ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 20 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (จบ)
ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก – ตอนที่ 20 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (จบ)
“ทำไมถึงไม่ไปต่อล่ะ”
ฟังเถียนเถียนเห็นฉินลู่นิ่งอึ้งอยู่กับที่ เธอก้าวเข้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าวด้วยความกังวลเล็กน้อย ยืนข้างกายฉินลู่ แล้วยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อเขาด้วยความลังเลใจ
“ฉันจู่ๆ ก็นึกได้ว่าลืมของไว้ที่บ้าน”
ฉินลู่หันขวับไปมองฟังเถียนเถียนทันใด “เถียนเถียน เธอกลับไปเอาเป็นเพื่อนฉันทีสิ พวกเราอย่าเพิ่งไปตามหาซูหว่านเลย”
ตอนนี้ สำหรับฟังเถียนเถียนไม่ว่าที่ใดล้วนแต่ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น แต่ฉินลู่นึกถึงสถานที่ที่น่าไว้ใจที่สุดขึ้นมาได้ ที่นั้นก็คือบ้านของตัวเขาเอง
“หา? อ๋อ”
ฟังเถียนเถียนพูดกับฉินลู่ ไม่รู้สึกสงสัยในตัวเขา เห็นฉินลู่หันหน้าเดินกลับ ฟังเถียนเถียนก็เดินตามหลังเขาไปอย่างว่าง่าย
ทั้งสองเพิ่งจะเดินออกมาไม่นาน ด้านหน้ามีเงาร่างที่ดูคุ้นตาปรากฏให้เห็น
“ฉินลู่!”
ไป๋เสี่ยวเย่ว์เห็นเงาร่างของฉินลู่ก่อน เหลือบสายตามองไปยังฟังเถียนเถียนที่อยู่ข้างกายเขา แต่ไป๋เสี่ยวเย่ว์ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่สักอย่าง เห็นสายตาฉินลู่ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ด้วยกำลังของฉินลู่ หากจะกำจัดฟังเถียนเถียนแล้วง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่ตอนนี้ฟังเถียนเถียนยังคงมีชีวิตอยู่ปลอดภัยดี และยังคลุมเสื้อนอกของฉินลู่ไว้บนตัวอีก
นี่ช่างเกินความคาดหมายจริงๆ
ไป๋เสี่ยวเย่ว์ไม่ลงมือโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เธอไม่รู้ว่าฉินลู่กำลังวางแผนอะไรอยู่ ได้แต่มองทั้งสองอยู่เงียบๆ
ตั้งแต่เริ่มแรก ไป๋เสี่ยวเย่ว์ก็รู้ว่าตัวเองคือผี ผีสามตน มนุษย์หกคน เมื่อดูไปแล้วผีแม้ว่าจะน้อย แต่มนุษย์ผู้เป็นเป้าหมายของพวกเขานั้นมีมากกว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกัน สภาพแบบนี้นับว่าเอื้อประโยชน์ต่อพวกเขา
ในความเป็นจริงเล่า
การฆ่าใครสักคนสามารถแลกกับโอกาสที่ตนเองจะมีชีวิตอยู่ต่อแทนคนผู้นั้น นี่ฟังดูแล้วเหมือนจะง่ายดาย แต่เมื่อคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์แล้ว ไป๋เสี่ยวเย่ว์ถึงได้รู้ว่ากฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้นั้นช่างโหดร้ายอย่างมาก
เมื่อคุณฆ่าใครสักคน ในขณะที่คุณได้โอกาสที่จะมีชีวิตต่อ พวกนั้นกลับต้องกลายเป็นผี หรือจะพูดอีกอย่าง มนุษย์ก็จะน้อยลง ถ้าทุกอย่างราบรื่น ผีแต่ละตนฆ่ามนุษย์หนึ่งคน ผีสามตนที่เพิ่มขึ้นมาก็จะฆ่ามนุษย์ที่เหลืออีกสามคน ถ้าเช่นนั้น ท้ายที่สุดก็จะมีหกคนพอดีที่ยังมีชีวิตต่อได้
