ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 4 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (4)
ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก – ตอนที่ 4 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (4)
ซูหว่านได้สติเมื่อกลิ่นหอมฉุยของบางอย่างลอยเข้าจมูก เธอเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างงุนงงและเห็นฉีมู่กำลังง่วนอยู่กับการย่างเนื้อกระต่ายอยู่
ฟังเถียนเถียนยังคงเอนตัวพิงเธออยู่ เด็กสาวร่างเล็กนอนหลับอย่างเป็นสบายใจ
“เธอตื่นแล้วเหรอ”
ฉีมู่เงยศีรษะขึ้นมามองเธอเหมือนกับได้ยินเสียงขยับกายของเธออยู่อีกด้าน ดวงอาทิตย์ฉายส่องผ่านยอดไม้และใบไม้สีเหลื่อมกันไป ประกายงามส่องระยิบระยับทาบทับเขา สะท้อนเสี้ยวหน้าของชายหนุ่ม จังหวะนั้นรอยยิ้มของชายคนนี้พลันเสมือนความอบอุ่นหายากราวกับน้ำพุร้อน
ซูหว่านได้แต่มองหน้าเขาก่อนเลื่อนสายตาไปที่กิ่งไม้ในมือของเขา “ที่แท้พี่ก็ทำอย่างนี้เป็นด้วย ดูเป็นคนที่น่าทึ่งดีนะคะ”
คนเอ้อระเหยลอยชายผู้มั่งคั่ง ลูกชายคนโตของตระกูลล่ำซำที่เสวยสุขในตำแหน่งสูงส่งและใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย มันชวนผู้คนชายตามองเสียจริง
แววตาฉีมู่วูบไหวด้วยท่าทีอ่านยากพร้อมใบหน้าแต้มรอยยิ้มไม่ยี่หระอย่างเคย “ถ้าออกจากห้องโถงไปห้องครัวไม่ได้ เธอจะมีหน้าไปจีบผู้หญิงได้ยังไงกันล่ะ สมัยนี้ผู้ชายที่ทำอาหารไม่เป็นไม่นับว่าเป็นสามีที่ดีหรอกนะ!”
เขาฉีกเนื้อย่างร้อนๆ และยื่นให้ตรงหน้าซูหว่านขณะที่เอ่ย “เชิญคุณสุภาพสตรีก่อนเลย! ไม่ต้องห่วง ฉันล้างมือแล้ว!”
ซูหว่านไม่ได้ไม่มีเหตุผลและรับเนื้อย่างนั้นมาค่อยๆ กิน ฟังเถียนเถียนตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นหอมในที่สุดเช่นกัน ทั้งสามกินกระทั่งอิ่มหนำก่อนเริ่มปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
กระเป๋าเดินทางที่ฉีมู่ขนมาด้วยนั้นใหญ่โต มีข้าวของสำหรับการใช้ในที่โล่งแจ้งและน้ำอีกไม่กี่ขวด แม้ว่าพวกเขาจะไม่อดตายหากรออยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็จะอ่อนระโหยโรยแรงในสักวันหนึ่ง ในที่สุดทั้งสามก็ตัดสินใจลุยต่อและจดจ่อกับเส้นทางที่จะเดินไป แม้ว่าจะไม่พบคนอื่นๆ ทว่าอย่างน้อยก็อยากหาทางออกจากป่านี้ให้ได้
วันต่อมาเป็นไปด้วยความน่าเบื่อหน่าย หากแต่ยิ่งเงียบเหงาซูหว่านก็ยิ่งอึดอัดใจ กระทั่งตกดึกฟังเถียนเถียนตะโกนออกมาขณะที่หันหน้าไปทางหนึ่งราวกับได้เจอโลกใหม่ “ซูหว่านๆ มาดูเร็วเข้า! มีบ้านอยู่ตรงนั้นด้วยละ!”
