ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (2)
ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก – ตอนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (2)
ฝันร้ายหมายเลขเก้า โลกซึ่งความสยดสยองปรากฏไปทั่วหัวระแหง ทั้งยังนับเป็นโลกแห่งเรื่องเล่าที่ตัวละครหลักชายจะได้เลื่อนขั้นด้วยเอาชนะปีศาจและพิชิตใจสาวงามในท้ายที่สุด
ในโลกใบนี้อี้จื่อเซวียนผู้มีนิ้วย้อนเวลาแสนวิเศษเอาตัวรอดในโลกความฝันนี้ได้อย่างหวุดหวิดทุกครั้งไป ซ้ำยังทำให้เมิ่งถิงเหยาดอกไม้งามแห่งสาขาคนนี้ที่มักแหงนมองคนที่สูงส่งกว่าเธอเสมอนั้นมองเขาเปลี่ยนไป
ส่วนอดีตแฟนสาวของอี้จื่อเซวียน ซูหว่าน ได้เป็นเพียงทหารธรรมดาๆ ในโลกใบนี้เท่านั้น
ว่ากันว่าวีรบุรุษชมชอบสาวงาม และคนที่สวยที่สุดในหมู่คนทั้งเก้านั้นคือเมิ่งถิงเหยาอยู่แล้ว แผนที่เขาวางไว้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมห้องของอี้จื่อเซวียน เฉินอวี้เฟิง ดูแลค่าใช้จ่ายและจัดแจงการเที่ยวฤดูใบไม้ผลินี้เพื่อตามจีบเมิ่งถิงเหยา
เดิมทีห้องพักในหอทั้งสองมีสมาชิกอยู่แปดคน แต่เพราะทักษะการขับรถของเฉินอวี้เฟิงไม่คล่องแคล่วนัก ทั้งคนอื่นยังไม่มีใบขับขี่เขาจึงขอให้เพื่อนสมัยเด็กของเขา ฉีมู่ มาช่วยขับรถให้
ทั้งฉีมู่และเฉินอวี้เฟิงมาจากตระกูลล่ำซำและไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อยครั้ง เมื่อรู้ว่าเฉินอวี้เฟิงต้องการหลอกล่อดอกไม้แห่งสาขา เป็นธรรมดาที่ฉีมู่จะร่วมชมความหรรษานั้นอย่างเพลินใจ ทว่าหลังได้เห็นเมิ่งถิงเหยาด้วยตาตัวเอง ฉีมู่เองก็คิดจะตามเกี้ยวเธอเช่นกัน
ถึงอย่างไรฉีมู่ก็อายุมากกว่าเฉินอวี้เฟิงสี่ปี และตอนนี้ยังทำงานในบริษัทของครอบครัว เทียบกับนักศึกษาวิทยาลัยหลายคน เขารู้ดีอยู่แล้วว่าต้องตีเนียนให้แยบยลอย่างไร
ยามที่เฉินอวี้เฟิงเฝ้าพะเน้าพะนอเมิ่งถิงเหยา ฉีมู่ก็แสร้งทำอ่อนโยนและตีสนิทกับซูหว่าน ใครใช้ให้รูปร่างหน้าตาของซูหว่านเป็นสองรองจากเมิ่งถิงเหยาไปเพียงนิดในหมู่หญิงสาวทั้งสี่กันล่ะ
แม้ว่าเดิมทีซูหว่านจะดูซื่อไปบ้าง หากแต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ ตลอดการเดินทางเธอกับฟังเถียนเถียนแค่นั่งอยู่แถวหน้าสุดด้านหลังคนขับ เธอกับฉีมู่จึงได้พูดคุยกันระหว่างทางเท่านั้น
กระทั่งพวกเขาเข้ามาในมิติฝันแรก ซูหว่านกับฟังเถียนเถียนติดอยู่กลางป่า คนแรกที่พวกเธอเจอคือฉีมู่ หลังได้สัมผัสภาพลวงตาน่าหวาดกลัวมาด้วยตัวเอง ในที่สุดทั้งสามก็พบกับคนอื่นๆ ทว่าทุกคนนึกไม่ถึงว่าเมื่อมารวมตัวกัน ความน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่แท้จริงจะมาเยือนพวกเขา…
