ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 137
ตอนที่ 137 หน้าที่อื่น
พวกเขาลงจากเขาหยวนชูในตอนเช้าและไปถึงด่านไปเหอในตอนบ่าย
“ด่านเปยเหออยู่ด้านหน้า” เฟิงโหวเมฆาใต้ชี้ไปทางข้างหน้า
เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตั้งใจองไปที่ด้านหน้า
เมืองด่านสูงใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา เมืองเหล่านี้ต่างจากเมืองอื่นๆในประวัติศาสตร์ เมืองด่านสําหรับป้องกันเหล่าอสูรนั้นค่อนข้างจะพิเศษ ด่านเปยเหอนั้นถูกแยกออกเป็นเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก! เมืองชั้นในนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 กําแพงของเมืองแห่งนี้สูงกว่า 80 จิ้งและหน้ากว่า 20 จิ้ง! ราวกับภูเขาสูงใหญ่ การที่มนุษย์จะสร้างอะไรแบบนี้ได้นั้นเป็นเรื่องยาก เมืองด่านขนาดกลางเช่นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยราชันเทพอสูรเองโดยตรง
ราชันเทพอสูรนั้นสามารถเคลื่อนภูเขา ตัดและเคลื่อนหินผานับไม่ถ้วนได้ และเมืองด่านก็ถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้นนั่นเอง
เมืองรอบนอกนั้นล้อมเมืองรอบในเอาไว้ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ลี้ และกําแพงเมืองก็สูง 30
“นั่นคือประตูพิภพ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยวมองดู
ข้างในเมืองชั้นในคือประตูพิภพ มันกว้างประมาณสองลี้และยาวประมาณครึ่งลี้! เมื่อมองผ่านประตูไปก็จะเห็นแดนอสูรได้ลางๆ
หลิวชีเยวมองลงไปและพูดผ่านกระแสเสียง “ต่อจากนี้ไปอีกสามปีนี้จะเป็นสนามรบของพวกเรา”
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า
มีคนมากมายอาศัยอยู่ในด่านเปยเหอ หลายหมื่นหลายแสนคน การที่อสูรชั้นต่ําที่สามารถบินได้หลุดไปผ่านด่านเปยเหอไปได้จะทําให้ป้อมรอบๆเป็นอันตรายได้ ดังนั้นจึงไม่มีหมู่บ้านหรือป้อมขนาดใหญ่อยู่รอบๆในระยะหลายลี้ ป้อมเพียงป้อมเดียวคือด่านเปยเหอ! เทพอสูรมนุษย์จะต้องจัดการกับราชาอสูรเป็ฯหลัก พวกเขาไม่สามารถจัดการกับอสูรทุกตนได้
สําหรับมนุษย์ธรรมดาแล้วนั้น เมืองเปยเหอนั้นค่อนข้างจะปลอดภัย มันปลอดภัยกว่าป้อมที่อยู่รอบๆเสียอีก ในการที่จะต่อสู้ในสนามรบต่อไปได้นั้นต้องมีทหารมนุษย์กว่า 2หมื่นคนที่ประจําการอยู่ที่นี่ตลอดเวลา 3หมื่นคนรับหน้าที่จัดการเสบียง และมีช่างฝีมือกว่าห้าพันคนในนั้น และยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษา การขนส่ง ฯลฯ
และประชากรที่มากจึงมีการค้าขายที่มากขึ้นตาม ดังนั้นแล้วด่านเปยเหอจึงรุ่งเรือง
ฟื้วว
นกสีแดงเพลิงบินลงไป
ในหอนางโลมด้านซ้ายของท่านเปยเหอ ชายชุดสีแดงพร้อมกับสาวงามในอ้อมกอดของเขากําลังเอนกายดื่มต่ํากับบรรยากาศภายนอกด้วยเหล้าในมือ
โอ้?” จู่ๆเมื่อชายชุดแดงเห็นนกยักษ์เขาก็ลุกขึ้นนั่งในทันที
เขาเห็นเฟิงโหวเมฆาใต้บนหลังนกยักษ์พร้อมกับเทพอสูรอื่นๆอีกห้าคน
“เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่มาถึงแล้วรึ?” ชายชุดแดงยิ้มก่อนจะนอนลงไปสู่อ้อมกอดของสาวงาม และดื่มต่ํากับบรรยากาศต่อไป
ที่ข้างในสวนของด่านเปยเหอ ดอกบัวยหลายดอกเริ่มผลบานกันแล้ว
หญิงสาวคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างพร้อมกับดาบสองเล่มที่วางอยู่บนตักของเธอ เมื่อเธอหายใจเข้า พลังงานสีขาวและดําก็ไหลออกมาจากรูจมูกและหลอมรวมเข้ากับดาบทั้งสองเล่มบนตักของเธอ ดาบทั้งสอง ดาบทั้งสองเล่มเองก็ปล่อยพลังดาบออกมาและหญิงสาวผู้นั้นก็ดูดมันกลับเข้าร่างของเธอ
หืม?
