ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 97
ตอนที่ 97 สามกระบี่ว่องไว
ศิษย์ทุกคนเดินออกมาจากตำหนักแม่น้ำสวรรค์
เหยียนจินถูกพี่ของเขา เชวเฟิง ลากตัวไป ส่วนหลิวชีเยว่ต้องมุ่งหน้าไปฝึกวิชากับอาจารย์ท่านอื่น
ท่านปรมาจารย์นั้นคืออาจารย์ของศิษย์เขาหยวนชูทุกคนในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ เขาเพียงแค่ให้คำแนะนำนิดหน่อยแก่เหล่าศิษย์เท่านั้น ศิษย์ทั้งหลายยังคงต้องตามหาเส้นทางในการฝึกวิชาของตนด้วยตัวเองอยู่ดี! และหากพวกเขาโชคดี เทพอสูรคนอื่นๆก็อาจจะรับเป็นศิษย์ อย่างศิษย์ของเขาหยวนชูเองก็มีหลายคนที่ได้อาจารย์เป็นเทพอสูรระดับขุนนางหรือราชา
อาจารย์ของหลิวชีเยว่นั้นเป็นเทพอสูรระดับขุนนาง ขุนนางดาราสวรรค์ วิชาเกาฑัณธ์ของเขานั้นแข็งแกร่งขนาดที่สามารถเป็นภัยต่อเทพอสูรระดับราชาได้เลย และทางเขาหยวนชูก็ได้จัดให้เขามาเป็นอาจารย์ของหลิวชีเยว่โดยพิเศษ
…
หลังจากอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดกว่าครึ่งชั่วยาม เมิ่งชวนก็กลับไปที่ตำหนักแม่น้ำสวรรค์
เวลาในยามนี้ได้ตกกลางคืนแล้ว ลมหนาวพัดโบก ตำหนักแม่น้ำสวรรค์ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ในนั้น
เมิ่งชวนเดินไปที่ประตูของตำหนักและพบร่างของคนๆหนึ่งเดินมาแต่ไกล เป็นชายชราสุดสีเทา เขาก้มหัวน้อยๆและพูด “ท่านเมิ่งชวน โปรดตามข้ามาขอรับ”
เมิ่งชวนพยักหน้าและเดินเข้าไปในตำหนักแม่น้ำสวรรค์
หลังจากผ่านทางที่คดเคี้ยวไปมา เขาก็เจอแม่น้ำสายเล็กๆในสวน มีชายผมยาวนั่งอยู่ตรงนั้น ขวดเหล้าขาวกำลังถูกอุ่น เขาเปิดดูบัญชีรายชื่อไปขณะดื่ม
ชายชราชุดสีเทาก้มหัวก่อนจะกลับออกไป
เมิ่งชวนเดินเข้าไปใกล้และพูดด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์”
“เมิ่งชวน เจ้าได้ฝึกฝนการวาดภาพแบบเต๋าตั้งแต่ยังเล็ก ศิลปินจากทั่วทั้งตงหนิงถูกว่าจ้างให้มาสอนเจ้า เจ้าสามารถวาดภาพม้าพยศได้ตั้งแต่อายุสิบสาม วิชาศิลป์ของเจ้านั้นช่างยอดเยี่ยมและเจ้าเองก็เรียกได้ว่าเป็นนักวาดชั้นยอดในปัจจุบัน นอกจากการฝึกฝนแล้ว เจ้ายังใช้เวลาหนึ่งชั่วยามในการวาดภาพในทุกๆวันอีกด้วย” ชายผมยาวยิ้มให้เมิ่งชวน “ข้าพูดถูกหรือเปล่า?”
