ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 138
ตอนที่ 138 วางแผนส่งเสริมกัน
จางหวินอู่ก็ยิ้มเช่นกัน “ปกติแล้วมีเพียงเฟิงโหวเทพอสูรกับราชันเทพอสูรเท่านั้นที่ได้รับหน้าที่คนลาดตระเวน มีเทพอสูรมหาสุริยันเพียงไม่กี่คนหรอกที่ได้รับหน้าที่คนลาดตระเวน”
“จําไว้นะเมิ่งชวน หลังจากที่ไปเสริมกําลังเสร็จเรียบร้อยแล้วให้กลับมาที่ด่านเปยเหอในทันที” เฟิงโหวเมฆาใต้กล่าว
“ขอรับ” เมิ่งชวนตอบ เขารู้ว่าเขาได้เป็นคนลาดตระเวณก็เพราะความเร็วที่เทียบได้กับราชันเทพอสูรของเขา
เมือง 18 เมืองรอบๆด่านเปยเหอนั้นอยู่ในรัฐที่ต่างกันสามรัฐ
“เหล่าอสูรโจมตีด่านเปยเหอเพียงสองสามครั้งต่อปี” จางหวินอู่กล่าว “ศิษย์น้องเมิ่ง เจ้าต้องไปป้องกันพื้นที่เหล่านั้นเพียงปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น และส่วนมากก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น! ข้าว่าการโจมตีนั้นมันคงไม่เกิดขึ้นพร้อมกันหรอก น้องเมิ่ง พวกเรายื้อไหวหากระมัดระวังกัน”
“ใช่แล้ว บอกให้เกอคงกับอู่จี่ฉิวเตรียมตัว ข้าจะต้องไปเมืองอื่นอีก” เชิงโหวเมฆาใต้สั่ง
“ได้เลย พวกเขาเตรียมเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว” จางหวินอู่พยักหน้า
จากนั้นไม่นาน เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ก็ไปส่งเฟิงโหวเมฆาใต้และคนอื่นๆกลับไป
เฟิงโหวเมฆาใต้พาศิษย์เทพอสูรอีกสามคนพร้อมกับเทพอสูรอีกสองคน เกอคงกับอู่จี่ฉิวที่จะถูกส่งไปที่ไหนซักที่หลังจากที่เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มาถึงด่านเปยเหอ
“ พวกเจ้าทั้งคู่แกร่งกว่าพวกข้า” อู่จี่ฉิวกล่าวในขณะที่เดินออกไป “ดีแล้วที่พวกเจ้ามาที่ด่าน เปยเหอ พี่หญิงหยู พี่หญิงมู่ กับน้องฉีค่อนข้างจะแปลกหน่อยๆ แต่ว่าเจ้าสามารถฝากชีวิตไว้กับพวกเขาได้”
” เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
อู่จีนิวเป็นนักเกาทัณฑ์ เขามีตราศักดิ์สิทธิ์สีทองอยู่ตรงหว่างคิ้ว
เมิ่งชวนเองก็ฝึกตราอัสนี พวกมันอยู่บนหลังของเขา มันช่วยเพิ่มพลังสายฟ้าให้เขาอย่างมากหลิวชีเยว่เองก็มีตราวิหคเพลิงที่หลังเช่นกัน
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
“ฮ่าๆ ในที่สุดพวกเราก็ใกล้บ้านเกิดขึ้นมาอีกนิดแล้ว” ทั้งคู่หัวเราะและขึ้นขี่นกสีแดงเพลิง
“ไปกันเถอะ” เฟิงโหวเมฆาใต้ตบคอนกเบาๆก่อนที่นกจะบินทะยานสู่ท้องฟ้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ในทันที
“ข้าเห็นว่าพวกเจ้าขอที่จะอยู่บ้านหลังเดียวกัน ข้าเลยจัดการให้แล้ว” จางหวินอู่ยิ้มกริ่ม ในขณะที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หรูหรา “เป็นยังไงเล่า? ไม่แย์ใช่ไหมล่ะ?”
เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สามารถมองเห็นกําแพงรอบนอกของด่านเปยเหอได้จากด้านหลังที่พักเลยด้วยซ้ํา! ที่พักของเทพอสูรในด่านเปยเหอนั้นใกล้กับกําแพงส่วนนอก เมื่อเสียงกลองดังขึ้น เหล่าเทพอสูรก็จะสามารถไปที่เมืองชั้นในได้อย่างรวดเร็ว
“พักผ่อนก่อนเถอะ คืนนี้มาที่บ้านข้าก่อน ข้าเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว เทพอสูรของท่านเปยเหอทุกคนจะมาร่วมด้วย” จางหวินอู่กล่าวยิ้มๆ “ทุกคนจะได้รู้จักกัน”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้า
เหล่าพ่อบ้านและคนรับใช้คอยจัดการคฤหาสน์ให้ พวกเขาถูกจ้างมาโดยรัฐบาลเพื่อรับใช้เทพอสูร พวกเขาเหล่านี้ขยันกันมากๆ
ในคืนนั้น ที่บ้านพักของนายพลด่านเปยเหอ
เทพอสูรทั้ง 31 คนมารวมตัวกัน นายพลจางหวินอู่ และผู้พันทั้งเก้า เมิ่งชวน หลิวชีเยว ฟาน เฉิงฉีฉิว หยูจีหยาน มู่ฉิง หยางจึงอู่ฉิว และเฟิงเฉียนฟาน พร้อมกับผู้บัญชาการอีก 21 คนคือกองกําลังหลักของด่านเปยเหอ
เมิ่งชวนถือจอกที่เต็มไปด้วยเหล้าพูดคุยทําความรู้จักกับเหล่าเทพอสูร
เทพอสูรที่ด่านเปยเหอต่างมีหน้าที่ของตน
ผู้พันสองคนฉิวซีและเฟิงเฉียนฟานนั้นนําทัพเทพอสูรธรรมดา 19 คนและทหารมนุษย์เพื่อจัดการอสูรธรรมดาและราชาอสูรที่อ่อนแอ แม้ว่านิ้วชี้และเฟิงเฉียนฟานเองก็จะเป็นเทพอสูรมหาสุริยัน แต่พวกเขาต่างเป็นศิษย์นิกายนอกที่มีร่างเทพอสูรระดับกลางเท่านั้น พวกเขาค่อนข้างจะอ่อนแอกว่าผู้พันคนอื่นๆนิดหน่อย ในแง่ของความแข็งแกร่งแล้ว พวกเขาอ่อนแอกว่ามาก แต่ว่าพวกเขามีประสบการณ์มากมายในการนําทัพ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงได้รับหน้าที่ให้จัดการกับอสูรธรรมดาและราชาอสูรที่อ่อนแอ
จางหวินอู่และนายพันอีกเจ็ดคน พร้อมกับผู้บัญชาการที่เป็นนักเกาทัณฑ์ต่างเป็นศิษย์ของเขา หยวนชู พวกเขาคือกําลังหลักในการต่อสู้กับราชาอสูรระดับสาม
“อาชวน” หลิวชีเยว่นั่งกับเมิ่งชวนและกล่าวผ่านกระแสเสียง “พี่จางดูเป็นคนตรงไปตรงมาดูเข้ากันได้ง่ายนะ”
เมิ่งชวนมองไปที่จางหวินอู่อย่างเห็นด้วย ใบหน้าของเขาตอนนี้แดงแจ๊ไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ จางหวินอู่ให้ความรู้สึกที่ทําให้ทุกคนเชื่อถือเขา! สมกับเป็นผู้นําที่เจนศึกอย่างแท้จริง
“ศิษย์พี่ฟางเฉิงกับศิษย์พี่หญิงหยางจิงอู่ก็ดูเป็นคนอารมณ์ดี” หลิวชีเยว่กล่าว “ศิษย์พี่ฉีฉิว ศิษย์พี่หญิงขี่หยาน แล้วก็ศิษย์พี่มู่ฉิงดูจะพิเศษกว่าคนอื่น”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ศิษย์น้องเมิ่ง” ฉีฉิวในชุดสีขาวที่กําลังดื่มสาเกก็หัวเราะ “จากนี้ไปพวกเราจะร่วมมือกันสังหารศัตรู นับจากพรุ่งนี้ไปเรามาฝึกด้วยกันเถอะ ข้าไม่อยากไปพลาดท่าที่สนามรบเพราะร่วม มือกันไม่ดี”
