ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 136
ตอนที่ 136 ลงจากเขา (บทสุดท้ายของภาค)
ผลึกขนาดเล็กนั้นมีวิธีการฝึกฝนที่ต่างออกไปจากระบบลมปราณโดยสิ้นเชิง
อย่างเหล่าอสูรมุ่งเน้นไปที่ร่างกายเป็นหลัก พลังมารเป็นเรื่องรอง ส่วนเทพอสูรมนุษย์นั้นร่างกายเป็นรองและลมปราณเป็นหลัก แต่ว่าสิ่งที่เมิ่งชวนได้รับมานั้นเป็นการฝึกร่างกายล้วนๆ
ระบบการฝึกฝนนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ระดับสร้างรากฐาน เพชร พลังศักดิ์สิทธิ์ อมตะ หยาดโลหิต บรรลุ และตํานาน
ระดับสร้างรากฐานนั้นต้องฝึกแก่นสารแห่งจิตระดับแรกให้สําเร็จก่อน ระดับเพชรต้องใช้แก่นสารแห่งจิตระดับสองและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากนั้น ระดับตํานานนั้นต้องมีแก่นสารแห่งจิตระดับเจ็ด
นอกจากจะมีความต้องการแก่นสารแห่งจิตที่สูงมากแล้ว มันยังมีเงื่อนไขอื่นๆสําหรับสิ่งภายนอกอีก เพราะฉะนั้นแล้วการฝึกฝนแบบนี้นั้นยากเสียยิ่งกว่าการฝึกฝนของระบบเทพอสูรเสียอีก
อย่างไรก็ตาม ระบบนี้นั้นแข็งแกร่งมากๆ จอมยุทธระดับสร้างรากฐานแข็งแกร่งเทียบได้กับเทพอสูรระดับแดนอมตะ จอมยุทธระดับเพชรก็แข็งแกร่งพอๆกับเทพอสูรระดับมหาสุริยัน ระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งได้ครึ่งหนึ่งของเฟิงโหวเทพอสูร ในระบบลมปราณของมนุษย์นั้นระหว่าง ระดับมหาสุริยันและเดือนมืดมิดมีความต่างกันอย่างมหาศาล แต่ในการฝึกฝนร่างกายอันนี้ ความแตกต่างของทุกๆระดับนั้นไม่ได้ต่างกันมาก
จอมยุทธระดับอมตะเทียบเท่าได้กับเฟิงโหวเทพอสูร เพียงร่างกายเพียงอย่างเดียวพวกเขาก็แข็งแกร่งเทียบได้กับเฟิงโหวเทพอสูรแล้ว ร่างของพวกเขาแข็งแกร่งพอๆกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์หลากหลายชิ้น ขนาดคนที่แขนขาขาดหรือหัวเป็นรู 18 รูก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ภายในพริบตา ในแง่ของพลังชีวิตแล้วนั้น ระบบการฝึกฝนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าพลังปราณของมนุษย์มาก
ในระดับหยาดโลหิต พลังชีวิตของคนๆนั้นก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก หากร่างกายไม่สลายหายไปจนหมด เพียงโลหิตเพียงหยดเดียวก็สามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้เหมือนเดิม และเพียงพลังกาย เพียงอย่างเดียวพวกเขาก็เทียบเท่าได้กับราชันเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา
ในระดับบรรลุนั้นพวกเขาจะเทียบได้กับปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้าง
ร่างกายของจอมยุทธระดับตํานานนั้นไร้เทียมทานไม่มีทางทําลายได้! พวกเขามีอายุขัยที่ยาวนาน! แม้แก่นสารแห่งจิตของพวกเขาจะสลายหายไปหลังจากหลายหมื่นปี แต่ร่างของพวกเขาจะอยู่ไปจนชั่วนิรันดร์ไม่มีอะไรทําลายได้
แต่ว่าการจะฝึกฝนไปถึงระดับนั้นได้จะต้องมีสมบัติอันล้ําค่า ผลึกดารา การจะขึ้นไปอยู่ระดับสร้างรากฐานนั้นต้องใช้มัน! และเมื่อใช้ผลึกดาราก็จะฝึกฝนได้ไวขึ้น หากไม่มีมัน การฝึกฝนก็จะช้าลงมาก