บ้านหรือ
ซูหว่านกับฉีมู่ช้อนตาขึ้นมองพร้อมกัน มีบ้านไม้ไผ่ตั้งโดดเดี่ยวใต้ร่มไม้ไม่ผิดแน่
บ้านไม้ไผ่…
เป็นอีกครั้งที่สีหน้าซูหว่านเปลี่ยนไป
ในความทรงจำของเธอความฝันมิติแรกไม่ได้เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน! บ้านไม้ไผ่หลังนี้ก็ไม่เคยปรากฏขึ้นมาเช่นกัน!
อีกทั้งบ้านไม้ไผ่แบบนี้….
ในจังหวะที่ซูหว่านกำลังลังเลใจอยู่ที่ดงไม้รกชัฏซึ่งอยู่ห่างออกไป แสงริบหรี่พลันสว่างวาบขึ้นมาในบ้านไม้ไผ่
“ใครน่ะ ซูหว่านกับฟังเถียนเถียนเหรอ”
พวกเขาได้ยินน้ำเสียงทุ้มของชายคนหนึ่ง เมื่อรับรู้ถึงเสียงนี้ดวงตาฟังเถียนเถียนก็ฉายแววสดใสขึ้นมา “ฉินลู่ๆ! นายนี่เอง! พวกเราอยู่นี่!”
ฉินลู่เองก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของอี้จื่อเซวียน ซ้ำยังเป็นเป้าหมายของรักฝังใจของฟังเถียนเถียนอีกด้วย
เมื่อมั่นใจแล้วเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากในป่าคล้อยหลังเสียงของฟังเถียนเถียนจบลงไม่นานนัก ก่อนที่ร่างสูงของฉินลู่จะปรากฏต่อหน้าทั้งสามคน
เขายังคงสวมชุดกีฬาสีดำที่ใส่มาในครั้งที่แยกจากกันพร้อมถือไฟฉายไว้ในมือ
ฉินลู่ดูโล่งใจอยู่มากเมื่อเห็นทั้งสามคน “ในที่สุดพวกเธอทั้งสามคนก็กลับมาสักที!”
ซูหว่านชะงักไป ฉีมู่เองก็มุ่นคิ้วน้อยๆ มีเพียงฟังเถียนเถียนที่ระเบิดหัวเราะเก้อเขินออกมาคล้ายเห็นคนอันเป็นที่รักของเธอ ไร้ซึ่งความหวาดระแวง ท่าทีประหวั่นพรั่นพรึง และความกลัวที่เธอมีมาตลอดทั้งวัน
“เข้ามาด้านในสิ ทุกคนอยู่ที่นี่หมดแล้ว”
เขาว่าพลางถือไฟฉายหันหลังเดินกลับไปยังบ้านไม้ไผ่ ฟังเถียนเถียนระบายยิ้มออกมาโดยปริยายและเดินตามเขาไป
ซูหว่านย่ำเท้าไปเชื่องช้าอย่างใจลอย ฉีมู่เองก็เดินตามหลังเธอและชะลอฝีเท้าตัวเองลงเช่นกัน
“เธอไม่รู้สึกว่ามันแปลกมากบ้างเหรอ”
เขาโน้มลงมากระซิบข้างหูเธอ ด้วยความที่เขาสูงกว่าเธอมาก ตอนนี้เขาจึงกำลังก้มศีรษะลงมา ออกจะเอนตัวลงมาหน่อยๆ ด้วยซ้ำ ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาไล้รินที่หูของซูหว่าน
เธอนึกไม่พอใจกับระยะห่างชวนเข้าใจผิดเกินไปเช่นนี้ไม่น้อย ทว่าตอนนี้เธอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจริงๆ
ทั้งสี่คนมาถึงหน้าบ้านไม้ไผ่ ซูหว่านจดจ้องบ้านตรงหน้าเธออย่างระมัดระวัง อาคารมีสามชั้นและดูเหมือนจะสร้างไว้นานพอสมควรแล้ว พาให้รู้สึกเหมือนได้ผ่านช่วงเวลาที่ผันแปรไป
“จื่อเซวียน อวี้เฟิง ฉีมู่กับพวกเขากลับมาแล้ว!”
