวน้อยชุดเขียวคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่อเมิ่งชวนเห็นนางก็ยกยิ้มขึ้นมา “รุ่ยจู๋ เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“คุณหนูของข้าน้อยต้องการเชิญคุณชายไปเที่ยวที่ซานตงด้วยกัน เมื่อคืนมีหิมะตกหนัก ซานตงหลังหิมะตกคงงดงามมากแน่ๆ” สาวน้อยชุดเขียวกล่าวยิ้มๆ
“ไปเที่ยวซานตง?” เมิ่งชวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ซานตงไกลเกินไป หากไปเที่ยวซานตงเกรงว่าคงต้องค้างคืนที่นั่น รอจนพรุ่งนี้เช้าจึงจะสามารถกลับมาได้”
สาวน้อยกล่าวเสียงใส “ตระกูลอวิ๋นมีจวนตากอากาศที่ซานตงหลังหนึ่งพอดี สามารถพักค้างแรมที่นั่นได้”
เมิ่งชวนส่ายหน้า “กลับไปบอกชิงผิง อีกหนึ่งเดือนให้หลังจะมีงานชุมนุมสังหารอสูรที่วังหยกสุริยัน ข้าต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อม ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนนางได้”
“แต่…” สาวน้อยแสดงท่าทีลังเล
“เจ้ากลับไปบอกนางตามนี้เถอะ” เมิ่งชวนกำชับอีกว่า “อีกเรื่อง ให้ชิงผิงใช้เวลาในการฝึกฝนให้มากขึ้น อย่าได้คิดจะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน”
“เจ้าค่ะ” สาวน้อยชุดเขียวตอบรับอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะกลับไปรายงาน
เมิ่งชวนส่ายหน้าเล็กน้อย
‘อวิ๋นชิงผิง’ คู่หมั้นเด็กผู้นี้มักจะสร้างความปวดหัวให้แก่เขาอยู่เสมอ
…
สำนักกระจกทะเลสาบสร้างขึ้นที่ชายฝั่งทะเลสาบจิ้งหู ส่วนชายฝั่งตะวันตกนั้นมีจวนคฤหาสน์มากมาย และหนึ่งในนั้นก็ยังมี ‘จวนเมิ่ง’ อีกด้วย
“นายน้อย” ยามสองนายที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจวน เมื่อเห็นเมิ่งชวนเดินเข้ามาก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ท่านพ่อข้าอยู่ที่จวนรึไม่?” เมิ่งชวนถาม
“เมื่อครู่เรือนบรรพบุรุษได้ส่งคนมา นายท่านจึงรีบออกไปทันที” ยามผู้หนึ่งเอ่ยตอบ
เมิ่งชวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็เข้าไปในจวน
“ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!!!” ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงลูกศรดังแผ่วขึ้นมา เมิ่งชวนหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามาจากลานฝึก
ที่ลานฝึกมีสาวน้อยชุดแดงนางหนึ่งกำลังง้างคันธนูแล้วยิงลูกศรออกไปทีละดอก ฉับพลันลูกศรดอกนั้นก็ปักทะลุเป้าที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้ง จากนั้นลูกศรดอกหลังก็จะทะลวงลูกศรดอกแรกแล้วปักที่เป้า
เมิ่งชวนยืนมองอยู่ด้านข้างลานฝึก
นางมีนามว่าหลิ่วชีเยว่ เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของ ‘หลิ่วเย่ป๋าย’ พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของบิดาเขา
ปีนั้นตอนที่เขาแปดขวบ…
หลิ่วเย่ป๋ายพาบุตรสาวมาที่จวนเมิ่ง ตั้งแต่นั้นก็อาศัยอยู่ที่นี่ตลอด
ชีเยว่กับเขาคล้ายกันมาก นั่นก็คือไม่มีแม่ตั้งแต่เด็ก ตอนที่ยังเล็ก เขากับชีเยว่ก็ได้ฝึกฝนมาด้วยกัน จนกระทั่งตอนนี้ ความผูกพันธ์จึงลึกซึ้ง
“อาชวน เจ้ากลับมาแล้วเหรอ” สาวน้อยชุดแดงตาเป็นประกายขึ้นมาเมื่อเห็นเมิ่งชวน “ยิงเป้านิ่งแบบนี้มันน่าเบื่อจริงๆ มามามา รีบมาเป็นเป้าให้ข้าหน่อยเร็ว ถ้าไม่ใช่ว่ารอเจ้า ข้าคงไปที่สำนักแล้ว ลานยิงธนูที่สำนักใหญ่กว่านี้หลายเท่า”
“ได้ ข้าจะเป็นเป้าให้เอง”
เมิ่งชวนหัวเราะแล้วเดินที่ใจกลางลานฝึก