เพียงแต่น่าเสียดาย ในความเป็นจริงไม่ใช่สูตรคำนวณเลข อย่างน้อยตอนนี้ไป๋เสี่ยวเย่ว์ก็ไม่ได้ฆ่าใครเลยแม้แต่คนเดียว ดูไปแล้วฉินลู่เองก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน ทว่าตอนนี้มีคนตายไปแล้วตั้งสองคน
ตามกฎแล้ว ตอนนี้ควรมีผีหกตน เหลือมนุษย์เพียงสี่คน ถ้าเหตุการณ์ดำเนินตามลักษณะนี้ต่อไป สุดท้ายผลลัพธ์ก็คงได้แต่ฆ่าฟันกันเอง
ไป๋เย่ว์ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของโลกมาแต่ไหนแต่ไรในเวลานี้กลับประหม่าขึ้นมา เธอกลัวว่าฉินลู่จะเปิดเผยตัวตนของเธอ ถ้าเช่นนั้นสภาพของเธอในเวลานี้ก็จะกลับกลายเป็นอันตรายและเป็นฝ่ายถูกกระทำแทน
ยังดีที่ฉินลู่เพียงมองไป๋เสี่ยวเย่ว์ลึกๆ ปราดหนึ่ง แล้วก็เลื่อนสายตาไปยังอี้จื่อเซวียนและเมิ่งถิงเหยา ณ เวลานี้มีทั้งหมดห้าคน นอกจากไป๋เสี่ยวเย่ว์แล้ว คนอื่นที่เหลือคงไม่ทำร้ายฟังเถียนเถียน
ฉินลู่ลังเลอยู่ชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขา แบบนี้ก็ดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ไม่เลวทางหนึ่ง
“ฉินลู่”
ซูหว่านผู้เห็นทุกอย่างด้วยตาก็รู้สึกว่าผิดความคาดหมายอยู่ครู่หนึ่ง เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉินลู่จะไม่ลงมือกับฟังเถียนเถียน มิหนำซ้ำดูไปแล้วเหมือนว่าเขายังตัดสินใจปกป้องฟังเถียนเถียนเสียด้วย
ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
ฟั่นซูจวินที่สลบอยู่ข้างๆ เวลานี้ก็ค่อยๆ ฟื้นได้สติขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ และซูหว่านก็นั่งส่งยิ้มอยู่ข้างๆ
“หลุดออกจากโลกแห่งนี้ บงการโลกแห่งนี้ สองตัวเลือกนี้เธอเลือกตัวไหน”
ซูหว่านมองฟั่นซูจวิน น้ำเสียงทุ้มต่ำ แฝงด้วยเสน่ห์เย้ายวนอยู่เล็กน้อย
“ถ้าต้องการทั้งสองล่ะ” ฟั่นซูจวินเวลานี้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองไปยังซูหว่านด้วยแววตาอันแหลมคม
“มนุษย์ช่างละโมบเสียจริง”
ซูหว่านหัวเราะ ในโครงเรื่องเดิมอี้จื่อเชวียนก็ต้องการทั้งสอง แต่เขาในฐานะพระเอกสุดท้ายก็คงเลือกทำแบบนี้
“โลภ คือบาปแต่กำเนิดอย่างหนึ่งของมนุษย์”
ฟั่นซูจวินเองก็หัวเราะ เพียงแต่ครั้งนี้เขาหัวเราะด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “ที่จริงแล้วเมื่อกี้ฉันล้อเล่น ฉันต้องการแค่ออกไปจากที่นี่ ทุกอย่างที่นี่ฉันไม่ได้รู้สึกสนใจสักนิด ชีวิตของฉันอยากเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น”
มนุษย์ธรรมดา
ซูหว่านจ้องนิ่งไปยังฟั่นซูจวิน ที่จริงเธอก็พบว่าฟั่นซูจวินนั้นไม่ธรรมดาตั้งแต่แรกแล้ว เขาดูเหนือกว่าคนทั้งหลาย แต่คนผู้มีความคิดสติปัญญาเฉียบไวเหนือผู้คนอีกทั้งยังมีศิลปะการต่อสู้ในระดับสูงผู้นี้ กลับปรารถนาที่จะเป็นเพียงหนุ่มโอตาคุติดเกมไปวันๆ เท่านั้น
