ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 76
ตอนที่ 76 ตาเมิ่งชวน
เมิ่งชวนเองก็ประทับใจฉู่หยงเช่นกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขามีชื่อเสียงมากขนาดนี้ เพราะเขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ!
หลังจากที่ฉู่หยงฟันเสร็จ เขาก็เก็บกระบี่เข้าฝักไปอย่างใจเย็นและหันหลังเดินออกไป คนถัดไปเดินขึ้นมาและทำลายกำแพงแสงได้32ชั้น
เหล่าอัจฉริยะลงมือกันทีละคน แต่ละคนให้ความสนใจมากว่าเมื่อไหร่จะเป็นตาของพวกเขา
“ต่อไป หยานเฟิงจากแคว้นหยวน” ชายเคราแพะตะโกน
ไม่มีใครที่นี่ให้ความสนใจเขาซักเท่าไหร่นัก
หยานเฟิงสูงและหล่อ เขามีคิ้วสีแดงเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าจะเป็นผู้ชาย แต่เขากลับมีชื่อที่เหมือนกับหญิงสาว เพราะ “เฟิง” นั้นแปลว่าวิหคเพลิง
เขากระชับหอกสีดำและพู่สีแดงตรงปลายหอกก็สะบัด
“พังซะ!” หยานเฟิงพุ่งไปด้านหน้าทันที และหลังจากก้าวไปสามก้าว เขาก็แทงหอกออกไป
หอกพุ่งทะลวงออกไปราวกับมังกร! มันพุ่งผ่านกำแพงแสงไปก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ ผลลัพท์ของเขาเลยที่ได้จึงใกล้เคียงกับฉู่หยงมาก ทุกคนที่ได้เห็นต่างตกใจ
“182 ชั้น!” ชายเคราแพะตะโกนเสียงสูงขณะที่มองดูชายหนุ่มคิ้วแดง
“หยานเฟิง?”
“หยานเฟิงจากแคว้นหยวนรึ? หมอนี่มาจากไหนกัน? ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้”
“อัจฉริยะกว่า 70 คนโจมตีใส่กำแพงแสงนั่น แต่มีเพียงสองคนคือฉู่หยงและหยานเฟิงเท่านั้นที่สามารถทำลายกำแพงแสงได้เกินร้อย มากสุดก็191 ชั้น รองลงมาก็ 182 ชั้น พวกเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆจริงๆ” หลายๆคนพูดไม่ออก
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
แม้แต่เทพอสูรก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ
“พี่กงซุน แคว้นหยวนของเจ้าเก็บความลับเก่งเสียจริงนะ เพราะไม่ค่อยมีข้อมูลของหยานเฟิงที่เขาหยวนชูมากซักเท่าไหร่ ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะธรรมดาเสียนี่” เทพอสูรกล่าวพร้อมกับหัวเราะขณะที่มองไปที่บันทึก เมื่อพวกเขามาดูการแข่งขันนั้น พวกเขาก็จะได้บันทึกมาด้วย และบันทึกนั่นก็บันทึกข้อมูลของอัจฉริยะทุกคนที่มีอยู่เอาไว้
“ข้าไม่รู้จริงๆนะนี่” กงซุนชี่หัวเราะเช่นกัน “เจ้าอาจจะไม่เชื่อข้า แต่หยานเฟิงมาจากตระกูลมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่จากตระกูลเทพอสูร เมื่อเขาอายุสิบสอง บ้านเกิดของเขาถูกอสูรบุกทำลาย พ่อแม่เขาตาย จากนั้นเขาก็ท่องไปทั่วโลก…และปีนี้เขาก็อายุสิบเก้า เมื่อกลับไปที่บ้านเกิดเขาก็แสดงพลังและมาเข้าร่วมการสอบเข้าของเขาหยวนชูปีนี้”
“มนุษย์จากตระกูลธรรมดาจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? ร่างเทพอสูรของเขาเทียบได้กับฉู่หยงด้วยซ้ำ ตระกูฉู่ใช้สมบัติถึงแปดอย่างเลยนะที่ชุบเลี้ยงฉู่หยงขึ้นมา”
ต่างคนต่างพูดคุยกัน
ขุนนางเมฆาใต้หัวเราะ “ข้าจำได้ว่าเมื่อ 3000 ปีก่อน เทพอสูรเกาเฉิงเคยกินหญ้าอมตะเข้าไปตอนยังเด็ก จากนั้นคิ้วของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด คิ้วของหยานเฟิงเองก็เป็นสีแดงเลือดเหมือนกัน เป็นไปได้ไหมว่าเขาได้กินหญ้าอมตะด้วย?”