“ได้เลยขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
แววตาของฉีฉิวดูร้ายกาจขึ้นมาแวบหนึ่ง ได้ยินมาว่าฉีฉิวนั้นค่อนข้างจะเกเร เขามักจะอยู่ตามสถานเริงรมณ์อยู่ตลอด เขาฝึกร่างเทพสว่างโชติ ร่างเทพอสูรที่เจ็บปวดที่สุดในการฝึกฝน เมิ่งชวนประหลาดใจกับคําอธิบายของมัน แต่ว่าฉีฉิวก็ยังฝึกฝนมันได้สําเร็จและสําเร็จถึงระดับมหาสุริยันเลยด้วยซ้ํา ไม่สามารจินตนาการได้เลยด้วยซ้ําว่าต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนกว่าจะมาถึงจุดๆนี้ได้
“ข้าด้วย มาฝึกด้วยกันเถอะ” พี่หญิงมู่ฉิงที่สะพายดาบไว้สองเล่มบนหลังนั่งลงและพูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะเจ้า เมิ่งชวน”
“พวกเจ้าทั้งสองคนประเมินศิษย์น้องเมิ่งต่ําไปแล้ว” หยูจีหยานบิดปากหัวเราะเสียงหัวเราะของเธอนั้นอ่อนโยนพร้อมกับเสน่ห์อันตราตรึง “ศิษย์น้องเมิงมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบ พบเจอได้เพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ในตอนที่พวกเราสังหารราชาอสูรอยู่ การมีศิษย์น้องเมิ่งคอยช่วยคงจะทําให้อะไรๆง่ายขึ้นมาก”
พี่หญิงหยูจีหยานนั้นฝึกร่างอสูรลวงตา! เมืองด่านขนาดกลางทุกเมืองจะมีเทพอสูรที่ฝึกร่างอสูรลวงตาอยู่ นั่นก็เพราะเทพอสูรเหล่านี้สามารถคุมสติของศัตรูได้! แม้จะคุมราชาอสูรไม่ได้ก็จริง แต่ก็ยังสามารถขัดขวางได้ในการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนั้น พวกเขามีประโยชน์อย่างมาก
“ฝึกด้วยกันเถอะๆ” ฉีฉิวดูมีความสุขมาก “ศิษย์น้องเมิ่ง ศิษย์น้องมู่ไม่คุยกับข้าด้วยซ้ําถึงข้าจะไปหาเธอประจําก็ตาม ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ”
“ข้าจะฝึกกับเมิ่งชวน เจ้าไม่เกี่ยว” พี่หญิงมู่ฉิงพูดต่ออย่างเย็นชา “ข้ากลัวว่าเมิ่งชวนจะเป็นภาระให้ข้า ส่วนเจ้าน่ะเหรอ? เจ้าอยู่ในสนามรบนานกว่าข้าเสียอีก ไม่จําเป็นที่เจ้าจะต้องฝึกร่วมมือกับข้าเลย”
สีหน้าของฉีฉิวดูหมองลงในทันที “ก็ได้ งั้นข้าจะดูอยู่ข้างๆละกัน”
มู่ฉิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เมิ่งชวนได้แต่กระพริบตาปริบๆ เขาสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ฉีฉิว หยูจีหยาน และมู่ฉิงนั้นไม่ธรรมดา
“การฝึกการร่วมมือกันเป็นเรื่องดี ทุกคนควรฝึกด้วยกัน” จางหวินอู่กล่าวยิ้ม “การฝึกอย่างต่อเนื่องจะทําให้พวกเรามีประสิทธิภาพในสนามรบมากขึ้นและลดความผิดพลาดลง พวกเจ้าจะมั่นใจเพียงเพราะเจ้านั้นแข็งแกร่งไม่ได้! ในสนามรบ พวกเราต้องพึ่งความแข็งแกร่งของคนรอบข้างด้วย! มันไม่ใช่การต่อสู้คนเดียว เจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารราชาอสูรนับร้อยด้วยตัวคนเดียวได้อย่างนั้นรึ?”
