ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 88
ตอนที่ 88 จะไปเป็นข้าได้อย่างไรกัน?
เหล่าอัจฉริยะที่อยู่บนแท่นบูชาต่างมีหมอกสีดำซึมเข้าร่างของพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ชี่หยวนถงก็ฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว เขามองดูรอบๆตัว มีเพียงเก้าคนเองเหรอที่ถูกคัดออก? ใจของเขาตกไปอยู่ตาตุ่ม ข้าได้ที่ 92 จากทั้งร้อยคนเหรอ?
เขานั้นทระนงตนมากแค่ไหนกัน?
เขาเคยดูถูกคนรุ่นราวคราวเดียวกันตั้งแต่ยังเด็ก พี่น้องเองก็ไม่สนใจสุงสิงด้วย ครอบครัวของเขาก็เลี้ยงดูด้วยทุกอย่างที่มีด้วยความหวังที่ตระกูลชี่จะได้มีเทพอสูรที่ทรงพลัง
เขานับว่าเมิ่งชวนเป็นคู่แข่งเพียงคนเดียวของเขา แต่ในตอนนี้ เขากลับได้อันดับเกือบท้ายๆของการทดสอบสุดท้ายนี่เลยด้วยซ้ำ
‘จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าของข้าอย่างนั้นเหรอ?’ ชี่หยวนถงมองดูเหล่าอัจฉริยะที่อยู่ด้านบน หลายคนไม่เคยที่จะได้กินสมบัติสมุนไพรหายากเลยด้วยซ้ำ แต่ก่อนเขาไม่เคยจะใส่ใจอะไรกับพวกนั้น แต่ในตอนนี้คนเหล่านั้นกำลังค่อยๆก้าวต่อไป ในขณะที่เขาถูกคัดออกมาแล้ว
…
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
‘ต้องพิจารณาศักยภาพของชี่หยวนถงใหม่โดยสิ้นเชิงเลย ข้าหวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับคนอื่นๆที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง’ นี่เป็นความคิดที่เหล่าเทพอสูรกำลังคิดอยู่
เขาหยวนชูตัดสินค่าของเทพอสูรจากรากฐานที่แข็งแกร่ง ระดับขั้นการฝึกฝนที่สูง และความสามารถในการต่อสู้ที่ดี และพวกเขาเองก็หวังว่าเหล่าอัจฉริยะจะไม่ขาดในเรื่องของจิตใจด้วย
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆล้มลงในขณะที่เดินขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
จู่ๆเทพอสูรก็หัวเราะขึ้นมา เพราะในหมู่อัจฉริยะเหล่านั้น เหยียนชื่อถงได้หยุดอยู่ที่ขั้นที่22 ดวงตาของเขาเองก็เปลี่ยนกลายเป็นสีดำสนิท ราชาทะเลตงเหอยิ้มก่อนจะดึงหยานชื่อถงลงมา
“ราชาทะเลชีไห่ ลูกชายของท่านเองก็ไม่เลว”
“ใช่แล้ว การที่ไปถึงขั้นที่ 22 ของแท่นบูชาแห่งความมืดตั้งแต่อายุสิบสามนั้นยอดเยี่ยมมาก”
“จิตใจของเขายังกำลังเติบโต เขาสุดยอดมากที่ไปถึงขั้นที่ 22 ได้” เหล่าเทพอสูรพูดคุยพร้อมกับรอยยิ้ม
เหยียนซื่อท่งยังเป็นเด็ก อย่างไรก็ตามชี่หยวนถงเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยทั่วไปแล้วจิตใจของผู้ใหญ่จะเติบโตจนสุดแล้ว แต่เขาก็ไปได้ถึงแค่ขั้นที่ 17 นั่นทำให้เทพอสูรหลายๆคนถึงกับใจสลาย
‘ข้าแพ้จริงๆหรือนี่’ เหยียนซื่อท่งกลับมาได้สติ เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคืองในขณะที่จ้องมองไปยังเหล่าอัจฉริยะที่ยังคงอยู่บนแท่นบูชาแห่งความมืด อย่างไรก็ตามเมื่อเขากวาดสายตาไปเห็นชี่หยวนถง เขาก็ยิ้มกริ่ม
…
ขั้นที่ 30 นั้น ถือเป็นความต้องการขั้นต่ำสำหรับเทพอสูรในอนาคตของเขาหยวนชู โชคยังดีที่อัจฉริยะคนอื่นๆที่เหล่าเทพอสูรได้ตั้งความหวังเอาไว้ สามารถผ่านความต้องการขั้นต่ำไปได้ จากอัจฉริยะร้อยคน มี26 คนที่ไปไม่ถึงขั้นที่ 30
“ฮะ?”