และในการขึ้นจากระดับหยาดโลหิตไปเป็นระดับบรรลุจะต้องใช้ผลึกดาราถึง 3 จิน(กิโลฯครึ่ง) ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะบรรลุได้
และการจะไปให้ถึงระดับตํานานก็จะต้องใช้ถึง 100 จิน
ผลึกเล็กๆในร่างของเมิ่งชวนนั้นคือผลึกดารา แม้มันจะเล็กเสียยิ่งกว่าฝุ่นแต่มันก็หนักมากๆ แม้จะขนาดเท่านั้นแต่มันก็หนักถึง 0.1 จินเลยด้วยซ้ํา
เมิ่งชวนกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์ อาจารย์ป้า โอกาสที่ศิษย์ได้รับมานั้นคือระบบการฝึกฝนอื่นที่เน้นในการฝึกฝนร่างกาย ระดับที่สูงที่สุดคือระดับตํานาน”
“โอ้” ปรมาจารย์จินหวูและลู่ถางขมวดคิ้วน้อยๆ พวกเขารู้ดีว่ามันคืออะไร
“โอกาส” นี้ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นเช่นกัน
“ในโลกของเรา เจ้าสามารถไปได้สูงสุดแค่ระดับหยาดโลหิตเท่านั้น” จินหวูกล่าว “นั่นก็เพราะโลกของเรานั้นมีผลึกดาราที่ใช้ในการสร้างมรดกเหล่านั้นด้วยเพียงน้อยนิด ไม่มีผลึกดาราถึง 3 จินที่ไหนหรอก”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว
“มรดกนี้จะเพิ่มโอกาสที่เจ้าจะรอดชีวิตในสนามรบอย่างมาก เจ้าเองก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ข้าว่ามันก็ไม่ได้แย่” จินหวูหยักหน้าเล็กน้อย “เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว จําไว้ว่าอย่าพูดอะไรเกี่ยวกับถ้ําสวรรค์หยวนชูเด็ดขาด”
“ขอรับ ศิษย์ขอลา” เมิ่งชวนไปในทันที
ปรมาจารย์จินหวูและลู่ถางขมวดคิ้วนิดๆ
“ข้าหวังว่าเขาน่าจะได้ “โอกาส” อันอื่น” ปรมาจารย์อู่ถางส่ายหัวเบาๆ “ระบบการฝึกฝนนี้ มันค่อนข้างจะมีข้อจํากัดในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้เมิ่งชวน แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยเพิ่มวิธีเอาชีวิตรอดให้เขาได้ละกัน”
“ระบบการฝึกฝนร่างกายอันนี้จะทําให้คนๆนั้นมีพลังชีวิตถึงจุดสูงสุด” จินหวูกล่าวยิ้มๆ “คนเราต้องเพิ่มระดับในตอนยังเด็ก และเมื่อแก่ตัวแล้วร่างเทพอสูรที่แก่ตัวของพวกเราก็จะลดโอกาสในการเพิ่มระดับไปอย่างมหาศาล แต่ว่าหากเมิ่งชวนฝึกฝนระบบนี้ไป พลังชีวิตของเขาจะอยู่ในระดับสูงสุดตลอดเวลา ในอนาคตเมื่อเขาไปถึงราชันเทพอสูร เขาก็ยังมีโอกาสจะไปถึงระดับสรรค์สร้างแม้เขาใกล้จะหมดอายุขัยที่ 500 ปีแล้วก็ตาม ส่วนคนอื่นๆนั้นโอกาสในการเพิ่มระดับไปก็จะลดลงเมื่ออายุเกิน 150 และโอกาสจะกลายเป็นศูนย์เมื่อพวกเขาอายุเกิน 300 ปี หากเขาสามารถทําให้พลังชีวิตยังอยู่ที่ระดับสูงสุดในตอนอายุ 500 ปี มันก็จะทําให้เขาได้เปรียบกว่าคนอื่นมาก”
“ก็จริง” สู่ถางพยักหน้าก่อนร่างเงาของเธอจะหายไป
จินหวูเองก็มองดูเส้นสายฟ้าที่พุ่งไปยังจิ้งหมิงเฟิงจากไกลๆ แม้ว่าเขาจะบอกว่ามันให้ประโยชน์มากมาย แต่เขาก็ไม่ค่อยพึงพอใจในผลลัพท์เท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่ายังไงระบบร่างกายนี้ก็ไปถึงได้แค่ระดับราชันเทพอสูรของมนุษย์เท่านั้น
เมิ่งชวนพึงพอใจกับโอกาสที่เขาได้รับนี้มาก
