ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 2
ยามเช้า
ณ สนามฝึกจวนเมิ่งริมทะเลสาบจิ้งหู หลิ่วชีเยว่กำลังฝึกยิงธนู ส่วนเมิ่งชวนกำลังฝึกกระบี่อยู่ที่มุมสนาม
“ขวับขวับ”
เพลงกระบี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งแปลกและยากที่จะเข้าใจได้
อีกทั้งความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือทักษะกระบี่ชั้นยอดที่คนธรรมดาก็สามารถเรียนรู้ได้ มันถูกเรียกว่า 《กระบี่ใบไม้ร่วง》
ตอนเขาอายุหกขวบได้ผ่านการทดสอบจากตระกูล ผลปรากฎว่าพรสวรรค์ทางด้านกระบี่นั้นค่อนข้างสูง และเขาก็ชื่นชอบการฝึกกระบี่ด้วย เพราะ…มันเร็ว!
หลังจากฝึกพื้นฐานกระบี่ที่บ้านสองปี ตอนอายุแปดขวบ บิดาของเขาเมิ่งต้าเจียงก็ส่งเขาเข้าสำนักกระจกทะเลสาบที่เป็นหนึ่งในแปดสำนักใหญ่ของเมืองตงหนิง! ‘เก๋อหยู่’ เจ้าสำนักกระจกทะเลสาบแม้ว่าจะดูเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่กลับเป็นปรมาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งของเมืองตงหนิง
เก้าขวบ เมิ่งชวนได้ฝึกพื้นฐานกระบี่จนสมบูรณ์ มีรากฐานที่มั่นคง จึงได้รับการถ่ายทอดวิชา 《กระบี่ท่องลม》
สิบเอ็ดขวบ ฝึกวิชา《กระบี่ท่องลม》จนเชี่ยวชาญ เจ้าสำนักจึงได้ถ่ายทอดวิชา 《กระบี่ใบไม้ร่วง》ที่เป็นวิชากระบี่ชั้นยอดให้กับเขาด้วยตัวเอง
สิบสองขวบ
จนกระทั่งบัดนี้อายุได้สิบห้าปี
“น่าเสียดาย แม้ว่ากระบี่ใบไม้ร่วงของข้าจะยอดเยี่ยม แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์” เมิ่งชวนหยุดฝึกแล้วมองกระบี่ในมือ พลางย่นคิ้ว “ข้าจะรู้ทักษะลับของกระบี่ใบไม้ร่วงได้เยี่ยงไร? แล้วจะบรรลุขั้น ‘หนึ่งเดียว’ ขั้นที่หนึ่งของนักดาบได้ยังไง?”
วิชาดาบวิชากระบี่วิชาธนูและอื่น ๆ
ทุกอย่างล้วนมีทักษะ
ขั้นแรกคือ ‘หนึ่งเดียว’ เป็นการบ่งชี้ว่าร่างกาย หัวใจ ทักษะทั้งสามสิ่งนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งจะช่วยดึงศักยภาพที่น่าเหลือเชื่อออกมาได้
ขั้นที่สอง ถูกเรียกว่า ‘พลัง’ ฟ้าดินล้วนมีพลัง! ขุนเขามีพลังแห่งขุนเขา สายน้ำมีพลังแห่งสายน้ำ นักกระบี่ก็ควรแสดงพลังของกระบี่ออกมาให้ได้เหมือนฟ้าดิน ขุนเขาสายน้ำ สายลมและอัคคี ใช้กระบี่ ก็ควรที่จะมีพลังกระบี่! ซึ่งนั่นคือขั้นที่สูงขึ้นไป
อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนได้วางรากฐานมาหลายปี แน่นอนว่ารากฐานของเขาย่อมมั่นคงอย่างมาก ดังนั้นจึงขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้น ‘หนึ่งเดียว’ แล้ว
แต่กลับเป็นก้าวเดียวที่…ยากเย็นเหลือเกิน!