หนึ่งคนตายจากไปในห้วงฝันมิติแรก
ทุกคนคิดว่าพวกเขาเพียงแค่ฝันไปกระทั่งความฝันมิติที่สองมาถึง ความทรงจำในห้วงฝันมิติแรกค่อยๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวพวกเขาท่ามกลางความขวัญเสีย บอกให้พวกเขาตามหาคนร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่พวกเขา…
“ซูหว่าน เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
ฟังเถียนเถียนเห็นว่าซูหว่านเหม่อลอย ตัวตนแสนขี้ขลาดของเธออดไม่ได้ที่จะระแวงและกระตุกแขนเสื้อของซูหว่านอย่างแรงก่อนถามเธอเสียงแผ่วเบา
“ฉันไม่เป็นไร”
แววสับสนในสายตาของซูหว่านค่อยจางหายไป
คนที่ตายในห้วงฝันมิติแรกเป็นฟังเถียนเถียนผู้ตาขาวไม่ผิดแน่
และคนที่สองที่ต้องตายก็คือซูหว่าน
ความจริงแล้วอี้จื่อเซวียนซึ่งมีความสามารถในการย้อนเวลานั้นมีโอกาสที่จะช่วยซูหว่าน หากแต่ในจังหวะความเป็นความตายของเธอ ความฝันมิติที่สองก็สิ้นสุดลงในพริบตาและเลือนหายไป…
“เดินต่อกันเถอะน่า! อีกเดี๋ยวฟ้ากำลังจะมืดแล้ว เราควรไปรวมตัวกับทุกคนให้เร็วที่สุดก่อนจะค่ำนะ!”
สำหรับฟังเถียนเถียนที่มีชะตากรรมร่วมกับเธอ ซูหว่านปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลเสมอ
หลังได้ยินคำพูดของซูหว่าน ฟังเถียนเถียนผงกศีรษะรับและเดินตามหลังไปทันที
ทั้งสองสวมรองเท้ากีฬาไว้ด้วยเดิมทีทุกคนกำลังมาเที่ยวฤดูใบไม้ผลิกัน การเร่งฝีเท้าในป่าดิบเขานี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับพวกเธอนัก
จากทิศทางของพระอาทิตย์ ซูหว่านคาดเดาเส้นทางเท้าและพาฟังเถียนเถียนมุ่งหน้าไปทางเหนือ
เรื่องราวส่วนนี้ไม่ได้ถูกกล่าวในเส้นเรื่องต้นฉบับของบันทึกในโลกนี้ มันถูกพูดถึงเพียงเลาๆ เท่านั้น ใครจะมีเวลาว่างไปสนใจการผจญภัยของทหารสองคนกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ซูหว่านจึงเฝ้าระวังในทุกขณะเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ จากการคาดการณ์ของเธอ ครั้งนี้ฟังเถียนเถียนอาจถูกฆ่าอย่างในห้วงฝันแรกก็เป็นได้!
เพราะในเวลานี้มีเพียงทั้งสอง ความเสี่ยงจะตกในภัยอันตรายจึงยิ่งมีมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น…
ซูหว่านนึกได้ว่าเธอเจ็บท้ายทอยและเนื้อตัวก็เปื้อนฝุ่นไปหมดเมื่อครั้งที่เธอตื่นขึ้นมา เทียบกันแล้วร่างกายของฟังเถียนเถียนถือว่าสะอาดสะอ้านผิดปกติ ซ้ำยังไม่มีบาดแผลและรอยฟกช้ำบนร่างของเธอแม้แต่น้อย
บางทีฟังเถียนเถียนอาจเสียชีวิตไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว?