เมิ่งชวนพยักหน้า
เมื่อเกิดสงครามขนาดใหญ่ในเมืองด่านขนาดกลางเช่นนี้แล้ว พวกเขามักจะต้องพบกับราชาอสูรนับร้อย แต่พวกเขามีเทพอสูรเพียง 31 คนเท่านั้น! แต่ว่าในการต่อสู้เหล่านี้ก็ยังต้องพึ่งความ แข็งแกร่งของแต่ละคนอยู่ดี อย่างเมิ่งชวนสามารถจัดการกับราชาอสูรระดับสามสิบตัวได้ด้วยตัวคนเดียว สําหรับนักเกาทัณฑ์อย่างหลิวซีเยวนั้นทรงพลังมากกว่า ส่วนนายพลอย่างจางหวินอู่นั้น เขาแข็งแกร่งกว่าเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่มาก เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นเทพอสูรที่ไปถึงระดับเต๋าแล้ว ในแง่ของระดับวิชาอาวุธของเขา เขาเทียบได้กับเฟิงโหวเทพอสูรเลยด้วยซ้ํา
มู่ฉิง ฉีฉิว ฟางเฉิง หยูจี้หนาน และหยางจึงอู่นั้นต่างแข็งแกร่ง เมื่อร่วมมือกันพวกเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเมื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน การจะสังหารราชาอสูรระดับสามสามสิบตัวนั้นง่ายมากๆ แต่ว่าเหล่าอสูรเองก็รวบรวมราชาอสูรระดับสามและเหล่าชั้นสูงมามากเช่นกัน และมัน จะเป็นอันตรายหากพวกเขาต้องปะทะกันเป็นกลุ่ม
แน่นอนว่าเมืองด่านขนาดกลางก็ต้องมีการป้องกันหลายแบบไว้อยู่แล้ว! แต่หากพวกอสูรส่ง เหล่าระดับสูงมามากเกินไปก็อาจเป็นไปได้ที่พวกมันจะเป็นฝ่ายสังหารมนุษย์แทน! และยังมีโอกาสที่มนุษย์เองจะไม่สามารถยื่อเมืองด่านเอาไว้ได้และพ่ายแพ้ไปด้วย
นี่คือสงคราม! ทุกๆอย่างมันคาดเดาไม่ได้
ประตูพิภพที่คงตัวนั้นอยู่ด่านเปยเหอชั้นในและมีเหล่าทหารธรรมดาคอยลาดตระเวนทุกวัน
การบุกรุกครั้งใหญ่นั้นจะเกิดแค่ปีละสองสามครั้ง นั่นก็เป็นเพราะแต่ละครั้งนั้นสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล! เพราะอย่างน้อยอสูรธรรมดาก็ถูกสังหารไปเป็นจํานวนมหาศาล และเป้าหมายของมนุษย์เองก็คือการที่จะไม่ให้มีอสูรตัวไหนหลุดรอดไปจากด่านเปยเหอนี้ได้!
สงครามนั้นโหดร้าน มนุษย์สูญเสียคนไปมหาศาล แต่อสูรสูญเสียไปมากกว่าเพราะความเสียเปรียบด้านพื้นที่ ดังนั้นแล้วจึงมีระยะห่างระหว่างการบุกแต่ะละครั้งที่นานพอสมควรกว่าเหล่าอสูรจะบุกเข้ามาอีกครั้ง
“จําไว้ พวกเราต้องปกป้องน้องหยูกับน้องหยางในตอนที่สู้กับราชาอสูร” จางหวินอู่กล่าว “น้องหยางมีเขตแดนที่สามารถช่วยพวกเราในยามคับขันได้ น้องหยูก็สามารถจู่โจมเข้าไปในจิตใจของพวกราชาอสูรได้ หากมีพวกเขาอยู่เราก็จะสามารถจัดการกับราชาอสูรได้ง่ายกว่าเดิม” จางหวินอู่บอกข้อมูลสําคัญที่เมิ่งชวนควรรู้เมื่อเข้าสู่สนามรบ
แม้ว่าหลายคนจะเข้าใจอะไรพวกนั้นอยู่แล้วในการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังต้องบอกอยู่ดี!
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้ารับฟัง
หลิวขี่เยว่มองดูเมิ่งชวน จางหวินอู่ ฉีฉิว หยูจีหยาน มู่ฉิงและจางหวินอู่พูดคุยกันเกี่ยวกับการร่วมมือกันจากไกลๆ เธอไม่มีส่วนร่วมในวงสนทนานั้น
ในฐานะนักเกาทัณฑ์ สิ่งที่เธอต้องทําก็คือการอยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุดของเมืองและยิงจากไกลๆ ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมีฟานเฉิงคอยปกป้องเธออีก! มันทําให้อะไรง่ายกว่าเดิมมาก
เมิ่งชวนกับอีกห้าคนต้องเข้าต่อสู้ในระยะประชิด นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในการต่อสู้เช่นนี้ การร่วมมือกันเป็นส่งที่สําคัญมาก ศัตรูจะแข็งแกร่งก็ไม่กลัว แต่เพื่อนร่วมทีมโง่นี่สิถึงจะน่ากลัว สหายที่โง่เขลาจะทําให้คนอื่นๆด้อยตามไปด้วย เมิ่งชวนเข้าใจในจุดนี้
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทําตามที่พี่จางหวินอู่กล่าว “ช่วงแรกๆอย่าไปเสี่ยงเด็ดขาด เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก หลังจากที่พวกเราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว เราจะค่อยหาวิธีร่วมมือไปด้วยกัน”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ในฐานะมือใหม่ในด้านนี้ เมิ่งชวนจึงถ่อมตัวมาก
มือใหม่ไม่จําเป็นต้องแข็งแกร่ง พวกเขาแค่ไม่ต้องเป็นภาระให้สหายร่วมรบก็พอ ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจต้องเสียใจกับการกระทําไปตลอดชีวิต