“ฉู่หยงก็หยุดด้วยหรือ?”
เทพอสูรขมวดคิ้วเล็กน้อย
อดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ฉู่หยง หยุดที่ขั้นที่ 38 ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและเขายืนนิ่งเหมือนรูปปั้น แม้จะผ่านเกณฑ์ไปก็จริง แต่38นั้นก็ปานกลางมาก มันต่ำว่าค่าเฉลี่ยของอัจฉริยะทั้งร้อยคนเลยด้วยซ้ำ
แต่หลังจากนั้น เจ้าหญิงหลี่อิ๋งและจินฮ้วน ผู้ที่เร็วรองจากแค่เมิ่งชวน ก็หยุดลงที่ขั้นที่ 39
“อะไรน่ะ?”
“ทั้งสามคนหยุดตามๆกันเลย”
ราชาตงเหอและคนอื่นๆขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกเหนือจากเหยียนซื่อถง ก็ยังมีคนที่รากฐานเทพอสูรแข็งแกร่งอยู่อีกสิบคน ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉู่หยง หยานเฟิง เมิ่งชวน เหยียนจิน ซงชา หลี่อิ๋ง จินฮ้วน หนิงอี้โบ ตงฟาง และชี่หยวนถง นอกจากหยานเฟิงที่ได้ลาภลอย คนที่เหลือนั้นต่างได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากตระกูล
ระดับขั้นการฝึกฝนและฐานรากเทพอสูรของพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก แต่ชี่หยวนถงกลับทำให้หลายคนต้องผิดหวังหลังจากที่เขาหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 17 ฉู่หยงหยุดที่ขั้นที่ 37 ส่วนหลี่อิ๋งและจินฮ้วนหยุดที่ขั้นที่ 39 ผลลัพธ์ของพวกเขาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย จากนั้นไม่นาน ตงฟางที่แข็งแกร่งก็ไปหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 43 นับว่าอยู่ตามค่าเฉลี่ย ในอันดับที่ห้าสิบ
“มีอัจฉริยะสิบคนที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง แต่ครึ่งหนึ่งกลับไปได้ต่ำกว่าขั้นที่ 50 รึ” เทพอสูรเฝ้าดูอย่างใจเย็น พวกเขาพอจะคาดเดาไว้อยู่แล้ว รากฐานเทพอสูรและพรสวรรค์ของแต่ละคนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความแข็งแกร่งของจิตใจ จากอัจฉริยะทั้งร้อยคน มี 61 คนที่ไปไม่ถึงขั้นที่ 50 และเป็นเรื่องปกติที่ครึ่งหนึ่งของคนที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งจะไปไม่ถึงขั้นที่ 50 อัตราส่วนนี้ถือว่าเป็นไปตามคาด
…
เวลาผ่านไป
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆเดินขึ้นบันไดแท่นบูชาไปทีละก้าว
หนิงอี้โบไปหยุดที่ขั้นที่ 59 และถูกเอาลงมาจากแท่นบูชาแห่งความมืด
‘โอ้?’ พอหนิงอี้โบได้สติกลับมา เขาก็เงยหน้าขึ้นและพบว่ายังมีอีก 18 คนที่เหลืออยู่ และคนที่ช้าที่สุดกำลังอยู่ที่ขั้นที่ 60
ในหมู่อัจฉริยะที่เขาให้ความสนใจ มีเพียงเมิ่งชวน เหยียนจิน ซงชา และหยานเฟิงที่ยังคงกำลังก้าวเดินต่อไปอย่างยากลำบาก
เมิ่งชวนรู้สึกราวกับอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นขึ้นได้ เขารู้สึกได้ถึงร่างกาย แต่กลับเหมือนตกอยู่ในภวังค์
‘ทุกอย่างนี้เป็นภาพลวงตาทั้งนั้น มันเป็นของปลอม เดินต่อไป’ เมิ่งชวนพยายามรักษาจิตใจให้ชัดเจนในขณะที่บังคับให้ร่างกายของเขาเดินต่อไป
ภาพลวงตานั้นถาโถมเข้าใส่จิตใจของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุด เขาเริ่มจะสบสนกับความทรงจำจริงๆและภาพลวงตา ราวกับภาพลวงตาเหล่านั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ
‘ตื่นซะ ตื่นไว้’ เมิ่งชวนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ‘เจ้าทนต่อไปไม่ได้เพราะภาพลวงตาโง่ๆพวกนี้น่ะหรือ? เจ้าจะฆ่าอสูรทุกตนได้ยังไงกันถ้ามีพลังใจเพียงเท่านี้?’