เรื่องเช่นนี้ก็พอเป็นไปได้อยู่
การนึกถึงว่าน้องสาวน่ารักน่าเอ็นดูข้างกายที่กระตุกแขนเสื้อของเธอกลายเป็นวิญญาณซี่โครงหักอาบไปด้วยเลือด แผ่นหลังของซูหว่านก็เหยียดตรงขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนคล้อยลับไป มีเพียงเสียงหอบหายใจของซูหว่านกับฟังเถียนเถียนดังก้องในป่าดิบเขาอันเงียบสงัด
ทั้งสองไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปยาวไกลเพียงไหน ป่าดิบนี้ดูเหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับพวกเธอไม่มีทางออกไปได้ไม่ว่าจะก้าวไปข้างหน้ามากเท่าใดก็ตาม
ในกระเป๋าเป้มีเพียงน้ำขวดหนึ่งหลงเหลืออยู่ ฟังเถียนเถียนที่หมดซึ่งแรงกายและไม่อาจเดินต่อไปได้ทำได้เพียงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ “ซูหว่าน ฉันเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
น้ำเสียงระโหยของฟังเถียนเถียนแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง “ซูหว่าน เราคงไม่ได้ติดอยู่ที่นี่ไปจนตายใช่ไหม ฉันกลัวจังเลย”
“อย่าพูดอะไรเป็นลางอย่างนั้นสิ!”
ซูหว่านชะงักฝีเท้า หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าและเปิดดู หน้าจอในเวลาหกโมงเย็นสี่สิบแปดนาทียังคงแสดงปริมาณแบตเตอรี่อยู่สองขีด หากแต่ไม่มีสัญญาณในบริเวณนี้
“เถียนเถียน พักที่นี่ก่อนเถอะ…”
ไม่ทันที่ซูหว่านจะพูดจบ เงาดำพลันปรากฏขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนพุ่งเข้าหาเธอในทันควัน
“อ๊ะ!”
ฟังเถียนเถียนที่นั่งอยู่อีกด้านหลุดปากออกมาด้วยความกลัว ซูหว่านไม่ได้ตื่นตระหนกกับเสียงร้องนั้น และโยกหลบเงาดำเล็กน้อย
พรึ่บ พรึ่บ เงาดำนั้นโฉบห่างไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางแรงลมกรรโชก
“ซูหว่าน เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
ฟังเถียนเถียนซึ่งยังร่างสั่นเทิ้มโผเข้ามาอยู่ข้างซูหว่านทันที
“ฉันไม่เป็นไร”
ซูหว่านลุกขึ้น ยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆ พร้อมคิ้วขมวดมุ่น
“เฮ้ย! เธอเลือดออกนี่!”
ตอนนี้เองที่ฟังเถียนเถียนเห็นว่ามีรอยแผลแดงก่ำเป็นแนวบนใบหน้าของซูหว่าน “สัตว์ประหลาดตัวนั้นทำร้ายเธอเหรอ ซูหว่าน เธอไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ มีพิษอะไรหรือเปล่า”
เอ่อ
ซูหว่านรู้สึกพูดไม่ออก เสียงหัวเราะพลันดังขึ้นตรงหน้าพวกเธอในระยะไม่ห่างไปไกลนัก “สัตว์ประหลาดจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน มันก็แค่ค้างคาวที่เพิ่งบินผ่านไปเท่านั้นแหละ แผลบนหน้าเธอน่าจะมาจากรอยข่วนของกรวดบนพื้นมากกว่า”
ประกายแสงอาทิตย์ตกยามเย็นถูกชั้นยอดไม้หนากลืนกินไปเสียแล้ว ท่ามกลางป่ารกชัฏและมืดมิดแห่งนี้ ร่างโปร่งค่อยๆ ปรากฏสู่ม่านสายตาของพวกเธอ
แม้รูปร่างหน้าตาของฉีมู่จะไม่ได้งดงามสะดุดตาแต่ก็นับว่าดูสง่าอยู่บ้าง กอปรกับเครื่องแต่งกายสบายตัวที่มีรสนิยมและรอยยิ้มเฉยชาที่ประดับบนใบหน้า พาให้เขาเองมีกลิ่นอายของคนรุ่นใหม่ที่หล่อเหลาอยู่หน่อยๆ
“พี่ใหญ่ฉี!”