สาวน้อยเปลี่ยนถุงลูกศร เป็นลูกศรไร้หัว สายตาของนางจับจ้องไปที่เมิ่งชวน “อาชวน ระวังตัวให้ดี อย่าถูกข้าตีจนจมูกเขียวหน้าบวมเข้าล่ะ”
“เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ ครั้งนี้ข้าจะทำลายศรไข่มุกเจ็ดดาราของเจ้าให้ได้” เมิ่งชวนตั้งสมาธิ
สาวน้อยชุดแดงหัวเราะหึหึ ก่อนที่นิ้วของนางจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับภาพหลอน พริบตาเดียวคันธนูก็ถูกง้างออกแล้วยิงลูกศรออกมา คล้ายกับว่าไม่จำเป็นต้องเล็ง
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!!! ลูกศรแต่ละดอกถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่หยิบลูกศรออกมาจากถุงลูกศรด้านหลังคันธนูก็ถูกง้างแล้วยิง หยิบอีกครั้งง้างคันธนูแล้วยิง….ท่าทางเป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์ทั่วไปกำลังหายใจ ลูกศรแต่ละดอกพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ มีพลานุภาพที่แข็งแกร่งเท่าเทียมกัน
“ฟุ่บฟุ่บฟุ่บ” เมิ่งชวนชักกระบี่ที่ข้างเอวออกมา
กระบี่วาดโค้งออกไป ด้านหน้าราวกับกลายเป็นอาณาเขต ลูกศรที่พุ่งเข้ามาล้วนถูกปัดตก
“อาชวนทักษะกระบี่ของเจ้าร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆเลยนะ แต่จะพัฒนาจนทำลายศรไข่มุกเจ็ดดาราของข้าได้ไหมนะ” ขณะที่สาวน้อยกำลังยิงลูกศรออกมาก็ยังกล่าวหยอกล้อออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าการยิงลูกศรแบบนี้เป็นเรื่องที่สบายมาก
“ฟิ้ว!”
สิ้นเสียงนี้ สาวน้อยคนนั้นก็ยิงลูกศรชุดใหม่ออกมา ลูกศรฝ่าอากาศเข้ามาพร้อมกับเสียงร้องที่แหลมหู
“มาเลย!” เมิ่งชวนตั้งใจมากยิ่งขึ้น
“ฟุ่บ” “ฟุ่บ”
เมิ่งชวนเหวี่ยงกระบี่เป็นแนวโค้งเหมือนวงกลมเพื่อสกัดลูกศรดอกนั้น แต่ศรไข่มุกเจ็ดดาราเป็นท่าไม้ตายที่ใช้ลมปราณเป็นจำนวนมาก ความเร็วของลูกศรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพียงลูกศรหกดอก กระบี่ของเมิ่งชวนก็สกัดไม่ได้ ทำให้หน้าอกของเขาเจ็บแปล๊บขึ้นมา ร่างของเขาอดไม่ได้ที่จะซวนเซ เกรงว่าหน้าอกคงเป็นรอยเขียวช้ำอย่างแน่นอน
“ยังสกัดไม่ได้สินะ” เมิ่งชวนส่ายหัวอย่างจนใจ
“กระบวนท่าไม้ตายทั้งห้าที่ข้าฝึกฝนจนสำเร็จ เจ้าสามารถสกัดได้ถึงได้สี่กระบวนท่า เหลือแค่ ‘ศรไข่มุกเจ็ดดารา’เท่านั้น” สาวน้อยชุดแดงยิ้ม “แค่นี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ที่สำนักนะ แม้แต่ขั้นชำระแก่นแท้ก็ยังไม่มีใครสามารถสกัด ‘ศรสามมายา’ ของข้าได้ แต่เจ้ากลับทำได้”
“ข้าสกัดลูกศรเจ้าตั้งแต่เด็ก ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนในสำนักเจ้าเล็กน้อย” เมิ่งชวนส่ายหัว “เจ้าใช้แค่ศรไร้หัว ถ้าหากเพิ่มหัวลูกศรเข้าไป ความเร็วของลูกศรจะไวกว่านี้เยอะ กระบวนท่าไม้ตายทั้งห้าของเจ้า….เกรงว่าต่อให้ข้าใช้เวลาสักครึ่งชีวิตก็ไม่อาจสกัดได้”
“อาชวน หรือเจ้าไม่ได้ฟังที่ข้าพูด? ขั้นเดียวกัน ยังไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีของเทพธนูผู้นี้ได้นะ” สาวน้อยกล่าวออกมาอย่างภูมิใจ
“ชีเยว่…ถ้ามีการต่อสู้ที่แท้จริง ข้าจะวิ่งไปหาเจ้าคนแรก” เมิ่งชวนหัวเราะออกมา
“เทพธนูคนนี้มีองค์รักษ์นะ” สาวน้องชุดแดงแสยะยิ้ม “องค์รักษ์ของข้าจะขัดขวางเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นเป้าหมายของข้า หึๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตเจ้าอาจจะกลายมาเป็นองค์รักษ์ก็ได้!”