อย่างแรก เขามีแก่นสารแห่งจิตระดับสองอยู่แล้ว ด้วยพลังของจิตวิญญาณกระบี่ระดับสุดยอดของเขาก็คงใช้เวลาไม่นานที่จะไปถึงระดับเพชร จากนั้นพลังกายของเขาก็จะไม่ด้อยไปกว่าพลังปราณของเทพอสูรระดับมหาสุริยันเลย และด้วยการรวมกันระหว่างทั้งสองสิ่ง มันก็จะทําให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย
ร่างของเขานั้นแข็งแกร่งพอที่จะเทียบเท่ากับคนอื่นๆในระดับเดียวกันได้ ขนาดร่างอสูรยังเทียบกันไม่ติด
อย่างที่สอง แม้ว่าระดับหยาดโลหิตจะเป็นระดับที่สูงที่สุดในโลกมนุษย์แต่มันก็ยังเทียบเท่าได้กับระดับไร้ขอบเขต นั่นก็น่าพอใจมากแล้ว แค่ใช้ร่างกายเพียงอย่างเดียวและสามารถสู้กับราชันเทพอสูรได้ นั่นก็หมายความว่าร่างนี้จะเรียกได้ว่าเป็นร่างที่ดีที่สุดในโลก ด้วยร่างที่เทียบได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และสามารถเกิดใหม่ขึ้นมาได้จากหยดเลือดเพียงหยดเดียวแม้ร่างจะแหลกเป็นชิ้นๆก็ตาม เมิ่งชวนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีเทพอสูรมนุษย์คนไหนสามารถทําอะไรแบบนั้นได้
เขาพึงพอใจกับ “โอกาส” ที่เขาได้รับนี้มาก อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าโอกาสที่อยู่ในถ้ําสวรรค์ หยวนชูนั้นต่างสุดยอด และโอกาสที่เขาได้รับนั้นมันสุดอยู่ได้แค่ระดับหยาดโลหิต ดังนั้นมันจึงเรียกได้ว่าเป็นแค่โอกาสระดับกลางๆเท่านั้น
ฟึ่บ
เมิ่งชวนลงพื้นที่สวนหน้าถ้ํา
“ชีเยว่” เมิ่งชวนตะโกน
“เร็วจัง?” หลิวชีเยว่เดินออกมาจากถ้ําด้วยรอยยิ้มและกล่าว “พึ่งจะผ่านไปแค่หนึ่งชั่วยามเอง เดี๋ยวข้าจะอุ่นกับข้าวให้นะ อาจารย์พาเจ้าไปก่อนที่จะกินข้าวเสร็จซะอีก”
เมิ่งชวนเดินเข้าไปด้วยความอารมณ์ดี
หลิวชีเยว่ควบคุมไฟได้อย่างดีเยี่ยม เธอวางช้อนส้อมไว้ข้างหน้าเมิ่งชวนและอุ่นอาหาร
“ทําไมอาจารย์ถึงเรียกเจ้าไปรึ?” หลิวชีเยวถามด้วยความสงสัย
เมิ่งชวนนั่งลงกินอาหาร “อาจารย์เห็นว่าวิชาลับอันหนึ่งค่อนข้างจะเหมาะกับข้าเขาเลยพาข้าไป และการรับรู้ของข้านั้นค่อนข้างสูงข้าเลยรับมันได้ในหนึ่งชั่วยาม”
เขาไม่มีทางอื่นนอกจากโกหก อาจารย์ได้สั่งไว้ไม่ให้เขาบอกข้อมูลใดๆเกี่ยวกับถ้ําสวรรค์หยวนชูเป็นอันขาด เขาทําได้แต่ต้องโกหกว่าเกิดอะไรขึ้น
หากเรื่องที่ถ้ําสวรรค์หยวนชูถูกเปิดให้เมิ่งชวนแพร่กระจายออกไป เขาก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามของเหล่าอสูร เพราะไม่ว่ายังไงถ้ําสวรรค์หยวนชูก็ไม่ได้เปิดกันบ่อยๆ ขนาดเชวเฟิง เซี่ยวหยุนเยว่ และคนอื่นๆก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าสู่ถ้ําสวรรค์หยวนชูแม้จะเป็นช่วงสงครามก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะคิดได้ว่าคนๆนั้นจะต้องมีความสามารถมากเพียงไหนที่เขา หยวนซูจึงเปิดถ้ําสวรรค์หยวนชูให้พวกเขา
“เขาถ่ายถอดวิชาลับให้เจ้าโดยตรงเลย แสดงว่าเขาให้ค่าเจ้าไว้สูงมากสินะ” หลิวซีเยวมีความสุข