เมิ่งชวนตกใจ
หลายคนเคยเห็นภาพม้าพยศ พ่อของเขา ผู้อาวุโสของตระกูลทั้งหลาย หลิวชีเยว่ หวินชิงผิง และอีกหลายคน
“การเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตนั้นหายากมาก จากที่ข้าเคยรู้มา ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่เคยเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิต ไม่พ่อหรือแม่ต้องไปให้ถึงระดับสรรสร้างและส่งต่อส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของพวกเขามาให้แก่ลูก เพียงเท่านั้นลูกถึงจะเกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตได้” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่พ่อแม่ของเจ้านั้นอ่อนแอ ยังห่างไกลจากระดับสรรสร้างอีกมากนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะส่งต่อพลังมาให้เจ้า”
“มีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือ เจ้าบรรลุการวาดภาพไปถึงระดับแห่งเต๋าและตามหาคำตอบของตัวตนในใจของเจ้า และนั่นคือเหตุที่ทำให้เจ้าสามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตได้ทั้งที่ยังเป็นมนุษย์”
ชายผมยาวยิ้มให้เมิ่งชวน “ข้าพูดถูกหรือไม่?”
เมิ่งชวนตกใจ ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายก็เดาออกว่าเขาควบแน่นแก่นสารแห่งจิตผ่านทางภาพวาด
“ท่านปรมาจารย์ช่างสุขุมจริงๆขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ไม่เลยๆ ข้าเพียงแค่สัมผัสได้ถึงแก่นสารแห่งจิตของเจ้าได้ ข้าเลยเดาตามนั้นเท่านั้นเอง” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ นอกจากเด็กสามคนที่ได้รับพลังของพ่อแม่มา ที่เหลือก็สร้างแก่นสารแห่งจิตจากความช่วยเหลือจากภายนอกทั้งนั้น”
“พวกเขาต่างเก่งในการเล่นขิม วาดภาพ คัดลายมือ หรือกระทั่งการตีเหล็ก เมื่อความสามารถของพวกเขาไปถึงจุดๆหนึ่งแล้ว พวกเขาก็จะไปถึงจุดตามหาเต๋า ทุกครั้งที่พวกเขาหาคำตอบจากตัวตนในใจ จิตใจและวิญญาณของพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลง” ชายผมยาวกล่าว “แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องยากที่คนจะไปถึงระดับเต๋าได้ผ่านการฝึกฝนอย่างอื่น มันหายากเกินไป”
“เราเคยฝึกฝนคนเช่นนี้มาก่อน แต่ว่ามันไร้ค่า! การจะให้ฝึกฝนศิลปินมากฝีมือนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แม้จะได้เป็นศิลปินระดับสูงในตอนอายุเจ็ดสิบหรือแปดสิบมันก็สายไปแล้ว” ชายผมยาวกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น การใช้เวลาไปฝึกฝนวิชาเหล่านั้นมากเกินไปก็จะลดเวลาในการฝึกวิชาอาวุธของพวกเขาอีกด้วย”
“หลังจากที่ไปถึงระดับขึ้นแห่งเต๋าในวิชาอาวุธ คนเราก็จะสามารถหาคำตอบจากตัวตนในใจได้เช่นกัน” ชายผมยาวกล่าว “แต่เพราะไม่ว่าอย่างไรก็สามารถทำได้เช่นนั้นด้วยวิชาอาวุธ จึงไม่มีความจำเป็นที่เหล่าอัจฉริยะจะต้องเสียเวลาฝึกวิชาอื่นๆเพิ่มเติมเลย”