“แม้ว่าเมืองตงหนิง จะมีนักดาบนักกระบี่มากมาย แต่คนที่สามารถบรรลุขั้นหนึ่งเดียวได้นั้นกลับน้อยยิ่งนัก” เมิ่งชวนเข้าใจจุดนี้อย่างชัดเจน “มีเพียงแค่บรรลุขั้นหนึ่งเดียว จึงจะกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง มิฉะนั้นก็เป็นเพียงผู้มีฝีมือธรรมดาๆ”
ผู้มีฝีมือเหล่านั้น แม้ว่าจะมีปราณที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงเป้ามีชีวิตที่มีพลังและความเร็วบ้างแค่นั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริง เพียงกระบวนท่าเดียวก็ถูกสังหารแล้ว
“ตามคำอธิบายของกระบี่ใบไม้ร่วง กระบี่ใบไม้ร่วงแบ่งออกเป็น 81 กระบวนท่า ตราบใดที่ฝึกทั้ง 81 กระบวนท่าจนบรรลุถึงแก่น ก็จะได้รับทักษะลับ ‘ตรีใบไม้ร่วง’ แต่กว่าจะถึงตรงนั้นก็ต้องบรรลุขั้น ‘หนึ่งเดียว’ เสียก่อน” เมิ่งชวนรู้สึกหมดหนทาง เนื่องจากหนังสือที่เกี่ยวกับหนึ่งเดียวนั้น บรรยายหัวข้อเรื่องนี้เพียงย่อหน้าสั้น ๆ
รายละเอียดเพิ่มเติมใดใดล้วนไม่มี กระทั่งเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆก็ไม่มีบันทึกไว้
‘จะเรียนรู้ทักษะลับจงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ’ คำพูดนี้มันซับซ้อนเกินไป วิชา《กระบี่ใบไม้ร่วง》เขาก็ฝึกมาได้สองปีเต็มแล้ว ทุกวันล้วนฝึกฝนอย่างมิเกียจคร้าน แต่ทำไมถึงยังไม่สามารถตระหนักรู้ทักษะลับ ‘อย่างเป็นธรรมชาติ’ ได้ล่ะ?
“การฝึกฝนทั่วไปแบ่งออกเป็น 5 ระดับ สร้างรากฐาน กำเนิดปราณ ชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิด ไร้ตำหนิ ระดับก่อกำเนิดถ้าอยากจะบรรลุไประดับไร้ตำหนิ…ทักษะของพวกนักดาบนักกระบี่จำเป็นที่จะต้องแตะขั้นหนึ่งเดียว มีเพียง ‘ร่างกายหัวใจทักษะสามอย่างรวมเป็นหนึ่ง’ ถึงจะมีพลังที่แท้จริงของระดับก่อกำเนิดได้ แล้วจึงจะสามารถทะลวงขั้นไร้ตำหนิได้” เมิ่งชวนแอบคิดในใจ “ทุกตระกูลต่างก็มียาและทรัพยากรมากพอที่จะทำให้กลายเป็นระดับก่อกำเนิดได้ไม่ยาก แต่จะสามารถเป็นระดับไร้ตำหนินั้นกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย”
เมิ่งชวนเริ่มฝึกระดับสร้างรากฐานตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
เก้าขวบเข้าสู่ระดับฝึกภายใน สิบสองขวบระดับชำระแก่นแท้ ตามการคาดการณ์ของเมิ่งชวน เดือนหกปีนี้เขาน่าจะฝึกระดับชำระแก่นแท้ได้สมบูรณ์และก้าวไปสู่ ‘ระดับก่อกำเนิด’ ความเร็วในระดับนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับลูกหลานสายหลักของตระกูลเทพอสูร ก็เหมือนกับอวิ๋นชิงผิงและพวกลูกหลานจอมขี้เกียจของตระกูลเทพอสูร หลังจากที่กินยาไปเป็นจำนวนมาก พออายุสิบห้าก็จะก้าวเข้าสู่ระดับชำระแก่นแท้
การฝึกฝนทั่วไปมี 5 ระดับใหญ่ๆ : สร้างรากฐาน กำเนิดปราณ ชำระแก่นแท้ ก่อกำเนิด ไร้ตำหนิ
จากนั้นก็จะขึ้นไปเป็น ‘เทพอสูร’
ระดับไร้ตำหนิสู่เทพอสูร!