หญิงสาวคนนั้นลืมตาขึ้น แววตาของเธอคมกริบดั่งกระบี่ เมื่อเธอมองไปที่นกยักษ์สีแดงเพลิงที่บินโฉบลงมา สายตาของเธอหยุดอยู่ที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ “เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่มาถึงแล้ว? เมิ่งชวนคือคนที่จะต้องต่อสู้ไปพร้อมกับข้าในอนาคต เขาเชื่อถือได้รึเปล่า?
นกยักษ์ที่มาถึงดึงดูดสายตาของเทพอสูรในด่านเปยเหอจํานวนมาก
ตั๋วว นกยักษ์ลงจอดที่หน้าตําหนักนายพล
“คารวะอาจารย์น้า”
ชายร่างบางจากตําหนักนายพลเข้ามารับพวกเขา ใบหน้าของเขาดูเหี่ยวย่นเล็กน้อย ดูค่อนข้างจะแก่
ศิษย์เทพอสูรทั้งห้าคนและเฟิงโหวเมฆาใต้กระโดดลง เฟิงโหวเมฆาใต้ยิ้มและกล่าว “เมิ่งชวน หลิวชีเยว่ ข้าขอแนะนํา นี่คือนายพลของด่านเปยเหอ จางหวินอู่”
“คารวะศิษย์พี่จาง” เมิ่งชวนและหลิวซีเยวโค้งคํานับ
จางหวินอู่คือนายพลของด่านเปยเหอ! เขาต่อสู้มาตลอดชีวิตในหลายสนามรบ และในตอนนี้ เขาเป็นนายพลของเมืองด่านขนาดกลาง เห็นได้ชัดว่าเขาหยวนชูเชื่อใจเขา! เขามีผลงานมากมาย และได้รับตําแหน่งเฟิงโปว ในหมู่เทพอสูรระดับมหาสุริยันสิบคนในด่านเปยเหอนั้น มีเพียงจางหวินอู่ที่ได้รับตําแหน่งเฟิงโปว ความแข็งแกร่งของเขานับได้ว่าเก่งที่สุด
“ฮ่าๆ ข้ารอพวกเจ้าทั้งสองคนมานานแล้ว” จางหวินมองไปที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ แววตาของเขาดูตื่นเต้นเหมือนกับเด็กๆ “ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้มีศิษย์น้องที่มีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษที่สมบูรณ์แบบที่นี่ การที่พวกเขาส่งเจ้ามาให้ข้า ท่านเจ้าเขาทําให้ข้าสบายขึ้นเยอะเลย”
“เราทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์ในสนามรบมากนัก พวกเรายังต้องการคําชี้แนะจากท่านขอรับ ศิษย์พี่” เมิ่งชวนกล่าว
“ประสบการณ์มาพร้อมกับเวลา การจะโกงความแข็งแกร่งนั้นเป็นไปไม่ได้เลย” จางหวินอู่หัวเราะ
