มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 105 ย่ำโลหิตแสวงหาดอกเหมย
วัดจิ้งเจวี๋ยได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง
มิใช่จดหมายที่พระสนมหูขอเข้าพบฉานจึที่เหอกั๋วกงนำมาส่งให้แทน เพราะเขาไม่กล้า
หลายวันมานี้ฝ่าบาทมิได้ไปหาพระสนมหู นี่ทำให้เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานว่าหมายถึงอะไร
แหล่งที่มาของจดหมายฉบับนี้สำคัญกว่านั้นมาก ไม่มีใครกล้าชักช้า รีบส่งจดหมายไปถึงมือหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังโดยเร็ว
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังเดินผ่านป่าท้อ มาถึงส่วนลึกที่สุดของวัด
พระเด็กรูปหนึ่งคุกเข่าอยู่บนอาสนะริมหน้าต่าง สายตาจ้องมองกองไม้เล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าดูมีสมาธิเป็นอย่างมาก
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังทราบว่านี่เป็นเกมแท่งไม้ท้อที่ฉานจึชอบเล่นมากที่สุด ทั่วทั้งวัดกั่วเฉิงเห็นจนชินตาแล้ว
เขารู้ว่าฉานจึไม่ชอบถูกรบกวนในเวลานี้ แต่เขายังคงกระแอมเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไป
ฉานจึถอนใจออกมาอย่างจนปัญญา กล่าวถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังยื่นจดหมายในมือส่งให้
ฉานจึเลิกคิ้วเล็กน้อย หยิบเอาจดหมายออกมา ก่อนจะอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นจดหมายจากเทพดาบ
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังถามขึ้นมาอย่างกังวลใจ “ศิษย์พี่เฉาส่งจดหมายมาทำไมหรือขอรับ?”
ฉานจึกล่าว “เขาถามถึงคนๆ หนึ่ง”
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังถาม “ใครหรือขอรับ?”
ฉานจึยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาถามว่าจิ๋งจิ่วใช่ผู้สืบทอดที่วัดส่งไปยังโลกปุถุชนหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังพลันโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในสถานะของเทพดาบ เขาน่าจะไม่สนใจข่าวลือเหล่านี้ แต่เมื่อคิดถึงสถานะในอดีตของเขา ก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงเขียนจดหมายฉบับนี้มา
ความจริงแล้ว หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังก็รู้สึกสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
หลายปีก่อนเขาเป็นตัวแทนวัดกั่วเฉิงไปชมงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนของสำนักชิงซาน เวลานั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใจฉานจึจึงสนใจพิธีเข้าสำนักของศิษย์ธรรมดาผู้นี้ถึงขนาดนี้
ภายหลังเกิดข้อถกเถียงต่างๆ มากมายเกี่ยวกับความเป็นมาของจิ๋งจิ่ว เขาจึงอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าหรือจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?
แต่ไหนแต่ไรมา สถานะของผู้สืบทอดที่ส่งไปสู่โลกปุถุชนของวัดกั่วเฉิงล้วนเป็นความลับสุดยอด นอกจากเจ้าอาวาสและฉานจึแล้วก็ไม่มีผู้ใดทราบได้ ตัวเขาเองก็ทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
“ข้าจะตอบจดหมายกลับไป ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”
ฉานจึยังคงมิได้ให้คำตอบที่ชัดเจน
หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังมองดูจดหมายบางๆ ในมือเขาแผ่นนั้น พลางกล่าวว่า “การประลองวิถีพรตครั้งนี้จัดขึ้นในภูเขาหิมะว่านซงที่อยู่ทางเหนือของทะเลมั่วไห่ อยู่ห่างไกลจากกองทัพเจิ้นเป่ยและศิษย์พี่เฉามากนัก หากเกิดเรื่องขึ้นเกรงว่าจะช่วยไม่ทัน ถึงแม้นจะบอกว่าเดิมทีการประลองนี้เป็นการทดสอบพลังแฝงของพวกเขาในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย แต่….เราคอยแอบดูแลนิดหน่อยดีหรือไม่ขอรับ?”
