ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 6 ระบบพลิกบทนางรอง (6)
มีหัวหน้าบอสใหญ่จอมทำลายล้างอย่างซูรุ่ยเข้าร่วมด้วย ทำให้ความคิดที่จะสำรวจพื้นที่ที่ถูกยึดครองในเมือง S ของซูหว่านสำเร็จได้ไวกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก การเก็บกวาดในครั้งนี้ พวกเขาได้แกนผลึกของซอมบี้มามากมาย ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่แกนผลึกซอมบี้ระดับล่าง แต่ก็เพียงพอให้ซูหว่านและเยี่ยนอวี่ดูดซับและเลื่อนระดับแล้ว
สิ่งเดียวที่ทำให้ซูหว่านค่อนข้างแปลกใจก็คือ พวกเขาตามหาซูเหยียนไม่เจอ
หรือว่าจะเป็นเพราะการเกิดใหม่ของหยางจื่อซี จึงทำให้ชะตาชีวิตของทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปหมด
“ซูเหยียนน่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว และแน่นอนว่าตัวคุณเองก็ต้องเตรียมใจรับเรื่องเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้”
เรื่องราวการดำเนินเรื่องที่ซูรุ่ยได้รับมา ครอบคลุมกว่าของซูหว่านอยู่บ้าง เรื่องราวของโลกนี้ที่ซูหว่านได้รับมาเน้นการดำเนินเรื่องของนางเอกเป็นหลัก
แต่เรื่องราวของโลกนี้ที่ซูรุ่ยได้รับมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความโหดร้ายและเรื่องดำมืดของโลกนี้เป็นหลัก
การที่หยางจื่อซีส่งคนออกตามหาเยี่ยนอวี่ที่ยังไม่ถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครอบงำอยู่ที่นี่ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอก็อาจจะส่งคนมากำจัดซูเหยียนที่เป็นจุดบอดของเยี่ยนอวี่ไปแล้วก็ได้
ยังไงก็ตามแต่ ซูเหยียนเองก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของซูหว่าน เป็นคนที่หยางจื่อซีไม่สามารถวางใจใช้งานได้อยู่แล้ว สำหรับศัตรูที่มีศักยภาพอย่างนี้ ต่อให้เปลี่ยนเป็นซูรุ่ยเอง ก็ต้องชิงลงมือก่อนเป็นยอดดี
“ถ้าอย่างนั้น ก็คงได้แต่ฟังชะตาฟ้าลิขิตแล้วละ พวกเราก็ไปจากที่นี่กันเถอะ”
หลังจากที่ซูหว่านใช้จิตสื่อสารกับซูรุ่ยสักพักหนึ่งแล้ว เธอจึงตัดสินใจออกจากที่นี่ เพราะขืนเธออยู่ที่เมือง S ต่อไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสามเดือนหลังจากเหตุการณ์โลกาวินาศ เหล่ามนุษย์ก็ทยอยมีผู้มีพลังพิเศษระดับสามเพิ่มมากขึ้น และผู้แข็งแกร่งที่มีพลังระดับสามเหล่านี้ก็จะอยู่ในป้อมปราการตามเมืองที่โชคดีรอดพ้นจากการรุกรานของซอมบี้ หรือสร้างฐานที่พักสำหรับผู้รอดชีวิต
ฐานที่อยู่ห่างจากตัวเมือง S ที่ใกล้ที่สุดคือฐานชังหยาซึ่งก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มย่อยชังหยาง