เมื่อเห็นฉีมู่น้ำเสียงของฟังเถียนเถียนก็เปลี่ยนไป หลังจากเดินมานาน ในที่สุดพวกเธอก็ได้พบคนเป็นๆ เสียที!
ฉีมู่ปรี่เข้าหาฟังเถียนเถียนพร้อมรอยยิ้ม ก่อนก้าวไปหาซูหว่าน เขาย่อตัวลงมามองเธออย่างมาดดี “เธอเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะ”
น้ำเสียงของเขาไม่นับว่าอ่อนโยนนัก หากแต่แฝงให้แอบสัมผัสได้ถึงความห่วงใย
ไม่รุกอย่างบุ่มบ่ามทว่าเพียงพอที่จะทำให้รับรู้ได้
ฉีมู่เป็นเสือผู้หญิงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเอ่ยเช่นนั้นต่อหน้าเด็กสาว เขาย่อมช่ำชองในแวดวงนี้เป็นพิเศษ
“แต่ว่าผิวที่เป็นรอยคงทำให้เธอเสียโฉมน่ะสิ”
ซูหว่านไม่ได้สังเกตและคว้าผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนหนึ่งมาเช็ดรอยเลือดบนหน้าตัวเอง เธอยกมือตั้งท่าจะโยนผ้าเปื้อนเลือดนั้นทิ้งไป แต่กลับนึกลังเลและค่อยๆ เก็บผ้าเช็ดหน้าลงกระเป๋าใบเล็กที่สะพายติดตัวตลอด
ฉีมู่ลอบมองซูหว่าน แววตาของเขาฉายวาววับน้อยๆ ครั้นเห็นท่าทีเงียบเชียบของเธอ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปแต้มรอยยิ้มไม่ยี่หระในจังหวะต่อมา “ฉันเองก็ไม่เห็นคนอื่นระหว่างทางเหมือนกัน ดีจริงๆ ที่ได้เจอพวกเธอสองคน งั้นเราสามคนไปตามหาพวกเขากันไหม ฉันว่าคนอื่นๆ ก็น่าจะอยู่ในป่านี้นั่นแหละ”
“อื้อ”
เมื่อได้ยินคำแนะของฉีมู่ ฟังเถียนเถียนพยักหน้ารับอย่างยินดีทันที ก่อนจะยั้งใจไว้เล็กน้อยหลังจากนั้น “ป่านี้กว้างจะตาย เราจะตามหาพวกเขาเจอได้ยังไงล่ะคะ”
“ตอนที่ฉันเดินผ่านมาเมื่อกี้ เห็นว่ามีที่โล่งอยู่บ้างไม่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ วันนี้ฟ้ามืดแล้วเราน่าจะไปตรงนั้นและก่อไฟนะ ถ้าคนอื่นอยู่แถวนั้นแล้วเห็นกองไฟพวกเขาก็จะมาหาเราเอง”
“พี่ใหญ่ฉี พี่ฉลาดจังเลยค่ะ!”
แววตาฟังเถียนเถียนเป็นประกายและมองฉีมู่ด้วยความชื่นชมเมื่อได้ฟังคำแนะนำของเขา ในขณะที่ซูหว่านยังคงมีท่าทีเรียบเฉย
ก่อไฟอย่างนั้นหรือ
คุณมั่นใจว่ามันเป็นความคิดที่ดีและไม่พาตัวเองไปตายจริงๆ หรือ