“หญ้าอมตะ? แค่หญ้าอมตะเพียงหยิบมือก็สามารถเสริมให้รากฐานเทพอสูรที่ไม่สมบูรณ์ให้แข็งแกร่งได้แล้ว” ราชาตงเหอพยักหน้า
“การที่มนุษย์ธรรมดากินหญ้าอมตะเข้าไปเฉยๆนั้นค่อนข้างจะเปล่าประโยชน์เลย ผลลัพท์ของมันแสดงออกมาได้เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น”
“แต่การโจมตีของหยานเฟิงนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เด็กคนนี้ไปถึงจุดสูงสุดของ”พลังหอก”แล้ว อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจาก “สำนึกหอก” เพียงไม่กี่ก้าวอีกด้วย ไม่เป็นการสูญเปล่าหรอกที่เขาได้กินหญ้าอมตะเข้าไป” เทพอสูรที่ทรงพลังเหล่านี้พูดคุยกันอย่างสบายๆ พวกเขาส่วนมากต่างเป็นเทพอสูรระดับขุนนาง พวกเขามาที่นี่เพียงเพราะพวกเขาเป็นคนที่ช่วยพาเหล่าอัจฉริยะมาจากแคว้นที่ตนรับผิดชอบ
พวกเขาไม่ค่อยสนใจในอัจฉริยะธรรมดาเท่าไรนัก พวกเขาหวังว่าจะมีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นมาและร่วมสู้ไปพร้อมกับพวกเขาในอนาคต
…
หลังจากหยานเฟิง ก็มีคนอีกเจ็ดคนก่อนในที่สุดจะถึงตาของเมิ่งชวน
“33 ชั้น ต่อไปเมิ่งชวนจากแคว้นอู๋” ชายเคราแพะตะโกน สายตามากมายจับจ้องมาที่เมิ่งชวน
ในสายตาของบางคน เมิ่งชวนเป็นหนึ่งในสิบอันดับของคนที่สอบเข้าปีนี้เลยด้วยซ้ำ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนต่างรู้จักเขา การสังหารแม่ทัพอสูรด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวสองตนติดต่อกัน
ขุนนางเมฆาใต้นั่งดูไกลๆ
‘ชวนเอ๋อร์’ เมิิ่งต้าเจียงนั่งมองอย่างเป็นกังวล
เมิ่งชวนเดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็น
นี่เป็นการสอบเข้าเขาหยวนชู ดังนั้นเขาควรจะต้องใส่แรงเต็มที่ นอกจากการใช้พลังแห่งวิญญาณ เขาจะโจมตีใส่เต็มแรง
‘ข้ารอมาสิบสองปีสำหรับวันนี้’ เพียงชั่วพริบตา ร่างกายและจิตใจของเขาก็เป็นหนึ่ง
เขาผลักดันขีดจำกัดของเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้สายปราณของเขามีความยืดหยุ่นและกว้างขวาง ปราณของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสิบห้าเท่าของปกติในทันที หลังจากที่ “พลังกระบี่” รวมเข้ากับปราณของเขา เขาก็ใช้วิชาลับนิดหน่อยเพื่อใช้อัสนีห้าโลกา สายฟ้าเริ่มพันรอบตัวเขาและค่อยๆหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ฟุบ
ลำแสงกระบี่สีฟ้าพุ่งออกมาและฟันผ่านกำแพงแสง จากนั้นลำแสงกระบี่ก็หายไปก่อนที่เขาจะเก็บกระบี่เข้าฝัก การชักกระบี่และเก็บกลับไปอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนเขาไม่ได้ขยับตัวด้วยซ้ำ
‘พละกำลังไม่ใช่จุดแข็งของข้าจริงๆ’ เมิ่งชวนถอนหายใจและหันหลังกลับไป
“79 ชั้น ต่อไปฉีเฉาจากเมืองหยวนชู” ชายเคราแพะตะโกน อัจฉริยะคนใหม่เดินเข้ามาโจมตี