คำพูดนี้ของเขามิได้ระบุชัดว่าหมายถึงใคร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาพูดถึงคนบางคนที่อยู่ในจดหมาย
ฉานจึครุ่นคิด กล่าวว่า “ศัตรูของข้าผู้นั้นระมัดระวังตัวมาตลอดชีวิต จิ๋งจิ่วเองก็ได้รับอิทธิพลมาจากเขา คิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไร”
……
……
การประลองวิถีพรตจัดขึ้นในดินแดนทางเหนือที่ห่างไกล สำนักต่างๆ ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยต่างยังอยู่ที่เมืองเจาเกอ ในเรือนซีซานยังคงเต็มไปด้วยผู้คน เรียกได้ว่าคึกคักกว่าในเวลาปกติเสียอีก เพราะว่าผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากมิได้ทำสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องของตัวเองเหมือนเวลาปกติ หากแต่ออกมายังบริเวณหน้าผาด้านนอก
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตมิได้ว่างจนรู้สึกเบื่อ จึงออกมาเดินเล่นหรือพูดคุยกัน หากแต่ออกมาชมรูปภาพ
เรือนซีซานนั้นมีข่ายพลังอยู่ ไม่มีทางที่จะมีฝนตกหนักลงมา แต่ในตัวเรือนมีระเบียงทางเดินที่ยาวอย่างมากเส้นหนึ่ง ฝั่งที่อยู่ติดกับหน้าผาถูกตกแต่งจนราบเรียบ ด้านบนมีภาพวาดอยู่หลายสิบภาพ
ภาพวาดเหล่านั้นทอดตัวจากหลังคาทางเดินลงมาถึงพื้น สูงประมาณจ้างกว่า กว้างสองฉื่อ ใช้ผงทองวาดรูปนกเอาไว้สองสามตัว แล้วยังมีกิ่งเหมยบิดตัวไปมา ดอกเหมยสีแดงบานสะพรั่งอยู่บนกิ่ง
สายตาของผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากหยุดอยู่ที่ภาพๆ หนึ่งในนั้น
ดอกเหมยที่อยู่บนภาพนั้นเบ่งบานได้สวยงามอย่างมาก ผลิดอกออกมาแล้วสิบกว่าดอก ตัวดอกมีขนาดใหญ่ สีสันสดใส คล้ายโลหิตก็มิปาน ให้ความรู้สึกที่งดงามจนน่าตกตะลึงเมื่อได้เห็น
ไม่ว่าจะดูอย่างไร ภาพนี้็ก็น่าจะวาดเสร็จไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
กิ่งเหมยเหล่านั้นยืดเหยียดยาวลงไปด้านล่าง รอยหมึกค่อยๆ ชัดเจน แปรเปลี่ยนเป็นตัวหนังสือ ที่แท้นั่นคือชื่อของแต่ละคน
“ลั่วไหวหนานแข็งแกร่งจริงๆ”
มีคนกล่าวอย่างทอดถอนใจออกมา “ถึงแม้ถงเหยียนจะเก็บตัว แต่เขาแค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้สำนักจงโจวอยู่เหนือสำนักอื่นๆ ได้แล้ว”
ด้านล่างภาพนั้นมีชื่ออยู่ห้าชื่อ
ชื่อของลั่วไหวหนานอยู่ในนั้น
แต่ละชื่อยืดยาวออกมาจากกิ่งเหมยที่อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นกิ่งหนึ่ง ปลายกิ่งมีดอกเหมยผลิบาน
กิ่งเหมยห้ากิ่งเกี่ยวกระหวัด ทับซ้อน ดูแล้วเหมือนดอกเหมยกำลังเบ่งบานเต็มที่ ยากที่จะแยกแยะได้ว่าดอกไหนเป็นของกิ่งไหน
แต่เมื่อดูอย่างละเอียดก็จะพบว่า ดอกเหมยส่วนใหญ่ล้วนแต่เบ่งบานอยู่บนกิ่งของลั่วไหวหนาน
ที่ปลายกิ่งของคนอื่นๆ เองก็มีดอกเหมยผลิออกมาดอกสองดอก
ใต้ระเบียงทางเดินยังมีภาพอื่นอีกหลายภาพ สิ่งที่วาดอยู่บนภาพเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนแต่เหมือนกัน จะต่างกันก็แค่เพียงจำนวนดอกและขนาดของดอกเหมยเท่านั้น
นี่คือทำเนียบรายชื่ือของผู้ที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต
หรือก็คือ ‘ย่ำโลหิตแสวงหาดอกเหมย’ ที่ร่ำลือกัน
……
……
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต ก่อนการประลองจะทำการจับฉลากแบ่งกลุ่มตามรูปแบบการต่อสู้และวิชาที่ถนัดของแต่ละคน โดยแต่ละกลุ่มจะมีห้าคน
ทุกครั้งที่สังหารสัตว์ประหลาดของแคว้นเสวี่ยไปได้หนึ่งตัว บนภาพวาดจะมีการวาดดอกเหมยโลหิตลงไปหนึ่งดอก ขณะเดียวกันดอกเหมยจะมีการแบ่งขนาดเล็กใหญ่ออกเป็นสามขนาดตามความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ย
กลุ่มไหนทำให้ภาพวาดของตัวเองเสร็จสมบูรณ์ก่อนก็จะถือเป็นผู้ชนะ นี่มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับการต่อสู้ระหว่างสำนัก