เมิ่งชวนยิ้มบางๆ
เขารู้ถึงความน่ากลัวของเทพธนูผู้นี้ดี ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใด นักธนูมือฉมังก็จะมีตำแหน่งที่สูงส่งมาก และได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี
ชีเยว่น้องสาวของเขาก็นับว่าเป็นนักธนูที่มีพรสวรรค์มาก
“อาชวน ที่เจ้าสำนักพวกเจ้าเรียกหาพวกเจ้าในวันนี้ ก็เพื่อพูดถึงงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยันเหรอ?” หลิ่วชีเยว่เอ่ยถาม
“อืม สำนักตะวันฉานของเจ้าบอกเรื่องนี้หรือยัง” เมิ่งชวนถาม
“บอกแล้ว! ในบรรดาสิบศิษย์อันดับแรกขั้นชำระแก่นแท้ของสำนักตะวันฉานมีข้าแค่คนเดียวที่เป็นนักธนู เจ้าสำนักจึงมอบสิทธินี้ให้ข้าโดยตรง” หลิ่วชีเยว่กล่าวว่า “กำจัดอสูรในงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน นี่เป็นสิ่งที่นักธนูอย่างข้าถนัดที่สุด ”
เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ “สำนักกระจกทะเลสาบมอบสิทธิให้ขั้นชำระแก่นแท้เพียงสามสิทธิ แม้ว่าข้าจะเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของขั้นชำระแก่นแท้ แต่ก็ยังต้องแย่งสิทธิพวกนี้ ถ้าหากไม่มีสิทธิเหล่านั้น ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะไป”
“งั้นเจ้าก็พยายามเข้านะ” หลิ่วชีเยว่หัวเราะคิกคัก
“อย่าประมาทไป ในงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน ตอนที่เจ้าเผชิญหน้ากับอสูร อย่าได้ให้พวกมันประชิดตัวเข้าได้” เมิ่งชวนพูด “พวกเราต้องฝึกฝนให้หนักขึ้น”
ขณะที่เมิ่งชวนเงาร่างหนึ่งก็โจนทะยานจากไป
“ถ้าเจ้าแน่จริงก็ตามข้าให้ทัน”
หลิ่วชีเยว่ทะยานร่างจากไปพร้อมทั้งหันหลังกลับมายิงธนูใส่
…
อีกด้านหนึ่ง ‘ตระกูลอวิ๋น’ คือหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูรที่ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง
อวิ๋นชิงผิงกำลังชงชาให้ ‘อวิ๋นฝูอัน’ บิดาของนางอยู่
“ท่านพ่อโปรดชิม” อวิ๋นชิงผิงวางจอกชาลงตรงหน้าบิดา ตอนนั้นเองนางก็เหลือบไปเห็นรุ่ยจู๋สาวใช้ที่กำลังกลับมาจากไกลๆ ก็อดตาเป็นประกายขึ้นมามิได้ กระทั่งส่งเสียงเรียกออกไป “รุ่ยจู๋!”
