ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 69
‘เขาสังหารแม่ทัพอสูรได้อย่างไร?’
เมิ่งชวนรู้สึกอึดอัดใจ ย่าทวดของเขาได้สั่งให้เก็บช่องว่างแห่งจิตไว้เป็นความลับจนกว่าเขาจะรู้ว่ามันคืออะไรหลังจากเข้าไปในเขาหยวนชูแล้ว
“ท่านขุนนาง” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “ตอนที่ข้าไปถึงสำนักเต๋าเพลิงตะวัน พวกอสูรก็ได้โจมตีป้อมเพลิงตะวันแล้ว ชีเยว่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าอยากจะช่วยเธอ ข้าจึงไม่ได้คิดอะไรอีกและพยายามจะหยุดพวกมันทั้งสอง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายของข้าจะปลดปล่อยพลังอันน่าเหลือเชื่อในสถานการณ์เช่นนั้นได้ วิชากระบี่ของข้ารุนแรงขึ้นและทำให้ข้าสามารถสังหารแม่ทัพอสูรได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว และแม่ทัพอสูรตนที่สองก็ตกตายตามไป”
“ความต้องการที่จะช่วยหลิวชีเยว่งั้นรึ?” ขุนนางเมฆาใต้นึกขึ้นได้ เขาพยักหน้าและยิ้ม “ดูเหมือนว่าหลิวชีเยว่จะสำคัญสำหรับเจ้ามาก สามารถกระตุ้นให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้”
ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ความแข็งแกร่งคนเรามักจะพุ่งสูงขึ้น
เพื่อคนสำคัญที่สุด คนเราสามารถปลดปล่อยพลังอันมหาศาลได้ เรื่องแบบนี้เคยมีมาก่อนในอดีต แต่ว่ามีน้อยนิด อันที่จริงแล้ว ในประวัติศาสตร์ เคยมีเทพอสูรที่กระตุ้นพลังให้ปะทุได้ขึ้นมาถึงสิบเท่าในสถานการณ์คับขัน จนทำให้สามารถสังหารศัตรูได้ แต่ว่าจากนั้นไม่นาน เขาก็ต้องตายจากการที่ทั่วทั้งร่างฉีกขาด!
เทพอสูรระดับสูงๆนั้นสามารถปลดปล่อยพลังอย่างสุดกำลังได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเองแม้แต่น้อย แต่สำหรับผู้ที่ปลดปล่อยพลังออกมาหลายสิบเท่าในช่วงเวลาวิกฤตินั้น ส่วนมากมักจะจบลงที่ร่างกายรับไม่ไหว ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ ความเสียหายก็มากขึ้นเท่านั้น การตายเพราะร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
แน่นอนว่า…
เป็นเรื่องยากที่คนๆหนึ่งจะปลดปล่อยพลังได้สูงขึ้นหลายเท่า มันต้องมีสิ่งกระตุ้นอยู่หลายอย่าง บางคนเมื่อต้องเจอกับความตายตรงหน้ากลับเพิ่มพลังไม่ได้ ไม่ว่าจะโจมตีไปอย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ตาม อย่างคราวเมิ่งชวนถูกราชาอสูรบึงพิษไล่ตาม ไม่ว่าใจของเขาอยากจะมีชีวิตรอดแค่ไหนก็ตาม แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับเพิ่มขึ้นเพียงสองส่วนเท่านั้น
หรืออย่างจอมยุทธที่แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจากปกติจะทำได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต หากพวกเขาต้องเจอกับสถานการณ์คับขันอีก พวกเขาก็จะไม่สามารถระเบิดพลังอันแข็งแกร่งอย่างนั้นอีกได้
มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น!