ในช่วงแรกของยุคโลกาวินาศ ที่นี่ก็ถือว่าเป็นฐานที่ใหญ่มากแล้ว แต่จากการแปรผันของเวลา ผู้มีพลังแข็งแกร่งยิ่งมากขึ้นเท่าไร เหล่าซอมบี้เองก็ยิ่งมีพัฒนาการตามเหล่าผู้แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย ฐานชังหยาเองก็ค่อยๆ ล่มสลายลง สุดท้ายแล้วผู้นำของฐานชังหยาก็ถูกซอมบี้ที่มีพลังระดับหกตนหนึ่งฆ่าตาย คนที่เหลือก็เริ่มแยกย้ายกันไป ทำให้ที่ฐานเหลืออยู่เพียงผู้อ่อนแอ ทั้งคนชราทั้งเด็กและผู้ป่วย สุดท้ายแล้วชะตากรรมของผู้คนเหล่านี้ ไม่ต้องเดาให้มากความก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว
เนื่องจากรู้ดีถึงชะตากรรมของฐานชังหยา ดังนั้นหยางจื่อซีจึงไม่ได้พาคนของตนเองไปที่ฐานชังหยา แต่เธอเลือกที่จะไปยังฐานหลงเสียงที่อยู่ใกล้กับเมือง B แทน
ที่นี่ป้องกันง่ายแต่โจมตียาก แล้วยังอยู่ใกล้กับค่ายทหารเมือง B อีก ระหว่านฐานหลงเสียงและเมือง B จะมีฐานทหารลับแห่งหนึ่งอยู่ ที่นั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์และทรัพยากรอื่นๆ เยอะแยะมากมาย
หลังจากที่ได้รู้ข้อมูลของฐานทหารแห่งนั้นจากระบบแล้ว หยางจื่อซีก็เริ่มให้ความสนใจในอาวุธยุทโธปกรณ์และทรัพยากรของที่นั่น แต่ก่อนหน้านั้น เธอจะต้องมีจุดยืนที่มั่นคงในฐานหลงเสียงนี้เสียก่อน…
กลับกันกับหยางจื่อซี ซูหว่านเลือกฐานชังหยา
ในตอนนี้ เธอยังไม่อยากแสดงตัวให้คนอื่นได้รู้ แล้วฐานชังหยาก็อยู่ห่างจากอีกสี่ฐานใหญ่ของมนุษย์ค่อนข้างมาก และอยู่ห่างจากฐานทัพทหารมากด้วย ที่นี่จึงเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ในการวางแผนของพวกเธอเป็นอย่างมาก…
สามวันผ่านไป ที่ด้านนอกของฐานชังหยา
หลี่เทาผู้มีพลังพิเศษสายวารี เขาพาลูกและภรรยาของเขาหนีมาจากเมือง S ในที่สุดก็มาถึงด้านนอกของฐานชังหยาแล้ว ฐานชังหยาในขณะนี้กำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีคนมาต่อแถวรับการตรวจเอกสารเข้าฐานที่หน้าประตูหลักเป็นจำนวนมาก
ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงแรกๆ ของยุคโลกาวินาศแล้ว มนุษย์ในตอนนี้จึงมีการแบ่งระดับด้วยพลังพิเศษค่อนข้างชัดเจน
ผู้มีพลังพิเศษทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนทั่วไป แล้วกลุ่มคนที่ไม่ได้รับความรักจากพระเจ้ามากนัก ถ้าพวกเขาอยากจะเข้าไปเป็นพลเมืองในฐานผู้รอดชีวิตละก็ จะต้องผ่านการตรวจสอบและการคัดเลือกที่เข้มงวดมาก แล้วยังจะต้องมีทรัพยากรมาจ่ายพอสมควรเลยละ คุณถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปเป็นผลเมืองในฐานนั้นๆ ได้
และเมื่อเข้าไปแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นพลเมืองชั้นล่างสุด
ถ้าตามหลักความสามารถของหลี่เทาแล้ว เขาเป็นสายวารีที่หาได้ยากมากๆ จริงๆ เขาอยากจะแสดงพลังความสามารถออกมาเพื่อพาครอบครัวของเขาเข้าไปอยู่ในฐานอย่างอภิสิทธิ์ชน
แต่ว่าเมื่อวานนี้ ในระหว่างทางพวกเขากลับเผชิญหน้ากับกลุ่มซอมบี้จำนวนมาก เพราะความไม่ระวังเพียงครู่เดียว ทำให้ลูกชายวัยสี่ขวบของเขาถูกซอมบี้ข่วนเข้าให้!
