ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 1 คุณหนูใหญ่หวนคืน
เมื่อซูหว่านออกจากโลกภารกิจ เยี่ยซินก็ยังไม่กลับมาจากสำนักงานใหญ่ เธอตรวจดูคะแนนห้าหมื่นที่ได้มาใหม่ของตัวเองในเครื่องสื่อสาร จากนั้นก็เปิดหน้าต่างรายชื่อศูนย์การค้าสำหรับเจ้าหน้าที่ในห้วงกาลอวกาศที่สาบสูญขึ้นมา
เมื่อก่อน เธอได้แต่เหม่อมองรายชื่อหนึ่งที่อยู่ด้านบนสุดในศูนย์การค้านั้น
วันนี้เธอก็มาดูเหมือนเช่นเคย…
กุญแจกลบฝังหัวใจ
ของที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ใช้สำหรับเปิดกล่องกลบฝังหัวใจเท่านั้น
ราคาของที่ใช้เพียงครั้งเดียวนั้นสูงเสียดฟ้า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซูหว่านกลับมักจะนำของแบบนี้มาเป็นเป้าหมายเสมอ
สิ่งของที่มีค่าเช่นเดียวกับกุญแจกลบฝังหัวใจ เรียกว่ากล่องกลบฝังหัวใจ
ทั้งห้วงกาลอวกาศที่สาบสูญ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ใช้ของแพงถึงขั้นที่ว่าคนธรรมดาทำได้แค่มองแบบนี้
คนคนนั้น ก็คือ…สวี่เช่อ
‘หัวใจของฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นฉันจึงรักไม่เป็นเจ็บไม่เป็น’
ซูหว่านยังคงจำวันนั้นได้ดี สวี่เช่อชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง และพูดประโยคนี้กับเธอด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ไม่มีหัวใจ จึงรักไม่เป็น
ไม่มีหัวใจ จึงเจ็บไม่เป็น
ซูหว่านถอนหายใจ และลูบหน้าอกของตัวเองเบาๆ เมื่อนานมาแล้ว เธอก็เคยคิดว่าตัวเองไม่มีหัวใจ และลืมไปแล้วว่าจะรักยังไง…
บางทีนี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างตัวเธอกับสวี่เช่อก็ได้
เขาทำให้ตัวเองเป็นเครื่องจักรที่เย็นชา แม้แต่หัวใจของเขาก็ยังถูกเก็บซ่อน
แต่ซูหว่านกลับไม่สามารถทำเหมือนเขาได้ตั้งแต่ต้นจนจบ…
ห้วงกาลอวกาศที่สาบสูญ สำนักงานใหญ่ห้วงกาลเวลา
เมื่อเยี่ยซินออกมาจากห้องประชุม พลันเห็นเงาที่เพียงแค่เจอก็ลืมได้ยาก
เขายืนอยู่ตรงด้านหน้าของหน้าต่าง แสงแดดจากนอกหน้าต่างสาดส่องลงบนไหล่ของเขา เมื่อแสงส่องกระทบใบหน้าเขา ช่างดูสง่างามเหมือนกับถูกเคลือบด้วยแสงแวววาว
“หัวหน้าสวี่”
เยี่ยซินลังเลแต่ก็ก้าวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยทักทายกับสวี่เช่อ
สวี่เช่อเหลือบมองเยี่ยซินเล็กน้อย และยิ้มอย่างนุ่มนวล
เขามักจะอ่อนโยนและสง่างามเหมือนดั่งหยก ทำให้ผู้คนไม่สามารถดูอารมณ์ที่แท้จริงของเขาออก
“คุณกำลัง…รอฉันอยู่หรือเปล่าคะ”
ในความเป็นจริงเยี่ยซินรู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้ที่ห้องประชุมไม่มีใครอยู่แล้ว เนื่องจากเธอเป็นผู้มาใหม่ ดังนั้นจึงถูกทิ้งงานไว้พร้อมกับคำสั่ง เมื่อเธอออกมา คนอื่นๆ ก็กลับหมดแล้ว
“ครับ”
เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยซิน สวี่เช่อก็พยักหน้าเบาๆ
นั่นทำให้เยี่ยซินประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงบางอย่าง “คุณ…มีเรื่องอะไรจะถามฉันคะ เกี่ยวกับ…ซูหว่านหรือคะ”
ซูหว่าน…