“ชีเยว่และเมิ่งชวนเติบโตมาด้วยกัน” เมิ่งต้าเจียงอธิบายต่อพร้อมกับหัวเราะ “สิ่งที่เจ้าเด็กนี่คิดเป็นอย่างแรกหลังจากการบุกของอสูรนั้นคือช่วยชีเยว่”
“อย่างนี้เอง” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “แม้ว่าเจ้าจะยังไม่เข้าถึง “จิตกระบี่” แต่อสูรหลายตัวก็เห็นว่าเจ้าสังหารผู้บัญชาการอสูรไปได้ถึงสองตน นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าซ่อนไม่ได้แน่! หากพวกอสูรรู้เรื่องนั้นขึ้นมา พวกมันอาจจะส่งอสูรฟ้ามาสังหารเจ้าได้”
“มันจะส่งอสูรฟ้าจะมาลอบสังหารรึ?” เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงรู้สึกกดดัน
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
ในระบบการฝึกฝนที่เหล่าอสูรสร้างขึ้นสำหรับผู้ทรยศมนุษย์ชาติ อสูรฟ้านั้นเทียบได้กับราชาอสูรและเทพอสูร
“เจ้าต้องการจะเข้าร่วมการทดสอบของเขาหยวนชูใช่ไหม?” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว
“ข้าจะเข้าร่วมในปีนี้ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
“เขาหยวนชูจะส่งคนมารับหลิวชีเยว่” ขุนนางเมฆาใต้กล่าว “เมื่อถึงเวลา เจ้าสามารถไปกับพวกเขาได้ เจ้าไปอยู่ที่เมืองหยวนชูได้พักหนึ่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องอันตรายเมื่อเจ้าอยู่ที่นั่น”
“เมืองหยวนชู?” เมิ่งชวนและพ่อของเขามองหน้ากัน
เมืองที่เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัยที่สุดในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่เมืองหลวง แต่เป็นเมืองหยวนชู
เมืองหยวนชูตั้งอยู่ที่เชิงเขาหยวนชู มีเทพอสูรจำนวนมากย้ายคนใกล้ชิดไปอยู่ในเมืองนั้น มีแม้แต่เทพอสูรผู้ทรงพลังอาศัยอยู่ในเมืองด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเขาหยวนชูได้ด้วยซ้ำหากเกิดสถานการณ์คับขัน
นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเมืองหยวนชูถึงเป็นเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ ในแปดร้อยปีที่ผ่านมานี้ เมืองนี้ได้กลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด
“ได้ขอรับ ข้าจะไปที่เมืองหยวนชู” เมิ่งชวนพยักหน้า
“ข้าไปกับเขาได้ไหม” เมิ่งต้าเจียงถาม
“ได้สิ” ขุนนางเมฆาใต้พยักหน้า “แต่เจ้าพาคนอื่นมาไม่ได้อีก”
เป็นเรื่องปกติที่คนในตระกูลจะตามมา ทุกๆปี อัจฉริยะที่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกของเขาหยวนชูจะนำสมาชิกในตระกูลมาด้วย
แน่นอนว่า หากเขาหยวนชูยอมรับ ครอบครัวพวกเขาก็ต้องกลับบ้านกันไป
หลังจากพ่อลูกเมิ่งจากไป ขุนนางเมฆาใต้ก็ส่ายหัวเล็กน้อย ‘พอมาคิดว่ามันเป็นแค่ความแข็งแกร่งชั่ววูบ ข้าคิดว่าแคว้นอู๋ของพวกเราจะมียอดอัจฉริยะที่เข้าถึง “จิตกระบี่” ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเกิดขึ้นมาแล้วเสียอีก ข้าคิดมากเกินไป’ เขาดูจะผิดหวังเล็กๆ
อัจฉริยะที่มีสายเลือดวิหคเพลิงนั้นความสำคัญมาก แต่ยอดอัจฉริยะที่เข้าถึง “จิตกระบี่” ตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดนั้นสำคัญยิ่งกว่า เพราะยอดอัจฉริยะเช่นนี้จะกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลังอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่มันหายากเกินไป