ตามหลักการการเพาะเชื้อของไวรัสชนิดนี้แล้ว หลังจากที่เด็กคนนี้รับเชื้อเข้าไปสี่สิบแปดชั่งโมงแล้วจะเป็นช่วงเพาะเชื้อ จากนั้นมันก็จะเริ่มแสดงอาการแล้วทำให้กลายเป็นซอมบี้ไปในที่สุด
แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่สามารถต่อต้านเชื้อไวรัสได้ด้วยตัวเอง แล้วยังสามารถกระตุ้นพลังพิเศษของตัวเองได้สำเร็จอีกด้วย
แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็สามารถพบเห็นได้น้อยมากๆ
หลี่เทาเข้าใจดี ลูกชายของเขาเพิ่งจะสี่ขวบ จะไปมีภูมิคุ้มกันต้านทานไวรัสร้ายกาจขนาดนั้นได้ยังไง
ชัดเจนอย่างมาก ฐานชังหยาก็อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ ชีวิตสงบสุขที่คาดหวังมาตลอดทางอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ประตูบานนั้นราวกับมีแม่น้ำเชี่ยวกรากที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้มาขวางกั้นเอาไว้
“พี่เทา”
ภรรยาของหลี่เทาจางย่าเหมยที่อยู่ข้างๆ สูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งหนึ่ง เธอกอดร่างของลูกชายที่หลับสนิทไว้แนบอก หันไปยิ้มบางๆ ให้กับหลี่เทา “พี่เทา พี่เข้าไปเถอะ อย่าสนใจพวกเราสองแม่ลูกอีกเลย! พี่ก็ถือซะว่าพวกเรา…ตายไปแล้ว”
แม่ลูกผูกพันธ์ จากย่าเหมยทิ้งลูกชายของตัวเองไม่ลง และเธอก็รู้ตัวดีว่า ในชาตินี้เธอคงจะไม่สามารถกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษอะไรได้
ตั้งแต่ยุคโลกาวินาศเป็นต้นมา เธอกับลูกชายก็เป็นภาระให้เขามาตลอด แล้วตอนนี้ลูกชายยังมาเป็นแบบนี้อีก เธอไม่อยากเห็นลูกชายกลายเป็นตัวประหลาดต่อหน้าต่อตาแบบนี้…
จางย่าเหมยคิดไว้แล้ว ถ้าพ้นช่วงเพาะเชื้อไป ถ้าหากว่าลูกชาย…ถ้าหากว่าเขากลายเป็นซอมบี้ไปจริงๆ เธอก็จะฆ่าเขาซะ แล้วเธอก็จะฆ่าตัวตายตามลูกชายไป
“ย่าเหมย! พูดเหลวไหลอะไรของเธอ!”
หลี่เทาที่ได้ฟังคำพูดของภรรยตนเองแล้ว รีบพูดตัดบทเธอด้วยเสียงดัง “ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เธอ…อย่าแม้แต่จะคิดเชียว! ฉันจะไม่มีวันทิ้งพวกเธอไว้แน่ ต่อให้ ต่อให้ต้องตาย พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกก็จะตายด้วยกัน!”
ได้ฟังคำพูดของหลี่เทา จางย่าเหมยอ้าปากค้าง สุดท้ายก็ก้มหน้าลงมองดูลูกชายในอ้อมแขน น้ำตาค่อยๆ ไหลซึมออกมา
ฉากการตัดสินความเป็นความตายแบบนี้มีให้ได้เห็นอยู่ทุกวันในยุคโลกาวินาศนี้…
บางคนเพื่อให้มีชีวิตรอด กลับทอดทิ้งภรรยาและลูก ทอดทิ้งความรัก แต่กับบางคนที่ยอมอดตายไปพร้อมกันก็จะไม่มีวันแยกจากครอบครัวเด็ดขาด
‘คัมภีร์ความดีสิบประการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้’ ในคัมภีร์นี้เคยมีคำกล่าวไว้ว่า คนเราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
การกระทำ ‘เพื่อตัวเอง’ ในที่นี้ จริงๆ แล้วก็เพื่อเป็นการกล่าวเตือนทุกคนว่า เพื่อตัวเองแล้วอย่าทำความชั่ว จะต้องทำความดีเพื่อให้ได้ความดีตอบแทนคืน คนเราอยู่บนโลกนี้ อย่ากระทำความชั่ว ไม่อย่างนั้นจะได้รับผลกรรม ทำให้ไม่มีที่ยืนในสังคม!