บางที นี่คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน ชีวิตอันเรียบง่ายของมนุษย์ธรรมดา
คนที่มีทุกสิ่งอย่างตั้งแต่เกิด พวกเขาคงต้องการเพียงมีชีวิตอันเรียบง่ายสงบสุข
แต่ผู้คนที่เกิดมาในชีวิตอันแสนอัตคัด ก็คงดิ้นรนที่จะมีชีวิตเหนือกว่าผู้อื่น
แต่ในความเป็นจริง ใครคนหนึ่งจะอยู่เหนือกว่าใครอื่นได้สักเท่าไรกัน
แม้ว่าชีวิตคนเรานั้นจะมีชนชั้นแตกต่างกัน แต่ทุกคนต่างก็ยังคงได้รับโอกาสที่จะแสวงหาความสุขแสวงหาความฝันอย่างเท่าเทียม
มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขหรือไม่ มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าหรือไม่ แต่ไหนแต่ไรก็ใช่ว่าจะวัดด้วยเงินทองหรือตำแหน่งหน้าที่
ฟั่นซูจวินมองทะลุหมดตั้งแต่แรก แต่อี้จื่อเซวียนกลับถูกความสามารถอันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดทำให้จิตใจตนสับสน
“ฟั่นซูจวิน ฉันมอบภารกิจให้เธอสองอย่าง ขอเพียงเธอทำให้สำเร็จลุล่วง แล้วฉันก็จะปล่อยเธอออกไปจากโลกแห่งนี้”
“ตกลง!”
…………
“อา!”
อี้จื่อเซวียนลุกจากเตียงขึ้นมานั่งตะโกนเสียงดัง ความเจ็บปวดบนร่างกายเหมือนยังไม่หายไป เขาลืมตาขึ้นมองคนแปลกหน้าและห้องนอนอันคุ้นเคย อี้จื่อเซวียนสับสนตั้งสติไม่ได้อยู่ครู่ใหญ่
“จื่อเซวียน!”
ในตอนนี้เองเฉินอวี้เฟิงที่นอนอยู่บนเตียงชั้นบนของเขาก็น้อมตัวยื่นศีรษะลงมามองอี้จื่อเซวียนที่ใบหน้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ “นายฝันร้ายเหรอ”
เฉินอวี้เฟิง…
มองไปยังใบหน้าอันใสซื่อไร้เดียงสาของเฉินอวี้เฟิงที่อยู่เบื้องหน้า หัวใจของอี้จื่อเซวียนก็ยิ่งสับสนยิ่งขึ้น…
เขาไม่ได้ถูกจอมมารกลุ่มหนึ่งร่วมมือกับหัวหน้ามารสังหารไปแล้วที่แดนนรกชั้นที่สิบสามเหรอ
ทำไมตัวเขาถึงได้กลับมายังห้องนอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยได้ และทำไมเขาถึงได้พบกับเฉินอวี้เฟิงในอดีตคนที่เขาได้สังหารไปแล้วด้วยมือของเขาเอง
ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดของอี้จื่อเซวียนรู้สึกสับสนเล็กน้อย และในเวลานั้นเองประตูห้องนอนก็ถูกคนผลักเปิด ฟั่นซูจวินสวมชุดนอนอันหลวมโครกใส่แว่นตาใบหน้าสะลึมสะลือเดินเข้ามาราวกับวิญญาณหลุดลอย เมื่อเห็นอี้จื่อเซวียนและเฉินอวี้เฟิง ฟั่นซูจวินดูเหมือนจะรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย “จื่อเซวียน นี่ดึกขนาดนี้แล้ว วันนี้บอกว่าต้องไปถนนเทียนสิงเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้ซูหว่านไม่ใช่เหรอ”
ถนนเทียนสิง ของขวัญวันเกิด ซูหว่าน
ในหัวของอี้จื่อเซวียนเกิดเสียงดังก้องครั้งหนึ่ง แววตาของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและอันตราย…
หรือเขากลับมาเกิดใหม่ แถมยังกลับมาเกิดใหม่ในวันที่เขาเลิกกับซูหว่านอีกต่างหาก!
สำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ อี้จื่อเซวียนจำได้ชัดเจนดีเป็นพิเศษ นี่ไม่ได้เป็นเพราะความคิดถึงของเขาที่มีต่อคนรักในอดีต แต่เป็นเพราะในวันนี้เขาได้ซื้อหยกประดับที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขามาชิ้นหนึ่งมาจากถนนเทียนสิง
มาถึงจุดนี้ อี้จื่อเซวียนไม่อาจคิดเรื่องอื่น เขารีบสวมเสื้อผ้าแล้วถลาวิ่งออกจากห้องนอนไป
“ให้ตายสิ จะรีบอะไรขนาดนั้น นี่รีบไปเกิดใหม่หรือไง!” เฉินอวี้เซวียนมองไปยังเงาร่างของอี้จื่อเซวียนอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบขึ้นมา ได้ยินคำพูดของเขา ฟั่นซูจวินเพียงแต่แย้มยิ้มออกมาอย่างลึกลับ “ใครจะไปรู้ล่ะ ไม่แน่เขาอาจจะรีบไปเกิดใหม่จริงๆ ก็ได้”
ทั้งกระวนกระวายทั้งตื่นเต้นมาตลอดทางจนถึงถนนเทียนสิง อี้จื่อเซวียนที่อยู่ไกลออกไปนั้นก็มองเห็นร้านขายเครื่องประดับขนาดไม่นับว่าใหญ่มากเท่าไรที่เขาซื้อหยกประดับร้านนั้น เขาวิ่งพุ่งเข้าในร้านเร็วราวกับบิน สุดท้ายเขากลับยืนนิ่งอยู่ที่ประตูทางเข้า
เมิ่งถิงเหยาในชุดเดรสสีขาวทั้งตัวสวยราวกับนางฟ้าจากความฝัน ยืนเงียบอยู่ในร้าน และกลางฝ่ามือเธอกำลังถือหยกประดับที่เดิมทีควรเป็นของเขาเอาไว้
ถิงเหยา…
อี้จื่อเซวียนสับสนอยู่ชั่วขณะ ในชาติก่อนเขาและเมิ่งถิงเหยาเป็นคู่รักกัน ในตอนนั้นพวกเขาล้วนแต่ติดอยู่ในโลกแห่งฝันร้ายชั้นที่เก้า อี้จื่อเซวียนได้รับพลังจากการสังหารฝันร้ายด้วยพลังประหลาดของเขา จากนั้นเขาก็ปกปิดพลังที่แท้จริงของตน พาเมิ่งถิงเหยาหนีเอาชีวิตรอดออกจากดินแดนแห่งความฝันได้
อี้จื่อเซวียนต้องยอมรับ ในตอนนั้นเขามีความลับอยู่ในใจ เขาชอบเมิ่งถิงเหยา อยากได้ใจเธอ ดังนั้นเขาจึงทำตัวเป็นวีรบุรุษเพียงหนึ่งเดียวในใจเธอ และกลายเป็นชายคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเธออย่างราบรื่น
นับแต่ออกมาจากโลกแห่งความฝันแล้ว อี้จื่อเซวียนก็เข้าใจไปว่าตัวเขาเองและเมิ่งถิงเหยารอดแล้ว แต่ทั้งสองคนกลับพบว่าพวกเขาไม่สามารถกลับไปสู่โลกเดิมได้อีก
เดิมที สถานที่ที่พวกเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น ก็คือจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และนรกภูมิ วิญญาณของพวกเขาทั้งแปดคนถูกดึงเข้าสู่ดินแดนแห่งนรก และฝันร้ายที่พวกเขาได้ประสบในตอนแรก เป็นเพียงบททดสอบของนรกชั้นที่หนึ่งเท่านั้น