รุ่ยจู๋เพียงเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม
“ว่ายังไง เมิ่งชวนพูดยังไงบ้าง?” อวิ๋นชิงผิงรีบไตร่ถามขึ้นมา
“คุณชายเมิ่งกล่าวว่า อีกไม่นานก็จะถึงงานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน เขาจึงต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อเตรียมความพร้อม ดังนั้นจึงไม่สามารถไปเที่ยวที่ตงซานเป็นเพื่อนคุณหนูได้” รุ่ยจู๋กล่าวเสียงแผ่ว
“ไม่ไป?”
อวิ๋นชิงผิงเริ่มเดือดดาลขึ้นมา “นอกจากฝึกฝึกฝึกยังรู้จักอะไรบ้าง!”
“คุณชายเมิ่งยังให้ข้าน้อยมาบอกคุณหนูว่า ตั้งใจฝึกให้มากกว่านี้ อย่าได้คิดจะออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน” รุ่ยจู๋พูดขึ้นอีก
“เขายังกล้ามาสอนข้า?”
อวิ๋นชิงผิงทวีความโมโหขึ้นมา
“ข้าคิดว่าเมิ่งชวนกล่าวถูกต้องแล้ว” อวิ๋นฝูอันที่นั่งอยู่ตรงนั้นจิบชาอย่างพอใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้าควรจะตั้งใจฝึกฝนให้มากขึ้น อย่าได้เสียเวลาไปกับการเที่ยวเล่น”
“ท่านพ่อ เมิ่งชวนผู้นี้อย่างกับท่อนไม้” อวิ๋นชิงผิงมองอวิ๋นฝูอัน แล้วอดพูดไม่ได้ว่า “ตอนที่ข้าอายุเพิ่งครบเดือน พวกท่านก็ให้ข้ากับเมิ่งชวนหมั้นหมายตั้งแต่แบเบาะ! แต่นิสัยของพวกเราสองคนกลับไม่เหมือนกันเลย ข้าชอบเที่ยวเล่น ชอบเชิญสหายมากมายไปเที่ยวเล่นกับข้า แต่เขากลับชอบฝึกฝน วาดรูป และชอบความสงบ ยามที่ข้ากับเขาพูดคุยกัน ล้วนไม่เคยถูกคอกันเลยสักนิด หลังจากนี้ถ้ากลายเป็นภรรยาของเขา ข้าคงบ้าตายเร็วๆแน่”
“เจ้าก่อความวุ่นวาย มีเขาคอยควบคุมเจ้าจึงจะดี” อวิ๋นฝูอันคลี่ยิ้มออกมา
อวิ๋นชิงผิงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายบิดา ก่อนจะกอดแขนบิดาแล้วเขย่าพลางพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าขอร้อง ไปที่ตระกูลเมิ่งแล้วไปบอกกับท่านลุงเมิ่งว่ายกเลิกการหมั้นระหว่างข้ากับเขา”
“อย่าแม้แต่จะคิด!” อวิ๋นฝูอันที่ดื่มชาพลางปฏิเสธโดยตรง
“ท่านพ่อ!”
อวิ๋นชิงผิงกล่าวเสียงดัง “ทำไมพวกท่านต้องบังคับให้ข้าแต่งงานกับเขาด้วย? ปีนั้น ข้าเพิ่งอายุครบเดือนมิรู้ความอันใด ก็ถูกหมั้นหมายเสียแล้ว พวกท่านรู้ได้อย่างไร ว่าหากเมิ่งชวนเติบโตมาเขาจะกลายเป็นแบบนี้? พวกท่านก็ไม่รู้ แต่กลับยืนยันเสียงแข็งว่าจะให้ข้าแต่งกับเขา พวกท่านไม่สนใจความคิดของข้าเลย ท่านไม่รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยเหรอ?”
“เมิ่งชวนก็ไม่เลว” อวิ๋นฝูอันพูดขึ้น “ในบรรดารุ่นเยาว์ของห้าตระกูลเทพอสูรเมืองตงหนิง เขาถือว่ายอดเยี่ยมมาก”
“เขาดีก็จริง แต่ข้าไม่ชอบเขา!” อวิ๋นชิงผิงกล่าวอย่างโมโห “ข้าไม่อยากแต่งงานกับอัจฉริยะที่พูดภาษาเดียวกันไม่ได้”
อวิ๋นฝูอันวางจอกชาลงเบาๆ หนังตากระตุกจังหวะหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองบุตรสาวอย่างเยือกเย็น
อวิ๋นชิงผิงใจสั่นขึ้นมา
แต่ความถือดีในใจก็ทำให้นางยังคงดื้อแพ่ง สบตากับบิดา!