“มาแล้วรึ? พวกเขามากันแล้วรึ?” มีเสียงดังตะโกนออกมา ชายร่างอ้วนวิ่งมาพร้อมกับเด็กน้อยตัวกลมในแขนของเขา เขาก้มหัวให้กับเฟิงโหวเมฆาใต้ในทันที “คารวะอาจารย์น้า”
เฟิงโหวเมฆาใต้พยักหน้าเล็กน้อย
ชายร่างอ้วนยิ้มให้เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่อย่างจริงใจ “ข้าชื่อฟานเฉิง ข้าลงจากเขามากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ว่าข้าได้ยินมาว่ามีคู่รักคู่หนึ่งบนเขาหยวนชูที่ใครๆก็ต่างอิจฉาอีกทั้งยังมีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษที่สมบูรณ์แบบ ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้ต่อสู้ร่วมกันกับพวกเจ้า ข้ามีความสุขมากเลยจริงๆ โอ๊ะใช่ นี่ลูกชายข้า ฟานสือจิน(สิบจิน) ตอนเขาเกิดเขาหนักสิบจินน่ะ เขาเอาแต่พูดว่าอยากจะเจอกับอาจารย์น้าอาคนใหม่”
เด็กน้อยร่างอ้วนตาเป็นประกายมองไปที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ด้วยความสงสัย
“ฟานสือจิน ชื่อของเจ้านี่น่าสนใจจริงๆ” หลิวชีเยวโบกมือและเสกทรายและเพลิงออกมา ทรายค่อยๆละลายอย่างช้าๆและแข็งตัวกลายเป็นรูปปั้นของเด็กน้อยตัวอ้วนกลมในที่สุด “ข้าไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้เลย นี่เป็นเครื่องให้เจ้านะ” เธอยื่นรูปปั้นของเด็กน้อยให้
เด็กน้อยรับมันไปอย่างมีความสุขและขอบคุณเธอ “ขอบคุณมากฮะอาจารย์น้า”
เมิ่งชวนรู้สึกละอายใจที่ไม่ได้เตรียมของอะไรไว้และไม่สามารถทําได้เหมือนกับหลิวชีเยว่
“เอาล่ะน้องฟาน ขอให้มีความสุขกับลูกชายเจ้านะ ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการอะไรอีกนิดหน่อย” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ
“เอาล่ะ เดี๋ยวไว้ข้าจะเลี้ยงอาหารพวกเจ้านะ ภรรยาข้าทําอาหารอร่อยมากเลยล่ะ” ชายร่างอ้วนยิ้มและอุ้มลูกเขากลับไป
“แน่นอนขอรับ” เมิ่งชวนและหลิวซีเยว่กล่าว
ฟานเฉิงเป็นหนึ่งในผู้พันที่ด่านเปยเหอ!