ดินแดนนรกมีทั้งหมดสิบแปดชั้น มีเพียงผ่านบททดสอบทั้งสิบแปดชั้นเท่านั้นถึงจะสามารถกลับสู่โลกมนุษย์ได้ อี้จื่อเซวียนจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองอยู่ในโลกนั้นนานเท่าไร สังหารคนไปเท่าไร เขาจำได้เพียงว่าพลังประหลาดของตัวเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องและหญิงสาวข้างกายตนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น คนที่เขารักที่สุดก็ยังคงเป็นเมิ่งถิงเหยา
คิดถึงช่วงสุดท้ายของชาติที่แล้ว ตัวเขาถูกคนลอบโจมตี เมิ่งถิงเหยาเองก็คงตกอยู่ในอันตรายเหมือนเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะได้รับอันตรายหรือเปล่า
ถิงเหยา…
อี้จื่อเซวียนทอดถอนใจลึกๆ อยู่ในใจ ทุกอย่างในชาติที่แล้วผ่านไปแล้ว และพวกเขายังมีชาตินี้ที่ต้องใช้ชีวิตต่ออยู่
เมื่ออี้จื่อเซวียนจัดการจิตใจได้แล้วก็มองไปยังเมิ่งถิงเหยาอีกครั้ง แต่ก็พบว่าเธอจ่ายเงินซื้อหยกประดับลึกลับชิ้นนั้นไปแล้ว
มองเห็นเธอกำลังจะเดินจากข้างกายเขาไป อี้จื่อเซวียนก็ลองใจขึ้นมาทันที เขาใช้กำลังคว้าแขนของเธอเอาไว้โดยพลัน
เมิ่งถิงเหยาถูกคว้าตัวไว้เช่นนั้น สีหน้าก็บึ้งตึงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าคนที่คว้าตัวเองเอาไว้นั้นคืออี้จื่อเซวียน เธอก็ค่อยคลายสีหน้าลง ที่หว่างคิ้วนั้นยังคงเห็นถึงความไม่พอใจปรากฏอยู่รางๆ “เธอเองเหรอ มีเรื่องอะไร”
“หยกประดับชิ้นนั้น…”
สายตาของอี้จื่อเซวียนทอดไปยังหยกประดับที่แขวนอยู่บนหน้าอกของเมิ่งถิงเหยา แม้ว่าเขาจะพยายามเสแสร้งปกปิดสุดความสามารถ แต่เมิ่งถิงเหยาก็อยากรู้สึกได้ถึงแววตาที่ซ่อนอยู่กลางก้นบึ้งนัยน์ตาเขา
“นายชอบหยกอันนี้เหรอ”
เมิ่งถิงเหยารั้งแขนออกจากมือของอี้จื่อเซวียน พร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อืม ที่จริงแล้วฉัน…เอ่อ ซูหว่านชอบหยกประดับชิ้นนี้ ฉันตั้งใจจะซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด”
หยกประดับชิ้นนี้เหมาะสำหรับผู้หญิง อี้จื่อเซวียนเพียงหาข้ออ้าง แต่ดูไปแล้วก็สมเหตุสมผลดีไม่น้อย
“อ๋อ ไม่ยากเลย ที่จริงแล้วฉันก็ซื้อหยกหน้าตาแบบนี้ไว้หลายชิ้น ตอนแรกตั้งใจจะให้เป็นของขวัญกับรุ่นพี่รุ่นน้องที่อยู่ร่วมหอพักห้องเดียวกันอยู่แล้ว นายไม่ต้องซื้อให้เธอโดยเฉพาะก็ได้นะ ลองเลือกอันอื่นดูแล้วกัน”
พูดเสร็จ เมิ่งถิงเหยาก็ก้าวเท้าเดินจากไป แต่อี้จื่อเซวียนมีหรือจะยอมปล่อยให้เธอไป
“ถิงเหยา!”