เมิ่งชวนเข้าใจ
ทุกๆวิชาก็เหมือนกันหมด การวาดรูปเองก็เป็นวิชา ไม่ต่างอะไรไปจากวิชาอาวุธ เมื่อคนเราเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธมากเพียงพอ พวกเขาเองก็จะหาคำตอบจากตัวตนในใจได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การวาดภาพนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คนเราเผยความรู้สึกในใจออกมา อาวุธมีไว้เพื่อสังหาร และการที่จะหาคำตอบจากตัวตนในใจได้นั้น คนๆนั้นก็จะต้องไปถึงระดับแห่งเต๋า
วิชาอาวุธนั้นมีหลายระดับขั้น หนึ่งเดียว พลัง เจตจำนง จิต และเต๋า มีเพียงการไปถึงระดับแห่งเต๋าเท่านั้นถึงจะหาคำตอบจากตัวตนในใจได้ แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการไปถึงได้อย่างชัดเจน
“เจ้าเองก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในวิชากระบี่” ชายผมยาวกล่าว “แต่เจ้าเองก็เป็นอัจฉริยะในการวาดภาพอย่างไม่มีใครเทียบได้ เพียงภาพวาดของเจ้าอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะประดับนามของเจ้าเอาไว้ในประวัติศาสตร์ไปอีกนับพันปี”
“ท่านอาจารย์ก็ชมศิษย์เกินไปขอรับ” เมิ่งชวนรู้สึกเขินอายกับคำชมเล็กน้อย
เขาไม่เคยแสดงงานวาดที่เขาภาคภูมิใจที่สุดต่อสาธารณะเลย สรรพชีวิตและแสงแดดยามเช้า เขารู้ว่าเมื่อเทียบกับศิลปินกับนักปราชญ์ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์แล้ว เขาไมไ่ด้ด้อยไปกว่านั้นเลย สิ่งที่ท่านปรมาจารย์บอกนั้นไม่ได้เป็นการชมมากเกินไปซักนิดเดียว
การที่สามารถหาคำตอบจากตัวตนในใจได้นั่นก็หมายถึงวิชาของเขาได้ไปถึงจุดสูงสุดแล้ว เพียงมองดูภาพวาดก็สามารถทำให้คนอื่นๆหลงใหลได้อย่างง่ายดายแล้ว
“คนที่สามารถค้นหาคำตอบจากตัวตนในใจนั้นหาได้ยากมาก เพราะการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตนั้นยากมากๆ” ชายผมยาวกล่าว “แก่นสารแห่งจิตนั้นเกี่ยวข้องกับระดับเดือนมืดมิด ไร้ขอบเขต และสรรสร้าง แก่นสารแห่งจิตนั้นแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ความลับในการควบแน่นแก่นสารนั้นต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ หากเหล่าอสูรรู้ว่าเจ้าควบแน่นแก่นอสูรได้ตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ พวกราชาอสูรคงจะต้องพยายามสังหารเจ้าเป็นแน่”
“เข้าใจแล้วขอรับ”เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
มีราชาอสูรมากมายหลบซ่อนอยู่ในโลกนี้ อย่างในตอนที่เมืองท่าถูกถล่ม ก็เป็นเหล่าราชาอสูรที่บุกเข้ามา พวกมันยังคงหลบซ่อนอยู่ในโลกมนุษยือีกมากมาย ขนาดมนุษย์ทวงคืนเมืองท่าได้ก็ยังเป็นไปได้ยากที่จะตามหาราชาอสูรพวกนั้น
นอกจากนี้ก็ยังมีทางผ่านโลกที่ไม่เสถียรที่ทำให้เหล่าราชาอสูรแอบลักลอบเข้ามาอยู่กับมนุษย์ได้อีกด้วย