…
ณ ตระกูลหวิน โถงใต้ดิน
หวินว่านไห่นั่งขัดสมาธิ ร่างของเขาถูกล้อมรอบไปด้วยเปลวไฟสีม่วงที่หมุนวนและผิวของเขาก็เป็นสีแดงก่ำ เทพอสูรนั้นมีพลังชีวิตที่มากมาย เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนเกือบจะเสียชีวิต แต่หลังจากพักผ่อนเพียงสี่ชั่วโมงก็ทำให้อาการเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ” หวินฟู่เฉิงพร้อมกับพี่น้องของเขายืนอยู่ต่อหน้าหวินว่านไห่
“ข้าเรียกเจ้ามาเพราะข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า” หวินว่านไห่กล่าว “ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการรุกรานของอสูร ถ้าไม่ใช่เพราะการปกป้องของเมิ่งเซียนกูข้าคงตายไปแล้ว”
ใจของลูกๆเขาแน่นขึ้น
“ข้ารอดชีวิตมาได้” หวินว่านไห่กล่าว “ขุนนางเมฆาใต้ช่วยข้ากำจัดพลังอสูรในร่าง แต่พลังอสูรได้ทำให้รากฐานของข้าเสียหาย หากข้าต้องการ ข้าก็จะมีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพชไปได้อีกยี่สิบปี แต่ข้าไม่คิดอยากจะทำเช่นนั้นหรอก เพราะฉะนั้น ข้า หวินว่านไห่…จะพักฟื้นต่อไปในเมืองตงหนิงเป็นเวลาสิบปี ในสิบปีนี้ข้าจะดูแลลูกๆหลานๆในตระกูลของเราให้ดี และข้าจะแลกแต้มของข้าเพื่อสมบัติด้วยเช่นกัน ส่วนอีกสิบปีให้หลังนั้น ข้าจะมุ่งสู่สนามรบ”
ลูกๆของเขาเริ่มตื่นตระหนก
“ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของท่านร้ายแรงมาก ถึงท่านจะไม่ออกรบ เขาหยวนชูก็ไม่ตำหนิท่านหรอก”
“ท่านพ่อ ท่านได้ทำสิ่งดีๆด้วยการปกป้องเมืองตงหนิงมาแล้วไม่ใช่หรือ?” หวินฟู่อันและหวินฟู่หยูรีบพูด
หวินว่านไห่ขมวดคิ้วจ้องมองไปที่ลูกๆของเขา และพูดอย่างเย็นชา “ที่ตายของข้า หวินว่านไห่ คือสนามรบ! แม้ข้าจะต้องตาย แต่ข้าจะลากราชาอสูรให้ตกตายตามข้าไปด้วย!”
ลูกๆของเขาไม่กล้าแม้แต่จะพูด
“ข้าได้รับแต้มมาบ้างจากการปกป้องเมืองตงหนิง และอย่างที่ข้าได้บอกไปแล้ว แต้มทั้งหมดที่ข้าสะสมมาในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจะถูกแลกเป็นสมบัติสำหรับตระกูลของเราทั้งหมด ข้าฝากมันไว้ให้พวกเจ้าด้วย หวังว่าในสิบปีนี้ ตระกูลของเราจะกำเนิดผู้มีพรสวรรค์มาบ้าง” หวินว่านไห่ถอนหายใจ “ในตอนนี้ ข้ารู้สึกอิจฉาเมิ่งเซียนกูเสียด้วยซ้ำ เอาล่ะ พวกเจ้าไปกันได้แล้ว”
“ขอรับ” ลูกๆของเขาทำได้แค่ออกไปอย่างว่าง่าย
…
หวินฟู่อันนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้ามืดมน เรื่องที่ได้ยินมานั้นมันกะทันหันเกินไป ในใจของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นมัว
“ฟู่อัน” หวินฟู่เฉิงเดินเข้ามา
“ท่านพี่” หวินฟู่อันลุกขึ้นต้อนรับเขาทันที
“ข้าเพิ่งได้รับข่าว” หวินฟู่เฉิงกล่าว “เขาหยวนชูส่งคนไปที่เมืองตงหนิงและจะพาหลิวชีเยว่ เมิ่งชวน และเหยียนจินไปในวันนี้ หลิวชีเยว่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรง ส่วนเมิ่งชวนและเหยียนจินนั้นดูท่าว่าจะอยู่ที่เมืองหยวนชูและรอการสอบเข้าเขาหยวนชูในปีนี้”
“พวกเขาจะไปกันวันนี้แล้วอย่างนั้นหรือ?” หวินฟู่อันประหลาดใจ
“ใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่วังหยกสุริยันไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าเชื่อว่าตระกูลเทพอสูรอื่นๆก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน”
หวินฟู่เฉิงพยักหน้า “หากเป็นหลิวชีเยว่หรือเหยียนจินก็ไม่เป็นไร พวกเขาเป็นชาวต่างถิ่น หากพวกนั้นกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็จะไม่กลับมาที่เมืองตงหนิง แต่เมิ่งชวนนั้นต่างออกไป ไม่มีทางที่คนนับหมื่นของตระกูลเมิ่งจะย้ายที่ด้วย และด้วยพรสวรรค์ของเขาที่เพียงพอที่จะสังหารแม่ทัพอสูรได้ เขาอาจจะผ่านการประเมินและเข้าสู่เขาหยวนชูได้ อิทธิพลของตระกูลเมิ่งในเมืองตงหนิงจะยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
เปลือกตาของหวินฟู่อันกระตุกไม่หยุด
“ในตอนนั้น การถอนหมั้นมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเราแย่ลง อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นั้นสามารถปรับปรุงได้” หวินฟู่เฉิงกล่าว “คราวนี้ ท่านพ่อและเมิ่งเซียนกูสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน มันเป็นมิตรภาพที่ก่อเกิดจากสหายร่วมรบ เมิ่งเซียนกูถึงกับปกป้องท่านพ่อไว้ด้วยซ้ำ เราควรไปเยี่ยมเยียนและขอบคุณพวกเขา… เราควรไปขอบคุณเมิ่งเซียนกูที่ช่วยเหลือพ่อของเรา”
“มันเป็นการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ข้าว่าท่านพ่อช่วยเมิ่งเซียนกูไว้ใช่ไหม?” หวินฟู่อันกระซิบ
“มันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น! ข้ออ้างเพื่อไปเยี่ยมเยียน” หวินฟู่เฉิงขมวดคิ้วและตำหนิ “นอกจากนี้ท่านพ่อยังบอกว่าเมิ่งเซียนกูช่วยชีวิตเขาไว้ ในฐานะลูกชาย เราต้องไปเยี่ยมเยียนพวกเขาและขอบคุณ นอกจากนี้ เราต้องเตรียมของขวัญไปด้วย ประการแรกเป็นของขวัญสำหรับการขอโทษ ประการที่สองเป็นของขวัญยินดีสำหรับที่เมิ่งชวนได้เข้าสู่เขาหยวนชู แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจะไม่สามารถคืนดีกันได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราต้องไม่กลายเป็นศัตรูกัน ของขวัญเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวไปที่จวนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งพร้อมกับข้า”
“ข้าก็ต้องไปด้วยรึ?” หวินฟู่อันถาม
“เจ้าเป็นคนถอนการหมั้น แน่นอนว่าเจ้าต้องไป” หวินฟู่เฉิงพูดเรียบๆ
“ก็ได้” หวินฟู่อันทำได้เพียงพยักหน้าตอบกลับแต่โดยดี แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจ แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อใดควรยอมโค้งคำนับ
…
ณ จวนบรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง
ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากเมืองตงหนิงในวันนี้ เมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียงมาอำลาคนในตระกูลพวกเขา
และในตอนนี้ ตระกูลเทพอสูรอีกสี่ตระกูลของเมืองตงหนิงก็ส่งคนมาแสดงความเคารพด้วยเช่นกัน หลังจากแสดงความเคารพแก่ผู้อาวุโสตระกูลเมิ่งที่ตายไปในสนามรบ พวกเขาก็ไปพบกับเมิ่งชวนและเมิ่งต้าเจียง