คำกล่าวเตือนแบบนี้ นานวันเข้าก็กลายเป็นคำพูดติดปากของพวกละโมบ นี่อาจจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การมาถึงของยุคโลกาวินาศ ทำให้ความคิดชั่วร้าย ความโลภมากที่อยู่ภายใต้ก้นบึ้งของจิตใจมนุษย์ค่อยๆ ได้เผยธาตุแท้ออกมา…
ผ่านไปชั่วพริบตา ก็เป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ด้านนอกของฐานชังหยาก็ยังคงมีคนยืนต่อแถวยาวเหยียดราวกับมังกร
หลี่เทาพาครอบครัวค่อยๆ เดินไปทางป่าด้านนอกของฐาน หลี่เสี่ยงได้รับเชื้อไวรัสมาเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ตอนนี้สีหน้าของเด็กเริ่มมีสีเขียวคล้ำ และมีอาการบวมขึ้นเล็กน้อยแล้ว
ถ้าหากว่ามีคนอื่นสังเกตเห็น จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่ ยิ่งถ้าไปเจอพวกที่ไม่มีเหตุผลด้วยแล้วละก็ พวกเขาจะต้องรวมตัวกันมาทำร้ายเด็กอย่างแน่นอน และนี่เป็นสิ่งที่หลี่เทาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
ในขณะที่กลุ่มของหลี่เทาเพิ่งจะเดินเข้ามาในเขตป่า ก็มีผู้ใช้พลังพิเศษกลุ่มเล็กๆ เดินออกมาจากในป่า ผู้นำกลุ่มของกลุ่มนี้ เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอายุน้อยคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาแต่งกายด้วยชุดธรรมดา แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านเรื่องราวมามากมายของตัวเองทำให้เขาดูออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ ก่อนเกิดยุคโลกาวินาศ เขาจะต้องเป็นลูกหลานผู้มีฐานะใช้ชีวิตสุขสบายคนหนึ่ง
พอเห็นสองสามีภรรยา เด็กหนุ่มคนนั้นก็ชะลอฝีเท้าลง “ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ในป่าไม่ปลอดภัย พวกคุณไปรวมอยู่กับคนอื่นๆ ที่นอกฐานนั่นจะปลอดภัยกว่า”
ได้ฟังคำเอ่ยเตือนอย่างจริงใจของเด็กหนุ่มแล้ว หลี่เทาจึงยิ้มตอบอย่างดีใจ “ฉันรู้แล้ว รู้แล้ว”
และในตอนนั้นเอง มีผู้ใช้พลังพิเศษคนหนึ่งในกลุ่มแววตาเป็นประกาย ขยับตัวเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มแล้วกระซิบอยู่ข้างหู เด็กหนุ่มคนนั้นค่อยๆ หันหน้ามาทางเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของจางย่าเหมย “ลูกของพวกคุณ…”
“ว้าย!”
จางย่าเหมยตกใจที่ถูกเขาถาม จึงก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความกระวนกระวายใจ และหลี่เทาเองก็อยู่ในท่าเตรียมต่อสู้เรียบร้อยแล้ว
คนอื่นๆ ในกลุ่มก็เริ่มสังเกตเห็นถึงปัญหาแล้ว ถึงแม้ว่าฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว แต่ก็ยังมีคนตาดีมองเห็นว่าเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของจางย่าเหมยนั้นมีสีหน้าเริ่มบวมคล้ำแล้ว
“เป็นผู้ติดเชื้อ!”