ทันทีที่เขามาถึงประตู ฉินลู่ตะโกนลั่นเข้าไปด้านใน “เอี๊ยด แกร๊ก” ทางเข้าอาคารไม้ไผ่เปิดกว้างขึ้นพร้อมกับเสียงร้องของเขา ชายหนุ่มในเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนสีฟ้ายืนอยู่หน้าประตู สายตาส่งไปทางซูหว่านในทันที
อี้จื่อเซวียน
ซูหว่านเองกำลังสบมองเขาอยู่ในตอนนั้นเช่นกัน รูปร่างของอี้จื่อเซวียนกำยำและล่ำสัน เพราะว่าเขาเกิดบนเขาผิวของเขาจึงไม่ได้ขาวเสียทีเดียวแต่กลับเหลืองนวลดูสุขภาพดี ชายท่าทางมาดดีและล้ำสมัยเช่นนี้ประกอบกับเครื่องหน้าหล่อเหลาน่ามอง เป็นชนวนหลักให้หัวใจของเจ้าของร่างเดิมสั่นไหวไม่เป็นส่ำ
น่าเสียดาย…
“ในเมื่อพวกเธอกลับมากันครบแล้วก็รีบเข้ามาเถอะ”
เป็นอี้จื่อเซวียนที่เปิดปากพูดออกมาก่อนในท้ายที่สุด น้ำเสียงหมางเมินของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
เฉินอวี้เฟิงซึ่งอยู่ข้างประตูเคลื่อนตัวไปด้านข้างและลอบยกยิ้มมุมปากให้ฉีมู่ ทุกคนรู้ว่าอี้จื่อเซวียนกับซูหว่านเลิกรากันไปกว่าครึ่งปีแล้ว แม้ว่าทั้งคู่จะยังโสดแต่ก็ไม่มีทางที่จะกลับมาคบกันได้
ซูหว่านยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง เมื่อเห็นว่าเธอไม่เข้าใจฉีมู่ก็ไม่ขยับไปไหนเช่นกัน
มีเพียงฟังเถียนเถียนที่เดินตามฉินลู่ไปอย่างไม่คิดมาก หลังจากเดินไปทางประตูเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองซูหว่าน “ทำไมพวกเธอไม่เข้ามาล่ะ”
เท้าของฟังเถียนเถียนได้เหยียบเข้าไปในบ้านไม้ไผ่นั้นแล้วขณะที่เธอเอ่ย
“กลับมานะ!”
ซูหว่านพลันคว้าแขนของฟังเถียนเถียนไว้ทันที บ้านไม้ไผ่นั้นเริ่มบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาดในเสี้ยววินาที ในที่สุดมันก็ได้เปลี่ยนเป็นหลุมลึกไม่มีที่สิ้นสุด ฉินลู่ อี้จื่อเซวียน และเฉินอวี้เฟิงกลายเป็นจิ้งจอกดำต่อหน้าต่อตาพวกเขา ซูหว่านยังคงจับแขนฟังเถียนเถียนไว้แน่น ฟังเถียนเถียนซึ่งถูกหมอกดำกลืนกินไปกว่าครึ่งค่อยๆ หันศีรษะมา ใบหน้าเสียโฉมรุนแรง ลูกตาทั้งสองหลุดออกมาจากเบ้า และแกว่งไหวไม่หยุดบนใบหน้าสยดสยองนั้น
เลือดไหลพลั่กตามริมฝีปากแดง ลมหายใจน่าหวาดผวาชวนขนลุกแผ่ซ่านเปิดปากเผยให้เห็นฟันแหลมคมขาว “ซูหว่าน ฉันกำลังจะตายอย่างน่าอนาถเหลือเกิน ฉันกำลังจะตายอย่างโหดเ**้ยมถึงขนาดนี้!”
มือของฟังเถียนเถียนพลันเปลี่ยนเป็นกระดูกคมกริบ หมายจะฟันเข้าที่หัวใจของซูหว่าน
“ระวัง!”