ดวงตาของสวี่เช่อหรี่ลงเล็กน้อย “เธอ…ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงคำถามที่ง่ายที่สุด แต่สวี่เช่อดูเหมือนว่าต้องตัดสินอย่างหนัก
เขา ไม่ได้ลังเลแบบนี้มานานมากแล้ว
อืม อารมณ์แบบนี้ ควรจะเรียกว่า ‘ลังเล’ หรือเปล่า
หลังจากละทิ้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนามาเนิ่นนาน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มเหมือนหุ่นยนต์มากขึ้น ไร้หนทางทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกในฐานะมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างแท้จริง
เพียงแค่…
ยังสนใจอยู่นิดหน่อยละมั้ง
ในปีนั้น ผู้หญิงที่คิดอยากจะประสบพบความพินาศไปด้วยกันกับเขาคนนั้น
เป็นอย่างที่คิด…
เมื่อได้ยินคำถามของสวี่เช่อ เยี่ยซินก็ทำตาหยีและยิ้มทันที “ซูหว่านสบายดีมากค่ะ ช่วงนี้ก็ทำงานจริงจังมาก ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเธอก็จะสามารถแซงหน้าฉันได้ พอถึงเวลาประชุมที่สำนักงานใหญ่อีกครั้ง หัวหน้าสวี่ก็สามารถถามสารทุกข์สุขดิบเธอด้วยตัวเองแล้วค่ะ”
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในห้วงกาลเวลาเดียวกัน แต่ในชีวิตประจำวันก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่ เพราะว่าในห้วงกาลอวกาศที่สาบสูญทุกแผนกล้วนแยกกันหมด
ได้พบกับซูหว่านอีกครั้ง…
สวี่เช่อได้ยินคำพูดของเยี่ยซิน เขาก็ยิ้มจางๆ เหมือนเช่นเคย “หัวหน้าเยี่ยไม่ต้องคิดมากไปหรอก และผมคิดว่า…อีกไม่นาน เธอกับผมจะ…จะได้พบกันในไม่ช้า”
เมื่อได้ยินคำตอบของสวี่เช่อ เยี่ยซินถึงกับผงะ เธอถึงเพิ่งนึกออกว่าการฝึกซ้อมข้ามแผนกที่จัดขึ้นสามปีครั้งหนึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
เมื่อสามปีก่อน ซูหว่านยังไม่ได้มาที่นี่ แต่ตอนนี้ ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำลายเขตแดนอันดับสอง ในระหว่างการฝึกซ้อมข้ามแผนกของปีนี้ ซูหว่านต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน และสวี่เช่อก็จะปรากฏตัวอย่างแน่นอน
“เวลาผ่านไปเร็วมาก เดี๋ยวก็ต้องไปฝึกซ้อมอีกแล้ว! ปีนี้หัวหน้าสวี่ยังมั่นใจว่าจะคว้าแชมป์ได้อีกครั้งไหมคะ”
ทุกครั้งที่มีการฝึกซ้อมข้ามแผนก ทุกแผนกจะส่งเจ้าหน้าที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแผนกไปสามคน ทุกคนจะเข้าไปในโลกภารกิจที่ไม่มีเนื้อเรื่องพร้อมกัน และในเวลานั้น ดรรชนีทองคำของทุกคนจะไร้ประสิทธิภาพในโลกภารกิจนั้น
ในโลกเดียวกัน ไม่แยกแยะมิตรศัตรู จริงเท็จอยากตัดสิน
อนุญาตให้ผู้ที่อยู่ต่างแผนกต่อสู้กันได้
ทั้งการฝึกซ้อมนี้แบ่งออกเป็นสองช่วงคือคัดเลือกและแข่งขัน โลกคัดเลือกจะจำกัดเวลา เมื่อหมดเวลา คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้เข้ารอบไปโดยปริยาย ส่วนช่วงแข่งขันกลับโหดร้ายกว่า…ต่อสู้กันจนวินาทีสุดท้าย ถ้ามีชีวิตไปถึงตอนสุดท้ายก็จะเป็นผู้ชนะ
ตั้งแต่สวี่เช่อได้กลายเป็นคนของแผนกฟื้นฟูเขตแดน เขาก็ไม่เคยแพ้…
ในช่วงหลายปีมานี้ ผู้เข้าแข่งขันของแผนกทำลายเขตแดนเกือบทั้งหมดต่างเคยถูกสวี่เช่จัดการมาแล้ว รวมถึงเยี่ยซินเองด้วย คิดดูแล้วก็รู้สึกแย่อยู่นะ!