ผู้คนในกลุ่มเริ่มแตกกระเจิง หลี่เทาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงอารมณ์และความไม่เป็นมิตรของคนกลุ่มนี้
และในตอนนั้นเอง ก็มีร่างเล็กๆ โผล่ออกมาจากด้านหลังของเด็กหนุ่มหัวหน้ากลุ่มคนนั้น ใบหน้าเล็กน่ารักโผล่ออกมา “น้องชายไม่สบายเหรอ พี่เขย พี่ช่วยรักษาเขาได้ไหม”
เด็กสาวมองมาทางหลี่เสี่ยงน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของจางย่าเหมย ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความเห็นใจ
“ซูเหยียน พี่เขยช่วยพวกเขาไม่ได้หรอก”
ใช่ เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้คือฉู่เฟยหยาง และเด็กสาวที่อยู่ด้านหลังของเขาก็คือน้องสาวของซูหว่าน ซูเหยียน
“พวกคุณ…”
เหมือนว่าฉู่เฟยหยางจะรับรู้ได้ถึงการตัดสินใจของหลี่เทา เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในสายตาของเขาเจือไปด้วยแววตาเจ็บปวดและสับสน สุดท้าย ฉู่เฟยหยางทำสัญลักษณ์มือ ทุกคนในกลุ่มจึงค่อยๆจากไป
ทุกคนมองว่าหลี่เทาเป็นคนโง่ และคนโง่คนนี้ในสายตาของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว
มีแค่ซูเหยียนน้อย ที่คอยหันกลับมามองครอบครัวของหลี่เทาเป็นระยะ เด็กสาวอยากจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร สุดท้ายเธอก็เก็บสายตากลับมา เดินตามหลังฉู่เฟยหยางไปอย่างรวดเร็ว…
หลี่เทารู้สึกโล่งอกไปที สองสามีภรรยาจึงเดินต่อไป อาจจะเป็นเพราะว่ากลุ่มของฉู่เฟยหยางได้ทำการกวาดล้างไปแล้ว ดังนั้นในระหว่างทางพวกเขาจึงไม่พบเห็นซอมบี้ตนใดเลย พอหาพื้นที่ที่สะอาดเหมาะสมได้แล้ว หลี่เทาก็ทำการก่อกองไฟขึ้นมา นำอุปกรณที่พกติดตัวออกมา ใช้พลังสายวารีต้มน้ำซุปหม้อใหญ่
บางที นี่อาจจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของครอบครัวเขาแล้วก็เป็นได้
สองสามีภรรยาไม่ได้ปริปากคุยกันเลย ได้แต่นั่งดื่มน้ำซุปไปอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นจางย่าเหมยก็อุ้มลูกไว้แล้วนอนพิงร่างของหลี่เทาแล้วหลับไป
กลางดึก กองไฟเริ่มจะมอดไปบ้างแล้ว จางย่าเหมยสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน พอเธอลืมตาขึ้นมาก็สบเข้ากับดวงตาแดงก่ำของสามี
เขา กำลังร้องไห้
จางย่าเหมยรู้สึกเริ่มลนลาน รีบก้มลงไปมองดูลูกชาย ตอนนี้หลี่เสี่ยงน้อยเริ่มมองไม่เห็นเค้าเดิมของตัวเองแล้ว ทั้งตัวเขากลายเป็นสีเขียวคล้ำดำไปหมด มือเล็กๆ ที่เคยอวบอิ่มนั้นกลับมีเล็บสีดำขึ้นยาวไปหมด
จางย่าเหมยรีบปิดปากตัวเองไว้ พยายามอดทนไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
หลี่เทาที่อยู่ด้านข้าง ทำใจอยู่นาน สุดท้ายก็หยิบมีดสั้นออกมาจากอกเสื้อด้านใน มือของเขาสั่นเทา ในใจหลั่งรินไปด้วยหยดเลือด..
มีดสั้นคมกริบ มีแสงสะท้อนจากใบมีดแวววาว คมมีดค่อยๆ ขยับเข้าไป ใกล้จะแทงลงไปบนตัวเด็กชายแล้ว
จางย่าเหมยก็กัดฟันไว้แน่นๆ หลับตาลง น้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้ม เด็กดี ไม่ต้องกลัวนะลูก เดี๋ยวแม่ก็จะตามไปอยู่ด้วยแล้ว
และในตอนนั้นเอง ก็มีฝีเท้าดังขึ้นมากะทันหัน
หลี่เทาชะงักมือ เขารีบหันไปมอง ภายใต้แสงจันทร์อันเงียบสงบ มีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งหน้าตาหมดจนแต่เย็นชายืนอยู่ไม่ไกล ด้านหลังของเขามีซอมบี้ชายหญิงยืนอยู่ด้วยคู่หนึ่ง
นี่มัน…
ตอนที่หลี่เทากำลังอึ้งอยู่ เด็กหนุ่มก็รีบเดินเข้ามาใกล้ ใช้สีหน้าท่าทางเย็นชาเกินเด็กอย่างเขาไปมากเอ่ยปากออกมาว่า “ผมสามารถช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คุณยินดีที่จะภักดีต่อผมไหม”