นิกายอสูรฟ้าเกิดขึ้นมาได้อย่างไรน่ะหรือ? มันถูกสร้างขึ้นมาโดยราชาอสูรที่แอบลักลอบเข้ามาและยุยงให้มนุษย์หักหลังกันนั่นเอง
ราชาอสูรที่คอยหลบซ่อนพวกนี้นั้นจะคอยเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะก่อปัญหา ความอันตรายของพวกมันเรียกได้ว่าอันตรายมาก
“เจ้าไม่ต้องกังวล” ชายผมยาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ใช้พลังของแก่นสารแห่งจิต ก็จะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเจ้านั้นควบแน่นแก่นสารแห่งจิตไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับสรรสร้าง”
“เทพอสูรระดับราชาและขุนนางอาจจะรู้หากเจ้าใช้พลังของมัน แต่ว่าตราบใดที่เจ้าทิ้งระยะห่างจากพวกเขาสักหนึ่งลี้ พวกเขาก็ไม่น่าจะรู้ตัว”ชายผมยาวกล่าว
เมิ่งชวนสงบสติลง
เขาเข้าใจแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกังวลหากใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตห่างจากเทพอสูรระดับราชาซักหนึ่งลี้
“จริงๆแล้ว เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องซ่อนแก่นสารแห่งจิตแล้ว” ชายผมยาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ด้วยความสามารถระดับเจ้า ข้าว่าเจ้าคงจะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันในอีกสิบห้าปี”
เมิ่งชวนที่ฟังอยู่ก็พยักหน้า ในหมู่เทพอสูรระดับมหาสุริยัน ก็มีหลายคนที่ควบแน่นแก่นสารแห่งจิตไปได้แล้ว
“และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการฝึกฝนของเทพอสูรนั้นคือกายเนื้อ แก่นสารแห่งจิต และระดับขั้นของวิชากระบี่เจ้า แก่นสารแห่งจิตของเจ้านั้นคือข้อได้เปรียบ แต่หากส่วนอื่นๆเจ้าทำไม่ได้ตามเงื่อนไข เจ้าก็ไม่สามารถไปถึงระดับเดือนมืดมิดได้” ชายผมยาวกล่าว “ในสามด้านนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือระดับวิชากระบี่ เจ้ายังไปไม่ถึงระดับแห่งเจตจำนง ดังนั้นเจ้าจึงยังอยู่อีกห่างไกล”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม เขายอมรับว่าเขานั้นชอบวิชากระบี่น้อยกว่าการวาดรูปเสียอีก
“ระดับขั้นของวิชากระบี่นั้นสำคัญยิ่งกว่ากายเนื้อหรือแก่นสารแห่งจิต ดังนั้น เจ้าควรจะเลือกวิชากระบี่ที่เหมาะสมสำหรับการฝึก” ชายผมยาวกล่าว “เขาหยวนชูของเรามีมรดกวิชากระบี่มากมาย เอาอย่างนี้เป็นไง? ใช้วิชากระบี่ที่เจ้าเชี่ยวชาญมากที่สุดมา แล้วข้าจะเลือกวิชากระบี่ที่เหมาะสำหรับเจ้าให้”
“ขอรับ”
เมิ่งชวนเดินไปตรงที่โล่งๆ พลังปราณของเขาควบแน่นเป็นหนึ่งเดียว เพียงพริบตา เขาก็พุ่งไปข้างหน้าเป็นสิบจั้ง ลำแสงกระบี่ตัดผ่านอากาศไปโดยไม่ทำให้เกิดลมเลย
นี่เป็นท่าที่เขาฝึกฝนมายาวนานที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่าชักกระบี่!