“มันเป็นเพียงวิชาลับสําหรับการรักษาชีวิตเท่านั้น เหมือนว่าข้าจะตรงตามเงื่อนไขสําหรับการฝึกพอดี” เมิ่งชวนไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเขากลัวว่าหากยิ่งเขาพูดออกไป คําโกหกของเขาก็จะจับได้ง่ายขึ้นมากเท่านั้น
วันเวลาผ่านไป
เขาหยวนชูตัดสินใจเหตุการณ์โดยละเอียดถี่ถ้วน พวกเขาถึงกับติดต่อกับเมืองด่านขนาดกลางหลายเมืองเลยด้วยซ้ํา การติดต่อในระยะไกลนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากมาก และในที่สุดในวันที่ 6 พฤศจิกายน เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ก็ได้รับข้อมูลที่ที่พวกเขาจะไปประจําอยู่
“ด่านเปยเหอ? แม่น้ําเหนือ)” เมิ่งชวนและหลิวซีเยวที่นั่งอยู่ในตําหนักกําลังดื่มชาพร้อมกับอ่านเอกสารที่เขาหยวนชูส่งมา
“ด่านเปยเหออยู่ห่างจากเมืองตงหนิง 13000 ลี้มันไกลมากๆเลยละ” หลิวซีเยว่กระซิบ “ข้าคิดว่าพวกเราจะถูกส่งไปที่ๆใกล้เมืองเกิดซะอีก”
เมิ่งชวนอ่านเอกสารและกล่าว “มีเมืองด่านบางที่ที่กําลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบาก พวกเราต่างก็เป็นหนึ่งในเทพอสูรมหาสุริยันที่แข็งแกร่งที่สุด หากมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันระดับสูง การส่งไปประจําการในที่ที่เหมาะสมก็สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้เมืองด่านหลายๆได้ และพวกเราทั้งคู่ขอให้ไปประจําการด้วยกัน เพราะงั้นมันจึงมีเรื่องของทรัพยากรทั้งหลาย ไม่ง่ายเลยที่จะหาที่ประจําการให้พวกเราได้”
“ข้ารู้ ข้าเองก็แค่พูดเฉยๆ” หลิวชีเยว่กล่าว “จากเอกสาร ด่านเปยเหอค่อนข้างจะเป็นที่ที่หนาวเหน็บเลยนะ”
“มันไม่สําคัญหรอก ตราบใดที่พวกเราได้สังหารราชาอสูรก็พอ” เมิ่งชวนมองดูเอกสารแนะนํา และทําความเข้าใจในเรื่องทั่วไปของด่านเปยเหอ
ในเช้าวันที่ 15 พฤศจิกายน ณ ผาแดงโลหิต
เทพอสูรห้าคนรวมไปถึงเมิ่งชวนและหลิวชีเยวที่จะลงจากเขาในวันนี้ ปกติจะมีศิษย์เทพอสูรลงจากเขาประมาณยี่สิบคนทุกๆปี ส่วนมากพยายามที่จะไปพร้อมกัน!
“ศิษย์พี่เพิ่ง ศิษย์พี่หลิว” หยานชื่อถงยังดูเหมือนวัยรุ่น เขาตื่นเต้นมากๆ “ชุดของพวกท่านสวยจริงๆเลย แต่โชคไม่ดีที่ข้าต้องผ่านถ้ําเก้าปริศนาให้ได้ก่อนถึงจะได้เลือกชุดและอาวุธศักดิ์สิทธิ์”
เมิ่งชวนใส่ชุดสีน้ําเงินเข้ม ปลายชุดคลุมของเขาสะบัดไปกับสายลม เขาใส่รองเท้าคอมแบต และคาดดาบเอาไว้ที่เอว หลิวชีเยวใส่ชุดสีแดงฟ้า ชุดของเธอนั้นดูสว่างสดใสกว่ามาก เธอสะพายธนูและซองธนูเอาไว้ด้านหลัง ทั้งคู่ยืนอยู่ด้วยกันโดยมีพลังของเทพอสูรระดับมหาสุริยันแผ่ออกมา หลายๆคนต่างรู้สึกอิจฉาเมื่อได้เห็นพวกเขา
“ หลังจากลงเขาไปแล้วระวังตัวให้ดีระวังตัวให้ดี สนามรบนั้นต่างจากที่นี่มาก” เหยียนจินแนะนํา
“พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ผ่านจดหมาย” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ นอกจากชีเยวแล้ว เหยียนจินก็เป็นเพื่อนสนิทของเขาอีกคนบนเขา
“ท่านเจ้าเขามาแล้ว”
เหล่าศิษย์ต่างเงียบลง
เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสี่เดินมายิ้มๆ เขาหัวเราะเสียงดังและพูด “เอาล่ะ ได้เวลาที่พวกเจ้าทั้งห้าจะได้ถ่ายรูปกันแล้ว”
“ขอรับ” ศิษย์ทั้งห้าที่กําลังจะลงจากเขาไปประจําตําแหน่ง ภาพนี้จะอยู่ในเขาหยวนชูตลอดไป แม้หากพวกเขาตายไป เหล่าศิษย์น้องก็จะได้เห็นภาพเหล่านี้
ศิษย์ทั้งห้ายืนอยู่ในท่าที่พวกเขาคิดว่าดีที่สุด
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ต่างอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน รอยยิ้มของพวกเขาเป็นประกาย
“เอาล่ะ ภาพได้ถูกบันทึกลงไปแล้ว” เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้า ภาพของศิษย์ที่กําลังจะลงจากเขาเหล่านี้ถูกบันทึกเอาไว้ลงบนกําแพงเหมือนตามปกติ
ศิษย์กลุ่มที่กําลังจะลงจากเขากลุ่มนี้นั้นค่อนข้างจะพิเศษ มีสองคนที่เป็นอัจฉริยะที่เหนือกว่าคนอื่น หลิวชีเยวมีร่างเทพวิหคเพลิง และเมิ่งชวนนั้นก็ได้เข้าไปที่ถ้ําสวรรค์หยวนชู เรียกได้ว่าเขานั้นคือศิษย์ที่มีค่ามากที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา แน่นอนว่ามีเพียงเมิ่งชวนและปรมาจารย์ทั้งสองที่รู้เรื่องนี้
“พวกเจ้าทั้งห้าควรลงจากเขาไปพบกับเฟิงโหวเมฆาใต้โดยไว เฟิงโหวเมฆาใต้จะส่งพวกเจ้าไปที่เมืองด่านของพวกเจ้า”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ศิษย์ทั้งห้ารับคําสั่งและลงจากเขาในทันที
เจ้าเขาหยวนชูกวาดตาดูศิษย์คนอื่นๆและตะโกน “ศิษย์คนอื่นๆรีบไปที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์ซะ คาบเรียนของปรมาจารย์จะเริ่มแล้ว”
” ขอรับ/เจ้าค่ะ” เหล่าศิษย์กลับไปแต่โดยดีและรีบไปที่ตําหนักแม่น้ําสวรรค์
เหยียนจินยืนอยู่ที่ผาแดงโลหิตมองดูเมิ่งชวนและหลิวชีเยวจากไปก่อนที่จะหันกลังกลับออก
ที่เชิงเข้าหยวนชู เฟิงโหวเมฆาใต้พร้อมกับนกเพลิงขนาดยักษ์รออยู่อยู่แล้ว บนหลังของนกนั้นมีสัมภาระวางอยู่ เขาหยวนชูได้นําสัมภาระของศิษย์ทั้งห้ามาไว้ให้อยู่แล้ว
“ท่านอาจารย์น้า” เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ และคนอื่นๆทักทายด้วยความสุภาพ
เฟิงโหวเมฆาใต้ยิ้มและพยักหน้า “พอข้ารู้มาว่าเมิ่งชวนกับหลิวชีเยวจะลงจากเขา ข้าก็ขอมาพาไปด้วยตัวเองเลยนะ”
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์น้า” เมิ่งชวนและหลิวซีเยว่กล่าวด้วยความขอบคุณ
ตามกฏของเขาหยวนชูแล้ว ศิษย์ที่ยังไม่ใช่เฟิงโหวเทพอสูรนั้นจะนับว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน เฟิงโหวเทพอสูรนั้นมีระดับและสถานะที่สูงกว่ามาก ยกเว้นว่าจะมีความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์กัน เฟิงโหวเทพอสูรจะเรียกเจ้าเขาและปรมาจารย์ว่าศิษย์พี่
“ขึ้นมาสิ” เฟิงโหวเมฆาใต้นั่งลงบนหลังนก ทั้งห้าคนขึ้นไปและถือสัมภาระของตน
“ไปกันเถอะ” เฟิงโหวเมฆาใต้ตบหัวนกสีเพลิงเบาๆ
นิ้ว
นกสีแดงเพลิงทะยานขึ้นสู่ฟ้าในทันที เมิ่งชวนมองดูเขาหยวนชูที่ค่อยๆห่างออกไป ในไม่ช้าพวกเขาก็อยู่เหนือเมฆและกําลังบินขึ้นเหนือไปยังด่านเปยเหอ
บทสุดท้ายของภาคผู้กล้าสู่แนวหน้า