ในตอนที่เยี่ยซินกำลังรู้สึกแย่ไร้ที่เปรียบนั้น สวี่เช่อก็ยิ้มอย่างเฉยเมย “ผมจะทำให้ดีที่สุด คุณเองก็ต้องสู้ๆ นะครับ”
หลังจากพูด เขาก็หันหลังและจากไปโดยไม่ลังเล
ทำให้ดีที่สุดกับผีนะสิ!
เยี่ยซินรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องรีบกลับไปปรึกษากับซูหว่านสักหน่อยแล้ว ดูว่าจะหาจุดอ่อนของสวี่เช่อเจอหรือไม่
ต่อให้เป็นแค่จุดอ่อนเล็กๆ ก็ดีมากแล้ว!
เธอไม่เชื่อว่าสวี่เช่อจะเป็นเหมือนเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน ไม่มีข้อบกพร่องเลย
แต่น่าเสียดาย สุดท้ายเยี่ยซินจะต้องผิดหวัง
เพราะว่าเมื่อเธอกลับไปที่แผนกทำลายเขตแดน ก็ได้รับแจ้งว่าซูหว่านเพิ่งจะเข้าไปในแคปซูลภารกิจหมายเลขสามเพื่อปฏิบัติภารกิจ
เยี่ยซินเมื่อได้ทราบข่าวก็ถอนหายใจยืดยาวออกมา ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะไม่สงสัย…
อย่าบอกนะว่าซูหว่านมีความผูกพันธ์กับแคปซูลหมายเลขสาม
ทำไมถึงไม่เปลี่ยนแคปซูลปฏิบัติการสักทีล่ะ
อันที่จริงแล้ว…ซูหว่านลืมบอกซูรุ่ยว่าเธอได้รับการ ‘เลื่อนตำแหน่ง’ แล้ว และเครื่องจับพิกัดที่ซูรุ่ยซื้อมานั้นต้องอาศัยแคปซูลภารกิจในการสะกดรอยตามร่องรอยของเธอ
ดังนั้น พวกคุณก็คงพอเข้าใจ
…
ในยามนี้ ในโลกแห่งภารกิจ
ซูหว่านยังไม่ทันจะได้ลืมตา นางก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว ความรู้สึกเช่นนี้เป็น…
ทันทีที่ซูหว่านลืมตาขึ้นมา ตลอดแนวสายตาของนางคือเก้าอี้ไม้หอมแกะสลักเรียงกันยาวเป็นแถว
ในยามนี้นางนั่งอยู่บนพื้น ชุดชาววังของนางตลอดทั้งร่างดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ซูหว่านอดทนกับชุดที่อึดอัดบนตัว และพยุงตัวจากเก้าอี้ด้านข้าง ลุกขึ้นมา
ในเวลานี้เอง ข้างหลังนางพลันมีเสียง ‘อืออา’ ดังขึ้น ทันทีที่ซูหว่านหันหน้าไป นางก็เห็นบุรุษร่างท้วมในชุดจิ่นเผ่าสีน้ำเงินนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า ทั้งร้องครวญคราง ทั้งฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตัวเอง!