การจะกลายเป็นเทพอสูรนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาเมืองตงหนิงมีผู้ที่กลายเป็นเทพอสูรแค่ไม่กี่คน
“ข้าสาบานต่อหน้าหลุมศพของท่านแม่ ว่าชาตินี้ข้าจะกลายเป็นเทพอสูร และสังหารเหล่าอสูรร้ายเพื่อแก้แค้นให้กับท่าน” เมิ่งชวนลดกระบี่ลง และเหม่อมองกระบี่ในมือ ตอนนั้นยังเด็กจึงไม่รู้อะไรมากนัก แต่บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการจะเป็นเทพอสูรได้นั้นมักยากแค่ไหน แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม “ข้าจะต้องเชี่ยวชาญ ‘หนึ่งเดียว’ ที่เป็นขั้นแรกให้เร็วที่สุด ในอนาคตยังจะต้องเชี่ยวชาญ ‘พลัง’ ขั้นที่สองอีก แบบนี้แล้วจึงจะพอมีหวังที่จะได้เป็นเทพอสูร”
ทันใดนั้น——
“ชวนเอ๋อร์” เงาร่างหนึ่งก็เดินผ่านเข้ามาทางประตูของสนามฝึก
เมิ่งชวนหันไปมอง “ท่านพ่อ”
ชายวัยกลางคนร่างท้วมที่เดินยิ้มเข้ามาผู้นี้ ก็คือบิดาของเขาเมิ่งต้าเจียง เขาเปิดร้านอาหาร! แน่นอนว่ายังเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งของเมืองตงหนิง ขณะเดียวกันก็เป็นว่าที่หัวหน้าตระกูลคนถัดไปของตระกูลเมิ่ง
ความแข็งแกร่งของเมิ่งต้าเจียงนั้นนับว่าพิเศษมาก ในบรรดายอดฝีมือที่อยู่ต่ำกว่าระดับเทพอสูร เขานับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง และยังฝึกกระบี่อีกด้วย แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิที่เชี่ยวชาญ ‘พลังกระบี่’ แต่เนื่องจากเขาอายุ 47 ปี ดังนั้นความหวังที่จะกลายเป็นเทพอสูรจึงลดน้อยลงไปทุกที!
“ลุงเมิ่ง” หลิ่วชีเยว่เดินเข้ามาหา
“วันที่สามเดือนสาม คืองานชุมนุมสังหารอสูรวังหยกสุริยัน ชีเยว่คือนักธนู ดังนั้นสำนักตะวันฉานจึงมอบสิทธินี้ให้กับนางแน่นอน” เมิ่งต้าเจียงกล่าว หลิ่วชีเยว่พยักหน้า เมิ่งต้าเจียงหันไปมองบุตรชายตัวเอง “ชวนเอ๋อ แล้วเจ้าล่ะ สำนักกระจกทะเลสาบมอบสิทธินี้ให้กับระดับชำระแก่นแท้แค่สามคน เจ้าคิดว่าตัวเองมีโอกาสจะได้ไปไหม?”
“ไม่” เมิ่งชวนรู้จักตัวเองดี เขากล่าวต่อไปว่า “ศิษย์สิบอันดับแรกของสำนักกระจกทะเลสาบของข้าล้วนอยู่ระดับชำระแก่นแท้ ช่องว่างของพวกเราไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ข้าหวังว่าจะสามารถแย่งชิงสิทธิได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะล้มเหลว แต่ถ้าหากข้าสามารถตระหนักรู้ทักษะลับของวิชากระบี่ใบไม้ร่วง ถ้าอย่างนั้นคงพอมีโอกาสบ้าง แต่น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตระหนักรู้ได้ ท่านพ่อ ท่านมีเคล็ดลับอะไรในการตระหนักรู้ทักษะลับไหม?”