ฉีมู่โผเข้ามาจากอีกด้านทันทีก่อนฉวยช่วงชุลมุนตีเข้าที่มือของฟังเถียนเถียนให้คลายออก เขาดึงตัวซูหว่านวิ่งเข้าไปในป่าโดยที่ไม่หันหลังกลับมามอง
หมอกดำมืดแผ่ปกคลุมไปทั่วผืนป่าอย่างเงียบงัน ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ดูเหมือนว่าต้นไม้จะลุกขึ้นมามีชีวิต แยกเขี้ยวและกวัดแกว่งกรงเล็บโจมตีมาทางซูหว่านกับฉีมู่อย่างไม่ให้ตั้งตัว
กิ่งไม้หนาแหลมคมพุ่งเข้าหาพวกเขาจากทุกสารทิศไม่เว้นแม้แต่ใต้ฝ่าเท้า ซูหว่านรู้สึกถึงเพียงภาพที่เห็นซึ่งพร่าเลือนไป ทั้งกายถูกกกกอดและปกป้องโดยฉีมู่ ยอดไม้ที่คมราวกับมีดเหล่านั้นเสียดแทงเข้ามาในร่างของเขาฉับพลัน ทิ้งรอยนองเลือดน่าหวาดหวั่นบนตัวของเขา
เลือดไหลทะลักออกมาจากร่างคล้ายเป็นของแถม ม่านสายตาของซูหว่านอาบไปด้วยสีเลือด
“ฉีมู่…”
เธอหาเสียงตัวเองเจอหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
ใบหน้าเขาเปื้อนเลือด มุมปากยังคงยกยิ้ม “ถึงวีรบุรุษจะช่วยชีวิตสาวงามไว้ แต่มันไม่ใช่…มันไม่ใช่แนวของฉันเลย แต่ว่า…มันก็เป็นคำพูดของเธอ…”
ไม่ทันที่เขาจะพูดจบกิ่งไม้แหลมเหล่านั้นก็รุกคืบมาบดบังฟากฟ้าปกปิดผืนดินอีกครั้ง ฉีมู่หลับตาลงราวกับยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
ดวงตาซูหว่านในตอนนี้แดงก่ำเช่นกัน เธอถูกโอบกอดในอ้อมแขนของฉีมู่ไว้แน่น มือเท้าไม่อาจขยับไหวหากแต่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่อาจทำสิ่งใดได้
“ตื่นขึ้นมาสิคะ!”
ซูหว่านพลันแผดเสียงเรียกเขา
“ฉันบอกให้พี่ตื่นขึ้นมาไงคะ!”
กองไฟที่ล้อมรอบมอดดับไปแล้วท่ามกลางดงป่ามืดมิด
สายลมยามค่ำคืนหนาวเหน็บ ทว่า…
ฉีมู่ฟื้นขึ้นมาจากนิทราพร้อมเหงื่อเย็นที่แตกพลั่ก ก่อนจะเห็นภาพตรงหน้าเขา
ซูหว่านกับฟังเถียนเถียนยังคงนั่งเอนหลังพิงกันอยู่อีกด้านขณะพ่นลมหายใจของพวกเธอออกมา
มันเป็น…ความฝันหรือ
ฉีมู่คลำเนื้อตัวอย่างไม่ได้สติ ร่างกายของเขายังเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ได้มีบาดแผลแต่อย่างใด
ดูเหมือนเขาจะแค่ฝันร้าย หากแต่…มีความพิศวงบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถจำเรื่องที่เกิดขึ้นในความฝันได้
มันจะเป็นเพียงความฝันจริงหรือ
ความหวาดกลัวยังคงเกาะกินในจิตใจของเขา เขาไม่อาจข่มตาหลับลงอีกต่อไปและทำได้เพียงจ้องมองกองไฟที่กำลังลุกโชนอย่างเลื่อนลอย
ฉีมู่ไม่ทันได้สังเกตว่ามีการขยับกายอย่างเงียบเชียบในอีกฟากหนึ่ง ลมหายใจของเธอติดขัดไปครู่หนึ่งแต่ก็ค่อยๆ กลับมาสงบลง
ในท้ายที่สุดมันจะเป็นความฝันจริงหรือ
เขาไม่รู้ เธอเองก็ไม่รู้เช่นกัน