มารดามันเถิด!
ดวงตาของซูหว่านเย็นยะเยือกลง ในห้วงทรงมีความทรงจำบางอย่างแวบเข้ามา นางไม่กล้าอยู่ในที่ที่มิใช่ของนางนานกว่านี้ จึงวิ่งออกไปข้างนอกอย่างล้มลุกคลุกคลาน
นางใช้แรงอย่างมากเพื่อเปิดประตูไม้สีแดงสดออก ดวงตาของซูหว่านเห็นทางเดินทอดยาวอันเงียบสงัด เวลานี้เป็นช่วงต้นสารทฤดู ทว่าความเหน็บหนาวที่พัดมาจากด้านหน้า กลับไม่ได้ทำให้จิตใจของซูหว่านสงบลงเลย ฤทธิ์ยารุนแรงผิดปกติทำให้ร่างกายของนางเพิ่มความกระสับกระส่ายมากขึ้น
จากระยะไกล ซูหว่านมองเห็นเงาเลือนรางกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมายังทิศทางที่นางอยู่
เมื่อมีเวลาไม่มากพอสำหรับจัดเรียงความทรงจำอันยุ่งเหยิงในศีรษะ ซูหว่านพลันรีบตัดสินใจหันกลับและวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม นางไม่รู้ว่าตนเองวิ่งไปนานแค่ไหน ยามสติที่อยู่ในหัวค่อยๆ เลือนราง ท้ายที่สุดในสายตาของซูหว่านก็มีสระน้ำนิ่งแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาให้เห็น!
สระน้ำ เป็นสระที่คนขุดขึ้นมา!
ดวงตาของซูหว่านวาบประกายคราหนึ่ง นางรีบวิ่งไปยังสระอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าจะกระโดดลงสระโดยไม่แม้แต่จะคิด…
“คุณไม่อยากมีชีวิตแล้วรึไง!”
จู่ๆ เสียงอันคุ้นหูและร้อนใจของบุรุษก็ดังมาจากด้านหลัง
แขนของซูหว่านถูกใครบางคนจับเอาไว้แน่น และเมื่อรอสติกลับมา ทั้งตัวก็ถูกกอดไว้แน่นในอ้อมแขนอันเย็นเฉียบ
อากาศเย็นที่พัดเข้ามาบนใบหน้านาง กลับทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น
ซูหว่านขยับตัวของนางในอ้อมกอด มือทั้งสองข้างโอบเอวของบุรุษผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็สงบนิ่งลง ทว่าร่างกายที่กระสับกระส่าย กลับเริ่มเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ
“ซูรุ่ย ฉันรู้สึกอึดอัด”
ฉันรู้สึกอึดอัด
ซูหว่านพึมพำ อีกทั้งยังขยับเข้าหาซูรุ่ยในอ้อมกอดอีกครั้ง
“เด็กดี อีกหน่อยก็ดีขึ้นนะ ผมจะพาคุณไปเอง!”