“ฮาฮา เจ้าสำนักของพวกเจ้าเป็นถึงปรมาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงเชียวนะ เขาควรที่จะเป็นผู้สอนเจ้า” เมิ่งต้าเจียงหัวเราะ “สำหรับทักษะลับ ข้าคิดว่าขอเพียงแค่ฝึกให้มากขึ้น ฝึกให้หนักขึ้น บางทีก็อาจจะตระหนักรู้ได้”
เมิ่งต้าเจียงก็ไม่รู้เช่นกัน
ไม่มีเคล็ดลับอะไรทั้งนั้น
“อย่าคิดมากเลย รุ่นเยาว์ระดับชำระแก่นแท้ทั้งเมืองตงหนิงนั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถตระหนักรู้ทักษะลับได้สักคน” เมิ่งต้าเจียงกล่าวยิ้มๆว่า “บิดาเจ้าที่ถือว่าเป็นรุ่นเยาว์ตระกูลเมิ่งที่โดดเด่นที่สุดของรุ่น ก็มาตระหนักรู้ทักษะลับตอนอายุสิบเก้า”
“แต่ในตำนานบอกว่า บรรพบุรุษตระกูลจางสามารถตระหนักรู้ทักษะลับตอนอายุ 13 ปี และวิชากระบี่ได้บรรลุขั้นหนึ่งเดียว” เมิ่งชวนแย้งขึ้นมา
“บรรพบุรุษตระกูลจาง เป็นเพียงคนเดียวในรอบร้อยปีของเมืองตงหนิงที่สามารถขึ้นเขาหยวนชูได้ ดังนั้นตระกูลจางจึงกลายมาเป็นผู้นำของตระกูลเทพอสูรทั้งห้า” เมิ่งต้าเจียงพูดเสริมว่า “เจ้าอย่าได้รีบร้อนไป เมื่อห้าร้อยปีก่อนบรรพบุรุษอวี๋ซานของตระกูลเรา ก็สามารถตระหนักรู้ทักษะลับเมื่อตอนอายุสิบแปดปี ไม่ใช่ว่าสุดท้ายเขาก็ได้เป็นเทพอสูรตอนแปดสิบรึ? คนมีความสามารถต้องใช้เวลาจึงจะประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุดก็ได้เป็นเทพอสูร”
เมิ่งชวนย่อมรู้ดี
ตอนยังเล็ก มารดามักจะเล่านิทานเกี่ยวกับการเติบโตของเทพอสูรให้ตัวเองฟังมากมาย และตัวเขาเองก็คอยรบเร้าให้บิดามารดาเล่านิทานให้ฟังอยู่บ่อยๆ!
นอกจากวาดรูปแล้ว การฟังนิทานเกี่ยวกับเทพอสูรก็เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุด
บิดาจะซื้อชีวประวัติของเทพอสูรที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มามากมาย แล้วอ่านให้เขาฟัง
“ท่านแม่ สักวันหนึ่ง ข้าจะกลายเป็นเทพอสูรให้ได้” เมิ่งชวนคิดในใจอย่างแน่วแน่
……
บ่ายวันนั้น เมิ่งชวนได้มาที่สำนักกระจกทะเลสาบ เพราะมีคาบเรียนวิชากระบี่ที่เจ้าสำนักจะเป็นผู้สอนด้วยตัวเอง ในฐานะเจ้าสำนัก ในห้าวันเขาสามารถสอนแค่คาบเดียว
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงคาบเรียนในตอนเช้าก็จบลง
“ยังทะลวงไม่ได้สินะ”
“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ทักษะกระบี่ของข้าจะทะลวงไปขั้นหนึ่งเดียวได้” เมิ่งชวนถอนหายใจขณะเดินอยู่ในสำนัก ช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาเอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับ ‘ทักษะลับกระบี่ใบไม้ร่วง’ แทบจะทุกวัน จนใกล้จะเป็นบ้าอยู่แล้ว