เขารั้งตัวเธอเอาไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใบหน้าของเมิ่งถิงเหยาเย็นชายิ่งขึ้น “ฉันกับนายไม่น่าจะสนิทกันขนาดนั้นนะ เพื่อนร่วมชั้นอี้”
อี้จื่อเซวียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสำหรับเมิ่งถิงเหยาตอนนี้เขาก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นทั่วไปคนหนึ่ง
“ถิง…เมิ่งถิงเหยา ฉันรับปากซูหว่านแล้วว่าจะซื้อให้เธอ และซูหว่านก็ชอบแค่หยกที่เธอกำลังใส่อยู่ เธอจะยอมตัดใจยกมันให้ฉันได้หรือเปล่า เธอต้องการเงินเท่าไหร่ก็ได้”
“นายมีเงินเหรอ”
เมิงถิงเหยาช้อนตาขึ้นมองอี้จื่อเซวียนด้วยความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “วิญญูชนไม่แย่งของรักใคร ซูหว่านจะชอบหรือไม่ชอบฉันไม่รู้ แต่ตัวฉันชอบ รบกวนหลีกทางให้ด้วย ฉันรีบ!”
พูดแล้วเมิ่งถิงเหยาก็เดินผ่านอี้จื่อสาวรีบสาวเท้าจากไป
มองไปยังแผ่นหลังของเธอที่กำลังเดินจากไป ดวงตาของอี้จื่อเซวียนฉายแววขึ้นปลาบหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตามเธอไป…
ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างสงบเงียบ ในวันเกิดของซูหว่าน อี้จื่อเซวียนก็ได้เลิกกับเธอ และชีวิตหลังจากนั้นอี้จื่อเซวียนก็หาทุกวิถีทางเพื่อจะเข้าใกล้เมิ่งถิงเหยา เพียงแต่น่าเสียดาย นิสัยของเมิ่งถิงเหยาชางเย็นชาเสียเหลือเกิน ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าหา
จนผ่านไปครึ่งปี เฉินอวี้เฟิงเสนอให้ทุกคนออกไปเที่ยวอุทยานป่าในฤดูใบไม้ผลิด้วยกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเตรียมรถออดี้เจ็ดที่นั่งแสนจะหรูหราคันหนึ่งเป็นการเฉพาะ สามารถนั่งได้แปดคนพอดี
จนกระทั่งอี้จื่อเซวียนผู้ซึ่งคอยตามสนใจเมิ่งถิงเหยาไม่ห่างได้รู้ว่า เมิ่งถิงเหยายังคงใส่หยกประดับชิ้นนั้นอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้ปลุกพลังของหยกประดับชิ้นนั้นขึ้นมา และไม่ได้ค้นพบความลับของหยกประดับนั้น
ดังนั้น การไปเที่ยวฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้จึงกลายเป็นการท่องเที่ยวที่อี้จื่อเซวียนให้ความสนใจที่สุดครั้งหนึ่ง
เขาคุ้นเคยกับโลกความฝันนั้นในความทรงจำ เขาจะได้รับความไว้วางใจจากเมิ่งถิงเหยาอีกครั้งในโลกแห่งนั้น แล้วได้หยกประดับชิ้นนั้นมาในกำมือ ปลุกพลังประหลาดขึ้นมา แล้วเอาชนะฝันร้าย อย่างนี้แล้วก็สามารถพาเมิ่งถิงเหยาบุกฝ่าดินแดนนรกไปสู่โลกแห่งใหม่ได้เหมือนกับชาติที่แล้ว ครั้งนี้เขาจะต้องให้พวกคนที่หักหลังเขาจนตายต้องชดใช้หนี้เลือดนี้เป็นสิบเท่าร้อยเท่า
แผนการของอี้จื่อเซวียนช่างสมบูรณ์แบบ แต่เสียดายทั้งหมดนี้ผิดพลาดมาตั้งแต่เริ่ม
เฉินอวี้เฟิงรวมกลุ่มท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ก็เพื่อจีบเมิ่งถิงเหยา แม้ว่าเมิ่งถิงเหยาจะตอบรับคำขอของเฉินอวี้เฟิง แต่เธอกลับเปลี่ยนปลายทางในการเที่ยวขึ้นมาเสียดื้อๆ
ไม่มีอุบัติเหตุรถยนต์ ไม่มีฝันร้าย ไม่มีแม้แต่พลังประหลาด
อี้จื่อเซวียนสับสน รู้สึกว่าโลกทั้งใบนี้คือความผิดพลาด
ต้องมีที่ไหนผิดพลาดเป็นแน่ ชีวิตของเขาไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่นา
ในขณะที่อารมณ์ของเขากำลังว้าวุ่น ในที่สุดอี้จื่อเซวียนก็ยื้อตัวเมิ่งถิงเหยาซึ่งกำลังจะออกไปเดินเล่นไว้ที่หน้าประตูบ้านเดี่ยวของเมิ่งถิงเหยาเอง
เห็นว่าเธอยังคงแขวนหยกประดับไว้บนหน้าอก แววตาของอี้จื่อเซวียนก็ฉายแววแดงก่ำด้วยความละโมบคลุ้มคลั่งขึ้นมา “เอาหยกประดับมาให้ฉัน!”