เขาโกรธมาก เขาโกรธที่โดนภาพลวงตานั้นเข้าครอบงำ แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน แต่ความทรงจำก็เริ่มค่อยๆพร่ามัว เช่นเดียวกับสติของเขาที่ค่อยๆจมดิ่งลึกไปในภาพลวงตานั้น สิ่งปลอมๆก็ค่อยๆเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
มีภาพลวงตาหนึ่ง เขาเป็นทหาร เขากับเหล่าสหายต้องถูกฝูงอสูรนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ในสนามรบ และสหายร่วมรบของเขาก็ค่อยๆตกตายกันไปทีละคน
‘ข้าหยุดพวกมันไว้ไม่ได้ ข้าทำไม่ได้ ข้าจะทนรับมืออสูรจำนวนมากขนาดนั้นด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร ข้าจะต้องตายแน่ๆ’ เขาและสหายที่เหลืออยู่ถูกความกลัวเข้าครอบงำ อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาใส่ คนที่เหลืออยู่ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน สหายของเขาถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วร่างกาย
ในใจมีแต่ความกลัวและความสิ้นหวัง
สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนเดียวที่เหลือรอดอยู่ในสนามรบ! สหายของเขาทุกคนต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงขณะที่อสูรพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง
‘ไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว! มันจบลงแล้ว!’
‘ไม่ นี่จะไปเป็นข้าได้ยังไงกัน? อ่อนแอและขี้ขลาด จะไปเป็นข้าได้ยังไง?’
เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นในใจของเขา
เขารู้สึกโกรธจากใจจริง
เขาโกรธที่ตัวเขาอ่อนแอ เขาโกรธที่ทุกอย่างนี้มันเป็นของปลอม!
‘แม้ว่าข้าเมิ่งชวนจะต้องตายที่นี่วันนี้ ข้าก็จะขอสังหารพวกอสูรจนกว่าข้าจะสิ้นใจ หากฆ่าสามารถสังหารได้หนึ่ง ข้าก็จะสังหารหนึ่ง หากข้าสามารถสังหารได้สิบ ข้าก็จะสังหารสิบ’ เมิ่งชวนคำรามในใจ ‘ข้าเมิ่งชวนไม่มีวันกลัวพวกอสูร! แม้จะต้องตายก็ตาม!’
ความมุ่งมั่นของเมิ่งชวนนั้นกล้าแข็งจนทำให้เขาหลุดออกมาจากภาพลวงตาได้ เขารู้สึกถึงร่างกายได้ชัดเจนขึ้น เมิ่งชวนกลับมาควบคุมสติได้อีกครั้ง และความทรงจำของเขาก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา
เขานึกขึ้นได้ว่ายังอยู่บนแท่นบูชาแห่งความมืด
‘เดินหน้าต่อไป คิดถึงเมืองตงหนิงเอาไว้ คิดถึงเหล่าคนที่อ่อนแอที่ยอมใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อปกป้องลูกเอาไว้ คิดถึงผู้อาวุโสสามที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อเหล่าคนในตระกูลสิ’
‘ผู้คนมุ่งต่อไปข้างหน้ามาหลายชั่วอายุคนแล้ว ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ข้าจะไปกลัวพวกอสูรได้อย่างไรกัน? ข้าสาบานว่าข้าจะสังหารมันจนหมด! และสิ่งแรกที่ต้องทำคือการตัดความอ่อนแอและความกลัวออกไปให้หมด!’
ความมุ่งมั่นของเมิ่งชวนกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ก้าวเดินต่อไปบนแท่นบูชา