เมื่อเดินมาถึงพื้นที่โล่งกว้าง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นมา
เมิ่งชวนหันไปมองตามต้นเสียง
อาจารย์หม่าของสำนัก กำลังก่นด่าเหล่าลูกศิษย์อย่างโมโหจนน้ำลายกระเด็นเป็นฝอย
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา พวกเจ้าเข้าใจไหม?” อาจารย์หม่ากล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าต้องการให้พวกเจ้าเรียนรู้แต่สิ่งดีๆ ไม่ต้องไปเรียนรู้สิ่งแย่ๆ เรียนรู้แต่สิ่งแย่ๆ…มีแต่จะทำให้เจ้าตกต่ำลง! หากการบ่มเพาะของพวกเจ้าไปไม่ถึงชำระแก่นแท้ ชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกต่อไป แต่ถ้าหากขึ้นไปถึงระดับชำระแก่นแท้ได้ พออายุยี่สิบที่ต้องรับราชการเป็นทหาร และต้องออกไปสังหารพวกอสูร หากมิเสียหยาดเหงื่อในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าอาจจะต้องเสียโลหิต กระทั่งชีวิตก็อาจจะสูญสิ้น คนที่ไปรับราชการทหารและสามารถรอดชีวิตมาได้ก็มีไม่ถึงครึ่ง! พวกเจ้าหวังจะตายในสนามรบ หรือรอดชีวิตกลับมา?”
“ดูเมิ่งชวนจากตระกูลเมิ่งสิ อายุสิบสามปีก็สำเร็จวิชากระบี่ใบไม้ร่วง และได้เข้าตึกขุนเขาธาราของสำนักกระจกทะเลสาบ และได้รับการสั่งสอนจากเจ้าสำนักโดยตรง! การสำเร็จวิชากระบี่นั้น ไม่มีทางลัดใดใดทั้งสิ้น มีแค่ต้องเรียนรู้ให้หนัก ข้าได้ยินมาว่าเมิ่งชวนฝึกหนักในทุกๆวันทุกๆเวลา แล้วพวกเจ้าล่ะ ได้มองดูตัวเองบ้างไหม?”
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา เรียนรู้จากเมิ่งชวนให้มากๆ เข้าใจไหม?”
อาจารย์หม่าดุเสียงดัง ทำให้เหล่าลูกศิษย์ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ขณะที่กำลังสั่งสอนอยู่นั้น อาจารย์หม่าก็เหลือบไปเห็นเมิ่งชวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาพยักหน้าให้พร้อมยิ้มออกมา แต่ทว่าดวงตาของเมิ่งชวนกลับเป็นประกายขึ้นมา เขาเร่งรุดกลับไปที่จวนของตัวเองทันที
เมื่อกลับมาถึงจวน เมิ่งชวนก็ตรงไปที่ห้องหนังสือทันที
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา ต้องเรียน ข้าจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้มากขึ้น!” เมิ่งชวนพูดกับตัวเอง ดวงตาเปล่งประกายขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความตื่นเต้นที่ทวีเพิ่มมากขึ้น “ต้องเรียนรู้จากเหล่าเทพอสูรที่แข็งแกร่ง! ข้าจะต้องเรียนรู้จากผู้ที่แข็งแกร่งในประวัติศาสตร์ ข้าต้องเรียนรู้จากพวกเขา!”
“ยอดฝีมือไร้พ่ายล้วนทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ หลายคนได้กลับสู่เถ้าธุลีดินไปแล้ว แต่ชีวประวัติของพวกเขากลับยังคงได้รับการกล่าวขาน ไม่ว่าจะผ่านไปเป็นพันปีหรือหมื่นปีก็ยังได้รับการกล่าวขาน!”