ขณะพูด ซูรุ่ยก็ห่อร่างของซูหว่านด้วยเสื้อคลุมของเขา ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายไปจากข้างสระในชั่วพริบตา…
ในช่วงค่ำของต้นสารทฤดู ลมหนาวพัดยะเยือกเสียดกระดูก ซูรุ่ยกอดซูหว่านไว้แน่นภายในอ้อมแขนของเขา แม้จะแนบอิงพิงอกอันเย็นเฉียบก็ยังคงรู้สึกร้อนวูบวาบยากทานทน นางดิ้นอยู่สองสามคราอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าของนางถูบนตัวของซูรุ่ยไปมาโดยไม่รู้ตัว “ร้อนจัง”
“อย่าขยับ”
น้ำเสียงของซูรุ่ยทุ้มลง เขากอดซูหว่านไว้ตลอดทางที่กำลังข้ามกำแพงสูงของจวนชิ่งชวนโหว ในที่สุดก็มาถึงตรอกเล็กๆ ด้านนอกจวนโหว
ในตรอกมืดสลัว มีรถม้าหรูหราจอดอยู่ ข้างๆ รถม้ามีองครักษ์สวมชุดจิ้นจวงสีดำเข้ม เมื่อเห็นร่างของซูรุ่ยเหาะลงมา สีหน้าขององครักษ์ผู้นั้นพลันแสดงอาการตกใจ “นายท่าน ท่าน…”
“คุ้มกันทางเข้าตรอกไว้ อย่าให้ใครเข้าใกล้ที่นี่!”
หลังจากออกคำสั่ง ซูรุ่ยก็กลายเป็นเงาแสงสีม่วงสายหนึ่ง โอบกอดซูหว่านไว้พร้อมกับกระโดดขึ้นรถม้า…
บนรถม้ามีขนาดกว้างมาก ด้านในมีเบาะรองนั่งอ่อนนุ่มและผ้าห่มกำมะหยี่สีทองอ่อน ซูรุ่ยค่อยๆ วางซูหว่านลงที่เบาะนุ่มอย่างเบามือ ยังไม่ทันจะลุกขึ้น ซูหว่านก็ใช้มือทั้งสองข้างโอบรัดคอเขาไว้ “อย่า อย่าไป”
แขนนุ่มขาวเรียวยาว ทำให้ซูรุ่ยสะท้านไปชั่วขณะ
เวลานี้ใบหน้าของซูหว่านแดงระเรื่อ เพราะเหงื่อออกทำให้ผมยาวที่หน้าผากแนบกับใบหน้าขาวผ่องของนาง
ภายใต้แสงเทียนสลัว ซูหว่านยื่นคางออกมาเล็กน้อย ตาใสดั่งหยดน้ำ มองไปยังบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตามัวเมา
ในความคิดของซูรุ่ย ซูหว่านมักจะเฉยเมยมาเสมอ บางครั้งก็เย็นชาอย่างมาก
เขาไม่เคยเห็นซูหว่านมีความรู้สึกอย่างนี้ น่าดึงดูดอย่างนี้ แม้เขาจะรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ซูหว่านตัวจริงก็ตาม
แต่ในร่างกายนี้ มีจิตวิญญาณของซูหว่านอาศัยอยู่
คนที่มองเขาตอนนี้ และบอกเขาว่าอย่าไป คือเสี่ยวหวานของเขา
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซูรุ่ยพลันรู้สึกว่าท้องน้อยร้อนวูบขึ้นมา ราวกับมีเพลิงไฟกำลังลุกโชนอยู่ในร่างกายเขา
ลมหายใจของเขาสับสนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ทว่า…เมื่อนึกถึงซูหว่านที่อยู่ในสภาพสติไม่สมบูรณ์ในยามนี้ จึงบังคับให้ซู่รุ่ยต้องสงบลงทันที “เสี่ยวหว่าน คุณอดทนไว้ก่อนนะ ผมจะช่วยคุณ…อื้อ…”
เดิมทีซู่รุ่ยต้องการจะบอกว่าเขาสามารถช่วยซูหว่านกดจุดฝังเข็มและขับไล่ฤทธิ์ยาในร่างกายได้ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ ซูหว่านที่อยู่ด้านข้างก็เข้ามาใกล้และจุมพิตซูรุ่ยอย่างงัวเงีย ประทับจูบลงบนริมฝีปากอย่างรุนแรง