หยกประดับ หยกประดับ เขาต้องการหยกประดับ เขาต้องการพลังประหลาด เขาไม่ต้องการเป็นมนุษย์ธรรมดาเพียงคนหนึ่ง เขาควรเกิดมาเพื่อเป็นคนเหนือคน!
ใบหน้าของอี้จื่อเซวียนค่อยโหดเ**้ยมขึ้น มองไปยังใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าดวงนั้น ในที่สุดเมิ่งถิงเหยาก็ถอนใจพลางเอานิ้ววางไปบนหยกประดับที่แวววาวเป็นเงาขึ้นมาแล้ว “อี้จื่อเซวียน ฉันรู้ว่านายชอบฉัน ที่นายคอยตามตื๊อฉันที่จริงแล้วนายอยากคบกับฉันใช่ไหม ความจริงนะ นายก็ไม่ใช่คนที่จะรับไม่ได้อะไรหรอก ความจริงฉันก็พอจะพิจารณาคบกับนายได้”
พูดเสร็จ เมิ่งถิงเหยาก็เงยหน้าขึ้น จ้องนิ่งไปยังอี้จื่อเซวียน “อี้จื่อเซวียน นายมาเป็นแฟนฉัน และพวกเราก็สามารถมีชีวิตอย่างมีความสุข นายว่ายังไงล่ะ”
ความสุขเหรอ
สายตาของอี้จื่อเซวียนยังคงจดจ้องไปยังหน้าอกของเมิ่งถิงเหยา เขาเคยตัวกับการเป็นคนเหนือคน เขามองคนธรรมดาเป็นดั่งมดแมลงไปนานแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองมีตัวตนในฐานะประหนึ่งเทพเทวาซาตานไปแล้ว ตัวตนเขาแบบนี้จะให้ยอมเป็นปุถุชนคนธรรมดาได้ยังไง
“ถิงเหยา ฉันรักเธอ ฉันยอมอยู่กับเธอชั่วชีวิต คนดี เอาหยกมาให้ฉันเถอะนะ ฉันจะพาเธอเดินไปสู่จุดสูงสุดอันรุ่งโรจน์ บนโลกนี้ไม่มีใครเหนือกว่าฉันได้อีกแล้ว”
อี้จื่อเซวียนราวกับเห็นภาพชีวิตของตนในชาติก่อนที่นั่งอยู่ท่ามกลางเงินทองและหญิงงามรายล้อมมากมายนับไม่ถ้วน นี่สิถึงจะเป็นชีวิตที่เขาคู่ควร
“หึ…หึๆ”
ได้ยินคำพูดของอี้จื่อเซวียน ในที่สุดเมิ่งถิงเหยาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา เธอหัวเราะไปพลาง น้ำตาไหลไปพลาง
ที่แท้แล้ว สิ่งที่ฟั่นซูจวินพูดเป็นความจริง
เธอเฝ้าปรารถนาที่จะครองคู่กันทุกภพทุกชาติ เธอหวังเพียงว่าอี้จื่อเซวียนจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ใช้ชีวิตตราบจนแก่เฒ่าไปด้วยกัน มันเป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ เพ้อเจ้อของเธอโดยแท้จริง
“หยกประดับและฉัน นายเลือกได้แค่อย่างเดียว”
เมิ่งถิงเหยาถอดหยกออกมาวางไว้กลางฝ่ามือของตน ในใจของเธอยังหลงเหลือความหวังเส้นบางๆ เส้นสุดท้าย
แต่ว่า อี้จื่อเซวียนเพียงแต่ลังเลอยู่ชั่วคราว แล้วก็เลือกหยกประดับลึกลับชิ้นนั้น
คนอย่างอี้จื่อเซวียน มองผิวเผินแล้วเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แต่ความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง
ซูหว่านมองอี้จื่อเซวียนที่กำลังดีใจเพราะได้พลังประหลาดของตนกับคืนมาอยู่เงียบๆ มองดูเมิ่งถิงเหยาหันหลังเดินจากไปด้วยความเสียใจอยู่เงียบๆ
ว่ากันว่าความรัก ใครหวั่นไหวก่อน คนนั้นคือผู้แพ้
คำพูดนี้ บางครั้งก็ไม่แม่นยำเสมอไป
บางคน จิตใจหวั่นไหวง่าย บางคนก็เปลี่ยนใจง่าย
ตั้งแต่โบราณมาผู้ชายหัวใจไม่มั่นคง แต่ซูหว่านก็เชื่อว่าบนโลกนี้ก็ยังมีผู้ชายดีๆ ที่ยึดมั่นในความรักอยู่ อย่างลู่ฉินนั่นไง
แต่ที่มีมากกว่า ก็คือผู้ชายอย่างอี้จื่อเซวียน ไม่พอใจในความธรรมดา มักใหญ่ใฝ่สูง คิดไปเองว่าตัวเองยึดมั่นในความรักอย่างมั่นคง แต่ในความจริงคือคนที่จิตใจไม่มั่นคงที่สุด…
“ฟั่นซูจวิน ภารกิจของนายในครั้งนี้ทำได้ไม่เลว”
ซูหว่านเหลียวกลับ มองฟั่นซูจวินที่ยืนอยู่หลังเธอเงียบๆ แวบหนึ่ง ฟั่นซูจวินยังคงยิ้มอย่างกะอักกะอ่วนเช่นเดิม “ต่อไปเธอจะทำอะไร”
“ฉันจะให้อี้จื่อเซวียนลงไปยังความฝันชั้นถัดไปแล้วถูกหักหลังต่อ กลับไปเกิดใหม่ต่อ…จนกว่าจะถึงวันที่เขาไม่เหลืออะไรอีก”
เสียงของซูหว่านสงบนิ่ง ไม่มีความเยือกเย็นแม้สักนิด แต่ฟั่นซูจวินกลับรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
ผู้หญิง เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวจริงๆ
ฟั่นซูจวินไม่เข้าใจว่าทำไมซูหว่านต้องทรมานอี้จื่อเซวียนอย่างนี้ ทว่า เขาก็ไม่ได้คิดจะสืบสาวราวเรื่องต่อ
เขาและซูหว่านเพียงแต่ทำงานร่วมกัน หรืออาจจะพูดได้อีกว่าเป็นความสัมพันธ์แบบลำดับชั้น เธอสั่งอะไร เขาก็ทำอย่างนั้น ทุกคนต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ จุดจบออกมาน่ายินดี แค่นี้ก็พอแล้ว…
…………
เมื่อซูหว่านลืมตาขึ้นในห้องควบคุมอีกครั้ง แววตาของเธอดูเชือดเฉือนเป็นพิเศษ
ในโลกความฝัน เธอถูกหักหลังทอดทิ้ง สุดท้ายเมิ่งถิงเหยาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเขาอีก ทุกคนล้วนไปจากเขา เหลือเพียงเขาคนเดียว ที่กำลังดิ้นรนอย่างขมขื่นในความฝันของวันวาน
นี่ก็คือจุดจบของอี้จื่อเซวียน
ออกจากห้องควบคุม ซูหว่านก็ตรวจคะแนนที่สะสมของตน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใดพลันเปิดแผงควบคุมภารกิจในเครื่องรับสัญญาณ…
การเจอคนฝ่ายนั้นโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนครั้งนี้ ทำให้ซูหว่านรู้สึกแย่อย่างมาก เวลานี้เธอต้องการจะเข้าสู่โลกภารกิจที่ง่ายๆ สบายๆ สักแห่งโดยด่วน เพื่อจะได้สงบสติอารมณ์ตัวเองสักพัก…