“ชีวประวัติพวกเขา ก็คือบันทึกของพวกเขา”
เมิ่งชวนเงยหน้ามองกองหนังสือเหล่านั้น “ตอนที่ข้ายังเด็ก ท่านพ่อท่านแม่ได้ซื้อชีวประวัติของเทพอสูรมาให้ข้ามากมาย”
ขณะพูดก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
เปิดหนังสืออ่าน
เล่มนี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของเทพอสูรนาม ‘เติ้งฟง’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัย ในชีวประวัติได้บันทึกเรื่องราวของเติ้งฟง เขาเติบโตมาจากหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ บิดาที่เป็นสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวได้สอนวิชา ‘ชักกระบี่’ ให้เขา ก็มาตายจากไป ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตลำพังในหุบเขาลึก กับวิชาชักกระบี่…ทุกวันเขาจะใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการฝึกชักกระบี่หมื่นครั้ง และไม่เคยเรียนวิชากระบี่อย่างอื่นเลย
เด็กกำพร้าที่อยู่ตามลำพังในหุบเขาลึก ทุกวันฝึกชักกระบี่ห้าหมื่นครั้งภายในสี่ชั่วโมง เป็นเวลายี่สิบปี
เขาออกจากหุบเขาลึก เข้าสู่สังคมมนุษย์อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ด้วยพลังระดับชำระแก่นแท้ และวิชาชักกระบี่…เขาสามารถสังหารยอดฝีมือที่อยู่ระดับไร้ตำหนิได้อย่างง่ายดาย ทักษะดาบของเขาขึ้นไปถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อแล้ว เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เขาก็ได้รับคัดเลือกเข้า ‘เขาหยวนชู’ ทันที และกลายเป็นศิษย์เขาหยวนชู ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้เดินบนเส้นทางสู่เทพอสูร
……
หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างยาว และได้บันทึกการกระทำหลายอย่างของเติ้งฟงหลังจากที่ได้กลายเป็นเทพอสูร ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่เคารพและชื่นชมของคนรุ่นหลัง
สำหรับการฝึกฝนนั้นมีบันทึกน้อยมาก เพียงแค่เขียนว่า ‘ทุกวันเขาจะใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการฝึกชักกระบี่หมื่นครั้ง เป็นเวลายี่สิบปี’
แต่สำหรับเมิ่งชวนแล้ว ประโยคนี้มีความหมายสำคัญสำหรับเขามาก
“ยอดฝีมือคนนี้ มีพัฒนาการทักษะดาบที่ค่อนข้างช้า แต่เขาก็ทุ่มเวลาไปกับการฝึกชักกระบี่ห้าหมื่นครั้ง” เมิ่งชวนขมวดคิ้ว “เขาใช้เวลาสี่ชั่วโมงทุกวันในการฝึก นี่อธิบายได้ว่าทุกครั้งที่จะฟันกระบี่ออกไปล้วนสะสมกำลัง และใช้จิตใจอย่างมาก จากนั้นก็ชักดาบออกมา! ทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า…สะสมกำลังแล้วระเบิดออกมาในครั้งเดียว ทำแบบนี้ห้าหมื่นครั้ง จึงใช้เวลาไปสี่ชั่วโมง”
“ใช้จิตใจ? ฝึกแค่ท่าเดียว? ฝึกหลายครั้ง?”
เมิ่งชวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือแล้วหยิบพู่กันมาจดไว้ จากนั้นก็พลิกชีวประวัติของเทพอสูรอีกคนแล้วอ่าน
เขาจำเป็นต้องค้นหา ‘จุดร่วมที่เหมือนกัน’ ของเหล่าเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่จากชีวประวัติของพวกเขา
ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา
ต้องเรียนรู้…จากบุคคลที่แข็งแกร่ง!
เรียนรู้จากเหล่าเทพอสูรไร้พ่ายในประวัติศาสตร์!
“อาเฉียน” เมิ่งชวนหันไปเรียกคนที่อยู่ด้านนอก
“นายน้อยขอรับ” เสียงตะโกนที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นมา
“ท่านพาคนไปกับท่านสองคน ซื้อชีวประวัติของเหล่าเทพอสูรในเมือง! นอกจากนี้คำขวัญประจำตระกูลของตระกูลเทพอสูรก็ต้องนำมาให้ข้าด้วย เร็วที่สุด!” เมิ่งชวนสั่งการ
“ขอรับ ข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้” อาเฉียนตอบรับอย่างรวดเร็ว