เทพอสูรต่างก็งุนงงขณะที่เปิดผ่านแผ่นข้อมูล
“แค่ 79 ชั้นเองรึ? พี่เมฆาใต้ ไม่ใช่ว่าเขาสังหารแม่ทัพอสูรได้ในการฟันเพียงครั้งเดียวอย่างนั้นรึ? อีกทั้งยังสังหารมันติดกันถึงสองตน เขาทำเช่นนั้นได้ด้วยพละกำลังเพียงเท่านั้นรึ?” เทพอสูรคนหนึ่งถาม
“แม่ทัพอสูรมีร่างกายที่แข็งแกร่ง และแม้วิชากระบี่ของเมิ่งชวนจะไม่ได้แย่ในหมู่อัจฉริยะ แต่หากจะสังหารแม่ทัพอสูร คงจะต้องฟันเป็นสิบกว่าที แต่เพียงครั้งเดียวนี่? ข้าว่าเขาไม่น่าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำอย่างนั้นได้”
พวกเขามีสายตาที่เฉียบคม
“ที่เขาสังหารแม่ทัพอสูรสองตัวติดกันได้นั้นก็เพื่อจะช่วยหลิวชีเยว่”ขุนนางเมฆาใต้ยิ้ม”ปกติเขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น”
“อย่างนี้นี่เอง”
“เขาแข็งกแกร่งขึ้นในขณะที่ช่วยคนอื่นอย่างนั้นรึ?” เทพอสูรคนอื่นๆค่อนข้างผิดหวัง พวกเขาอยากจะได้อัจฉริยะที่แข็งแกร่งในหมู่อัจฉริยะสามร้อยกว่าคนนี้ เมิ่งชวนนั้น เป็นหนึ่งในนั้น แต่กลับอ่อนแอกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้
…
ไม่นาน ก็ถึงตาของเหยียนจิน
“26 ชั้น ต่อไปเหยียนจินจากแคว้นอู๋”
“137 ชั้น!” เสียงแหลมดังออกมา เขาเป็นคนที่สามที่ได้เกินร้อยชั้น
เหยียนจินยังได้เยอะกว่าอีก
“เหยียนจิน ไม่เลวเลย เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก” เมิ่งชวนกล่าวผ่านการกระแสเสียง
“แต่ข้าแพ้เจ้าทุกครั้งที่เราประลองกัน” เหยียนจินหน้าบึ้ง และเดินไปต่อท้ายแถว
เมิ่งชวนนั้นพยายามเต็มที่แล้วสำหรับการทดสอบนี้ เพราะไม่ว่ายังไงก็มีหลายคนที่ฝากความหวังไว้กับเขา! เขารู้ว่าจุดแข็งของเขาคือความเร็ว เนื่องจากเขาฝึกร่างเทพอัสนี หากไม่ใช้”พลังแห่งวิญญาณ”พละกำลังของเขาก็จะธรรมดา การที่เขานั้นสามารถฟันผ่ากำแพงแสงได้ถึง 79 ชั้นนั้นก็เป็นการบ่งบอกว่ารากฐานเทพอสูรและ”พลังกระบี่”ของเขานั้นแข็งแกร่ง
ร่างเทพอสูรนั้นมีหลายประเภท บางร่างก็เก่งในด้านเสริมความแข็งแกร่ง บ้างก็ความเร็ว บ้างก็ความอดทน …
เช่นรากฐานเทพอสูรของเหยียนจินนั้นทัดเทียมได้กับเมิ่งชวน วิชากระบี่ของเขาอ่อนแอกว่านิดหน่อย แต่พละกำลังของเขามากกว่า เขาสามารถทำลายไปได้ถึง 137 ชั้น
ท้ายที่สุดแล้ว ยังไงก็ต้องยอมรับข้อเสียที่มาจากการเลือกร่างเทพอัสนี
‘รอบคัดเลือกมีสามส่วน ส่วนที่สองคือการทดสอบความเร็ว หากเป็นเรื่องของความเร็วข้าจะทำได้ดี’ เมิ่งชวนต้องระงับความปรารถนาที่จะปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองเอาไว้
อัจฉริยะแต่ละคนค่อยๆเข้าไปทดสอบ