คนที่สามารถเป็นผู้พันของเมืองด่านขนาดกลางนั้นต่างเรียกได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งในหมู่เทพอสูรมหาสุริยัน ในอนาคต พวกเขาจะเป็นสหายร่วมรบของหลิวชีเยว่และเมิ่งชวน
“ศิษย์น้องหลิว ศิษย์น้องคนอื่นๆ ได้โปรดไปพักกันก่อน” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ “ศิษย์น้องเมิ่งกับข้ามีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์น้านิดหน่อย”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” หลิวชีเยว่และคนอื่นๆพยักหน้า พวกเขาเดินตามพ่อบ้านไปห้องรับรอง
เมิ่งชวนรู้สึกงุนงงและเดินตามจางหวินอู่กับเฟิงโหวเมฆาใต้ไปที่อาคารใกล้ๆ
ทั้งสามคนนั่งลงและเฟิงโหวเมฆาใต้ก็กล่าวขึ้น “เมิ่งชวน นอกจากจะเป็นผู้พันที่ด่านเปยเหอแล้ว เจ้ายังมีหน้าที่อื่นอีก”
หน้าที่อื่นหรือขอรับ?” เมิ่งชวนงุนงง
“ใช่” เฟิงโหวเมฆาใต้พยักหน้าและหยิบตราสี่เหลี่ยมสีขาวออกมา เขาโยนมาให้เบาๆ ตราหยกสีขาวนั้นลอยอยู่ข้างๆเมิ่งชวน หลังจากรับมันไปแล้วเขาก็เห็นด้านหน้ามีตัวอักษรเขียนอยู่ “ลาดตระเวน” ข้างหลังนั้นมีแผนที่ที่ดูซับซ้อน มันเป็นแผนที่ของเมือง 18 เมืองรอบๆในระยะพันล้ําจากด่านเปยเหอ
เฟิงโหวเมฆาใต้กล่าว “เจ้าไวกว่าเฟิงโหวเทพอสูรเสียอีก ความเร็วของเจ้าเทียบได้กับของราชันเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา! ดังนั้นแล้วเจ้าจะได้เป็นคนลาดตระเวน เจ้าจะต้องลาดตระเวณในเมืองทั้ง 18 เมืองเหล่านี้โดยมีด่านเปยเหอเป็นศูนย์กลาง! หากเมืองใน 18 เมืองนี้ต้องการความช่วยเหลือตรานี้จะเตือนเจ้า เจ้าต้องรีบไปช่วยพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้”
“ปกติแล้วกว่าเฟิงโหวเทพอสูรจะไปถึงเมืองที่ถูกโจมตีก็สายไปเสียแล้ว เจ้าเร็วกว่าเฟิงโหวเทพอสูรมาก เจ้าสามารถไปช่วยเหลือเมืองเหล่านั้นได้ไวกว่าพวกเรา พวกเราต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าไปถึงเมืองเหล่านั้น แต่เจ้าสามารถไปถึงได้ภายในไม่กี่สิบนาที ยิ่งเจ้าเร็วเท่าไหร่เหล่าอสูรก็ทําความเสียหายได้น้อยเท่านั้น เจ้าสามารถช่วยเหลือชีวิตผู้คนมากมายได้และอาจจะพลิกสถานการณ์ไปเลยก็ได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนหยิบตราไปและนึกถึงเมืองตงหนิง
ในตอนนั้นที่เมืองตงหนิงถูกรุกรานโดยเหล่าอสูร หากเทพอสูรที่แข็งแกร่งมาไวกว่านี้ก็คงจะมีคนตายน้อยกว่านี้ แต่ว่าพวกเขามีเทพอสูรเฟิงโหวและราชันน้อยเกินไป พวกเขาต้องปกป้องพื้นที่ที่สําคัญและจะออกมาไม่ได้หากไม่มีเหตุผลที่จําเป็น มีเพียงราชันเทพอสูรสองถึงสามคนเท่านั้นที่ท่องไปทั่วโลก แต่ว่าการที่จะให้พวกเขาช่วยเหลือราชวงศ์โจวที่กว้างใหญ่ทั้งหมดนั้นก็เป็นไปไม่ได้
“ความแข็งแกร่งของเจ้าเพียงพอที่จะจัดการกับการรุกรานของอสูรแบบธรรมดาได้ เจ้าจะสามารถส่งผลต่อการต่อสู้ที่ไม่ต้องมีเฟิงโหวเทพอสูรหรือราชันได้อย่างมาก” เฟิงโหวเมฆาใต้กล่าว “เจ้าจะได้รับหนึ่งแสนแต้มทุกๆปีในฐานะคนลาดตระเวน หากเจ้าสามารถปกป้องพื้นที่เหล่านั้นไว้ได้ เจ้าก็จะได้รับรางวัลเช่นกัน”