“เกือบครึ่งปีแล้ว ที่เจ้าพูดกับข้าเรื่องยกเลิกการหมั้นถึงหกครั้ง” อวิ๋นฝูอันกล่าวเสียงเย็นชา “ดูเหมือนว่าพ่อจะเอ็นดูเจ้ามากเกินไป จนเจ้าไม่รู้อะไรเลย วันนี้ข้าจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจน”
อวิ๋นชิงผิงมองบิดา
อวิ๋นฝูอันกล่าวต่อไปว่า “การแต่งงานของเจ้ากับเมิ่งชวน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้าสองคน แต่ยังเป็นเรื่องของตระกูลอวิ๋นกับตระกูลเมิ่งด้วย! ตระกูลอวิ๋นของพวกเราแม้ว่าจะเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูร แต่ก็เพิ่งตั้งถิ่นฐานที่เมืองตงหนิงได้เพียงสิบปี คนในตระกูลก็มีเพียงไม่กี่สิบคน รากฐานยังเปราะบาง แต่ตระกูลเมิ่งเป็นตระกูลเทพอสูรที่หยั่งรากลึกที่เมืองตงหนิงมาหลายพันปี คนในตระกูลก็มีมากกว่าหมื่น! บิดาเมิ่งชวน ‘เมิ่งต้าเจียง’ ก็เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนถัดไปของตระกูลเมิ่ง และเจ้าก็เป็นเด็กสาวเพียงคนเดียวในรุ่นที่สามของตระกูลอวิ๋น เจ้ากับเมิ่งชวนต้องแต่งงานกัน ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเมิ่งกับตระกูลอวิ๋นจึงจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น นี่คือประโยชน์อย่างมากสำหรับตระกูลอวิ๋น”
“ท่านปู่ก็ฝึกฝนจนกลายเป็นเทพอสูรแล้วนี่” อวิ๋นชิงผิงคัดค้านออกมา “มีท่านปู่อยู่ด้วย ใครจะกล้าลงมือกับตระกูลอวิ๋น! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมจะให้ข้าใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายขึ้นหน่อยมิได้?”
“สะดวกสบาย? สะดวกสบายคือให้เจ้าสามารถแต่งงานกับใครก็ได้ ที่เจ้าอยากจะแต่งด้วยนะหรือ?” อวิ๋นฝูอันแค่นเสียงหัวเราะ
“ทำไม ไม่ได้เหรอ?” อวิ๋นชิงผิงกล่าวอย่างดื้อรั้น “เพื่อตระกูล ก็ต้องเสียสละข้าอย่างนั้นเหรอ? ท่านพ่อ พวกท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ?”
“หุบปาก!”
อวิ๋นฝูอันลุกขึ้นยืน ก่อนจะชี้นิ้วใส่บุตรสาวแล้วตะคอกออกมาว่า “อวิ๋นชิงผิง เวลาเจ้าอยากออกไปเที่ยวเล่น ยามและข้ารับใช้ต่างก็ติดตามเจ้าไปเป็นกลุ่ม เจ้าอยากกินปลามังกรในฤดูหนาว ก็มีใครบางคนจัดการหามาให้เจ้า เจ้าอยากฝึกฝนโดยไม่ต้องกังวล ทรัพยากรอันล้ำค่าส่วนใหญ่ก็ให้เจ้าใช้ เพื่อให้เจ้าสามารถทะลวงขั้นชำระแก่นแท้ในปีนี้ ข้าเชิญยอดฝีมือให้มาชี้แนะเจ้าแบบตัวต่อตัว เจ้าอ่อนแอ ข้าก็เชิญยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดถึงสามคนมาคุ้มครองเจ้าในที่มืด ค่าใช้จ่ายในการเชิญยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดเดือนหนึ่งต้องใช้เงินถึงห้าร้อยสองตำลึง และยังมีสมบัติอื่นๆอีกมากมาย…”
“เพื่อสิ่งที่เจ้าเรียกว่าสะดวกสบายไร้ความกังวล เจ้ารู้ไหมว่าตระกูลต้องเสียไปมากเท่าไหร่?” อวิ๋นฝูอันจ้องบุตรสาวตาเขม็ง
อวิ๋นชิงผิงนิ่งงัน
นางไม่ได้โง่
เพียงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็รู้ว่าเพื่อรักษาชีวิตสะดวกสบายเช่นนี้ ตระกูลต้องใช้จ่ายไปกับนางจนน่าตกใจ
“เจ้าได้รับผลประโยชน์จากตระกูลไปมากมาย เมื่อจำเป็นที่จะต้องแบกรับภาระเจ้าก็ควรรับผิดชอบ!” อวิ๋นฝูอันตะคอกใส่อย่างเกรี้ยวกราด “คิดแต่จะรับประโยชน์ โดยไม่ต้องทำอะไร? เพ้อฝันสิ้นดี!”