“ดี” ชายผมยาวพยักหน้าเล็กน้อย ท่าชักกระบี่ของเมิ่งชวนทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ
เขาใช้ท่าชักกระบี่ติดต่อกันสามครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่ากระบี่เงาจันทร์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระบี่ปัดป้อง! และสุดท้ายเขาก็ใช้ท่าเบญจโลกาอัสนีที่ไม่สมบูรณ์ออกมา การฟันสองครั้งแรกคือเบญจโลกาอัสนี แต่ครั้งที่สามคือกระบี่เงาจันทร์
“ศิษย์ทำได้เพียงไม่กี่ท่าหรอกขอรับ” เมิ่งชวนพูดก่อนจะเก็บกระบี่ไป
“ฮ่าฮ่า” ชายผมยาวหัวเราะ “ข้าตกใจมากตอนที่เห็นเจ้าใช้เบญจโลกาอัสนี ในระดับเจ้า เจ้าจะใช้เบญจโลกาอัสนีได้อย่างไรกัน? กลายเป็นกว่าเจ้ารวมท่าที่ไม่สมบูรณ์เข้ากับอีกท่าหนึ่งแทน”
เมิ่งชวนกล่าวตอบ “ศิษย์ได้รับชิ้นส่วนของวิชากระบี่ตัดอัสนีมาขอรับ และศิษย์รับมรดกไปได้ด้วยจิต แต่ศิษย์รับมาได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”
“ไม่ว่าอย่างไรเจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ แก่นสารแห่งจิตของเจ้าอ่อนแอเกินไป” ชายผมยาวกล่าว “ร่างของเจ้าก็เหมือนกับภาชนะ และแก่นสารแห่งจิตก็เหมือนกับน้ำในภาชนะนั้น ร่างมนุาย์ของเจ้าก็เหมือนกับแก้วน้ำเล็กๆที่มีน้ำอยู่น้อย หากเจ้าไปถึงระดับมหาสุริยันได้ ร่างกายของเจ้าก็จะเป็นเหมือนโอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำได้เยอะกว่าเดิม”
“ร่างกายของเจ้าคือสิ่งที่คอยจำกัดแก่นสารแห่งจิตเอาไว้” ชายผมยาวกล่าว
“เข้าใจแล้วขอรับ”
ว่ากันว่าหลังจากควบแน่นแก่นสารแห่งจิตในระดับมหาสุริยันแล้ว คนๆนั้นจะสามารถรับมรดกของโลหะทมิฬได้โดยสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้น แก่นสารแห่งจิตของเขาไม่สามารถรับมรดกของชิ้นส่วนโลหะทมิฬได้เลยด้วยซ้ำ ความต่างนี้มันช่างมากเหลือเกิน
“คุณภาพของแก่นสารแห่งจิตของเจ้านั้นสูง แต่มันแค่เล็กเกินไป” ชายผมยาวกล่าว “เมื่อเจ้ากลายเป็นเทพอสูรแล้ว แก่นสารแห่งจิตของเจ้าก็จะใหญ่กว่าเดิมมาก และเมื่อไรท่เจ้าสามารถทนรับมรดกของโลหะทมิฬได้ ข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า”
อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์” เมิ่งชวนพูด
“จากวิธีที่เจ้าใช้วิชากระบี่ เห็นได้ชัดว่าเจ้าใช้กระบี่ไวได้อย่างยอดเยี่ยม” ชายผมยาวกล่าว “เขาหยวนชูของเรามีวิชากระบี่ของโลหะทมิฬทั้งหมดเก้าวิชา ในนั้นมีสามวิชาที่เป็นกระบี่ไว ทั้งสามอย่างนี้ได้แก่กระบี่ตัดอัสนีที่เจ้าพึ่งใช้ไปเมื่อครู่ กระบี่จิตจำนง และกระบี่มังกรพเนจร”
“อย่างไรก็ตาม กระบี่ตัดสายฟ้านั้นเข้ากันได้กับเจ้าเพียง 3 ส่วนเท่านั้น! วิชากระบี่นี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยปรมาจารย์เทพอัสนีเมื่อสามหมื่นปีก่อน วิชากระบี่นี้อยู่ในด้านของความรุนแรงเสียมากกว่า มันไวมากๆก็จริง แต่มันก็รุนแรงมากเช่นกัน กระบี่ของเจ้ามันไม่รุนแรงมากขนาดนั้น ดังนั้นจึงมีความเข้ากันได้กับเจ้าเพียงแค่สามส่วน อย่างไรก็ตาม วิชากระบี่นี้เข้ากันได้ดีกับร่างอสูรตัดสายฟ้ามาก”
“กระบี่มังกรพเนจรนั้นไวมากและแปลกประหลาดมากเช่นกัน เจ้าเข้ากันกับมันได้ถึงห้าส่วน”
“กระบี่จิตพิสุทธิ์นั้นคือวิชากระบี่ไวในรูปแบบที่บริสุทธิ์กว่า มันเข้ากันได้กับเจ้าถึงเก้าส่วน”