ซูหว่านยังคงไม่ได้สติ นางรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะตายจากการเผาไหม้ในมหาสมุทรเพลิงที่กำลังแผดเผา เธอได้ยินซูรุ่ยพูดกับเธอว่า “ผมจะช่วยคุณ”
ก็เหมือนตอนอยู่ในแดนลวงตาของโลกที่แล้ว…
ท่ามกลางเปลวไฟอันไร้ขอบเขต ซูรุ่ยยื่นมือออกมาหานาง
ซูหว่านต้องการจะบอกว่า นางไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเหลือ แต่ถ้าคนนั้นคือซูรุ่ย…
นางก็ไม่รังเกียจ
เมื่อมีความคิดนี้พลุ่งพล่านขึ้นมาในหัว ร่างกายของซูหว่านก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางจูบซูรุ่ย ริมฝีปากของซูรุ่ยเย็นเฉียบมาพร้อมกับความหวานล้ำ ทำให้ซูหว่านรู้สึกสบายใจมาก
“ซูรุ่ย ซูรุ่ย”
ถึงแม้ว่านางจะยังไม่ได้สติ แต่ซูหว่านก็ยังอดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อของซูรุ่ยออกมา “ซูรุ่ย จูบฉัน”
“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่”
ซูรุ่ยหายใจถี่อย่างร้อนรน…แต่สายตากลับจ้องมองลึกลงไปในใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม…
ไม่ว่าจะกลายเป็นอะไร นางก็ยังคงเป็นเสี่ยวหว่านของเขา ท่ามกลางผู้คนนับหมื่นพัน เขาจะมองเห็นนางเป็นคนแรกเสมอ และจำนางได้
กำลังทำอะไรน่ะหรือ
ซูหว่านไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทว่า…
นางบิดตัวไปมาอย่างอึดอัด และยังคงเบียดบนร่างกายของซูรุ่ยต่อไป “ซูรุ่ย ต้องการฉันไหม”
หากเป็นนาย ฉันเต็มใจ
เป็นความเต็มใจจริงๆ ไม่ใช่การฝืนใจ และไม่ใช่ข้อผิดพลาด
แค่เพียงเพราะว่า คนตรงหน้าคือนาย ซู่รุ่ย
มีคนเคยบอกว่าความรู้สึกอันลึกล้ำที่สุดคือการอยู่เคียงข้าง ซูรุ่ยอยู่เคียงข้างซูหว่านมาแล้วไม่ว่ากี่โลกต่อกี่โลก ไม่ว่านางจะกลายเป็นอะไร ต่อให้เป็นผีดิบที่น่าเกลียดก็ตาม เขาก็ไม่เคยทิ้งนางไป
ความรักไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด รู้อีกทีก็ก่อตัวเป็นความรักแล้ว
ซูหว่านรู้สึกว่าชีวิตนี้ สิ่งที่โชคดีที่สุดของนางคือการได้พบซูรุ่ยในโลกนี้
ชีวิตนี้นางไม่เสียใจเลย
“เสี่ยวหว่าน…”
ในที่สุดคำพูดของซูหว่านก็เอาชนะเหตุผลของซูรุ่ยได้สำเร็จ รักมากเกินไป จึงได้ถนอมเช่นนี้ และก็เพราะรักมากเกินไป เขาจึงสามารถหนักแน่นต่อหน้าผู้อื่นได้ ทั้งรัก ปรารถนา และเสน่หา…ในตัวนางเพียงผู้เดียว
ซูรุ่ยประคองศีรษะของซูหว่านไว้ ให้นางงอตัวได้อย่างสุขสบายในอ้อมแขนของเขา จุมพิตอันลึกซึ้งร้อนแรงแผ่พรมปกคลุมไปถ้วนทั่ว ในเวลานี้ ไม่ใช่เพียงร่างกายของทั้งสองเท่านั้น ทว่าจิตวิญญาณของทั้งสองคนก็เหมือนจะมอดไหม้ไปด้วยกัน…