“อีกเรื่อง ข้ารู้ว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งในสำนักของเจ้า ชื่อจางชงใช่ไหม ช่วงนี้เขาเอาใจใส่เจ้าน่าดูเลยสิ?” อวิ๋นฝูอันยกยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นสายรองของตระกูลจาง คงคู่ควรที่จะแต่งงานกับบุตรสาวของอวิ๋นฝูอันผู้นี้สินะ ไม่ต้องส่องกระจกก็น่าจะดูออกว่าตัวเจ้านั้นไม่มีค่าอะไร!”
“ท่านพ่อ ข้ากับศิษย์พี่จางไม่ได้มีอะไรกัน…” อวิ๋นชิงผิงพยายามอธิบาย
“หากข้าพบว่าพวกเจ้าล้ำเส้น และทำให้หน้าตาของตระกูลอวิ๋นของข้ากับตระกูลเมิ่งแปดเปื้อน ไม่เพียงแต่ที่มันจะตาย แม้แต่เจ้า! ข้าก็ตัดความสัมพันธ์พ่อลูก!” อวิ๋นฝูอันมองบุตรสาวด้วยแววตาเยือกเย็นปนน่ากลัว “เมื่อถึงตอนนั้นอย่าได้ตำหนิว่าข้าไร้หัวใจ”
อวิ๋นชิงผิงรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วหัวใจ
ตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยเห็นด้านที่เย็นชาของบิดาเลย ปีนี้นางเพิ่งสิบห้าเท่านั้น
“บุตรสาวข้า” สีหน้าอวิ๋นฝูอันค่อยๆผ่อนคลาย “การแต่งงานทางการเมือง ต่อให้เขาจะน่าเกลียดหรือไร้ความสามารถ เจ้าก็ต้องแต่ง ตอนนั้นข้ากับแม่ของเจ้าก็แต่งงานกันเพราะเหตุนี้ ท่านปู่ของเจ้าเป็นผู้ตัดสิน ไม่อาจเลือกได้! อีกอย่าง เมิ่งชวนผู้นั้นก็เป็นบุคคลที่ไม่เลวเลย เจ้าโชคดีมากแล้ว”
พูดจบ อวิ๋นฝูอันก็เหลือบมองไปที่รุ่ยจู๋สาวใช้ที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ด้านหลังของบุตรสาว แล้วกำชับไปประโยคหนึ่งว่า “รุ่ยจู๋ จับตาคุณหนูของเจ้าไว้ให้ดี อย่าให้นางทำผิดพลาดไป”
“เจ้าค่ะ” รุ่ยจู๋รีบตอบกลับ
อวิ๋นฝูอันจึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
อวิ๋นชิงผิงยืนอยู่กับที่ นางมองเงาร่างที่เดินจากไปของบิดา ในพลันนึกประโยคหนึ่งขึ้นมา “แม้แต่เจ้า! ข้าก็ตัดความสัมพันธ์พ่อลูก! เมื่อถึงตอนนั้นอย่าได้ตำหนิว่าข้าไร้หัวใจ” ประโยคนี้กระตุ้นความหวาดหวั่นให้กับอวิ๋นชิงผิงเป็นอย่างมาก
นางรู้สึกว่า โลกนี้แตกต่างจากที่นางเคยคิดมาตลอดหลายปี