อัจฉริยะทุกคนมีความเชี่ยวชาญของตัวเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาหยวนชูจึงมีการขีดขั้นต่ำเอาไว้ หากคนๆนั้นสามารถทำลายกำแพงแสงได้เกินยี่สิบชั้น พวกเขาก็จะได้สอบต่อไป
เมื่ออัจฉริยะแต่ละคนเข้าไปทดสอบเรื่อยๆ พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงวิชาของพวกเขาไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกๆคนเริ่มทึ่งใจมากขึ้นไปอีก
และมีอัจฉริยะที่สามารถทำลายได้เกินร้อยชั้นปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถผ่านชั้น 150 ได้ มีคือฉู่หยง หยานเฟิงและ ตงฟาง ตงฟางนั้นทำได้ถึง 185 ชั้นด้วยขวานของเขา เหยียนซื่อท่งที่อายุสิบสามปีซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองหยวนชูก็โจมตีกำแพงแสงเช่นกัน เขาสามรถทำลายได้ถึง 73 ชั้นด้วยหอกของเขา มันช่างน่าทึ่งจริงๆ
“คนสุดท้าย ชี่หยวนถงจากเมืองหยวนชู” ชายเคราแพะตะโกน เขาเป็นอัจฉริยะคนสุดท้ายในการทดสอบรอบแรก
ชี่หยวนถงผอมและตัวเล็ก แต่เขาถือค้อนขนาดใหญ่ไว้ด้วยมือแต่ละข้าง แววตาของเขาเย็นชา
“ก่อนหน้านี้ชี่หยวนถงได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหยวนชู! แต่หลังจากที่เหยียนชื่อท่งได้เข้าถึงพลังตั้งแต่อายุสิบสาม เขาก็ถูกพรากอันดับหนึ่งไป”
“เมื่อสามปีก่อนเขาทำให้ทุกๆคนต่างประหลาดใจแต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย ไม่รู้เลยว่าเขาฝึกวิชาไปถึงขนาดไหนกันนับจากวันนั้น” หลายคนพูดคุยเรื่องเขา เพราะไม่ว่ายังไงเมืองหยวนชูก็เป็นเมืองอันดับหนึ่งในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ การที่ได้เคยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหยวนชูนั้นก็ทำให้เขาดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากแล้ว อีกอย่างเขาเป็นหนึ่งในสิบตัวเต็งของการสอบครั้งนี้ด้วย
ชี่หยวนตงถือค้อนในมือแต่ละข้างด้วยสีหน้าที่เย็นชา จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปและฟาดค้อนลง ในขณะที่เขาโจมตีนั้นร่างกายก็เปล่งแสงสีดำออกมา ค้อนของเขาเปลี่ยนไปเป็นภาพพร่ามัวก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพงแสงนั่น
ชายชุดกระเซอะกระเซิงที่เป็นคนคุมกำแพงแสงนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าในทันที เพียงชั่วอึดใจ กำแพงแสงใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาข้างหลังสองร้อยอันเดิม รวมทั้งหมด 300 ชั้น
ตูม! ค้อนที่ทรงพลังนั่นกระแทกผ่านกำแพงแสงเข้าไป เหลือเพียงแค่อันเดียวที่ยังคงอยู่
ชายเคราแพะอ้าปากค้างก่อนจะหายใจเข้าลึกๆและตะโกนออกมาว่า “299 ชั้น”
ทุกคนเงียบกริบ
คนอื่นๆเองก็อึ้งเช่นกัน 299 ชั้น? มีปีศาจเช่นนี้ในหมู่มนุษย์ด้วยหรือนี่? ส่วนเหล่าเทพอสูรนั้นต่างตาลุกวาวและจ้องไปที่ชี่หยวนตง