ในอดีตผู้บำเพ็ญพรตรุ่นก่อนตั้งกฎแบบนี้ขึ้นมาก็เพราะไม่อยากเห็นสำนักบำเพ็ญพรตแต่ละสำนักกระทำการใดด้วยตัวคนเดียว เกิดความขัดแย้งขึ้นในการประลองวิถีพรต จนผิดไปจากปณิธานที่ต้องการให้ผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะร่วงแรงร่วมใจกันต่อต้านศัตรูจากภายนอก ทว่าชื่อเสียงของสำนักวางอยู่ตรงนั้น มีใครบ้างที่จะไม่สนใจผลงานของตัวเอง? ดังนั้นย่อมต้องมีที่อยู่ดีไม่ว่าดีคอยคำนวณคะแนนของแต่ละสำนักออกมา
ในการประลองวิถีพรตครั้งนี้ ลั่วไหวหนานยังคงแสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนอย่างที่ผ่านมา ศิษย์สำนักจงโจวคนอื่นๆ อย่างเช่นเซี่ยงหว่านซูเองก็แสดงฝีมือได้ไม่เลวเช่นกัน คะแนนของสำนักจงโจวในตอนนี้นำสำนักอื่นไปไกล ถงหลูจากสำนักกระบี่ซีไห่เองก็มิเสียทีที่เจวี่ยนเหลียนเหรินจัดให้ในอันดับที่สองจากผู้ประลองทั้งหมด บนกิ่งเหมยของเขามีดอกเหมยผลิบานอยู่เป็นจำนวนมาก จำนวนเรียกได้ว่ามิได้เป็นรองลั่วไหวหนานเลย เพียงแต่ดอกเหมยเหล่านั้นมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ดูแล้วแปลกประหลาดเล็กน้อย ส่วนศิษย์สำนักอื่นๆ อย่างเรือนอี้เหมา สำนักคุนหลุน สำนักฌานเป่าทงก็ล้วนแต่แสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนอย่างที่ผ่านมา
สำนักที่ทำให้คนรู้สึกแปลกใจก็คือสำนักชิงซาน
……
……
จั๋วอวี๋สื่อจากสำนักต้าเจ๋อเดินอยู่ใต้ระเบียงทางเดิน บนใบหน้าแสดงสีหน้ากังวลใจออกมา ภายในใจครุ่นคิดว่าครั้งนี้สำนักชิงซานมีปัญหาแล้ว
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยแบ่งออกเป็นพิณ หมากล้อม พู่กัน วาดภาพและวิถีพรตห้ารายการ นอกจากหนานว่างในอดีตและจิ๋งจิ่วในปีนี้แล้ว ศิษย์สำนักชิงซานก็แทบไม่เข้าร่วมการประลองสี่รายการแรกเลย
แต่ในการประลองวิถีพรตซึ่งเป็นรายการสุดท้าย ผลงานของสำนักชิงซานที่แล้วมานั้นแข็งแกร่งที่สุด — ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งหลังๆ ลั่วไหวหนานคว้าอันดับหนึ่งในการประลองวิถีพรตได้ติดต่อกัน ศิษย์สำนักชิงซานเองก็คว้าอันดับดีๆ ได้หลายครั้ง โดยเฉพาะในตอนที่คำนวณคะแนนของทั้งสำนักออกมา ศิษย์สำนักชิงซานไม่เคยทำให้ตำแหน่งอันดับหนึ่งหลุดมือไปเลย
เมื่อเทียบกับที่ผ่านมาแล้ว ปีนี้สำนักชิงซานแสดงฝีมือได้ธรรมดาอย่างมาก เรียกได้ว่าเข้าขั้นแย่ สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เป็นเพราะที่แล้วมาสำนักชิงซานจะประลองวิถีพรตโดยมีศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างเป็นกำลังหลัก แต่ปีนี้ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างจึงเดินทางมาเพียงไม่กี่คน
โดยเฉพาะเมื่อกั้วหนานซาน เจี่ยนหรูอวิ๋น กู้หานซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งสามอันดับแรกของยอดเขาเหลี่ยงว่างมิได้เข้าร่วมการประลอง
จากสถานการณ์ในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะแข่งกันสำนักจงโจวเลย กระทั่งผลงานของเรือนอี้เหมา สำนักกระบี่ซีไห่ ไปจนถึงสำนักคุนหลุนก็อาจจะนำสำนักชิงซานไปไกลแล้ว
นี่คือเรื่องที่ขายหน้าอย่างมาก
ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากต่างพากันพูดคุยถึงเรื่องนี้
“จิ๋งจิ่วคนนั้นล่ะ? ไหนบอกว่าเขาร้ายกาจมากมิใช่หรือ? ได้ยินว่ายอดฝืมือของยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างพวกกั้วหนานซานก็ไม่ได้ได้มาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเพราะเขา”
“ก็แค่คุยโวมากเกินไปเท่านั้นแหละ อาศัยเพียงระยะเวลาในการบำเพ็ญพรตและสภาวะของเขา มีหรือที่เขาจะแข็งแกร่งไปกว่าศิษย์อันดับแรกของชิงซานได้?”
“ต่อให้มีความลับอะไรอยู่ แต่ฝืมือของเขามันก็แย่เกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
การประลองวิถีพรตเริ่มขึ้นมาสืบกว่าวันแล้ว
หลังผ่านพ้นความตื่นเต้นและไม่ชินในตอนแรกสุดไป เหล่าศิษย์อัจฉริยะที่มาจากแต่ละสำนักก็เริ่มแสดงฝีมือของตัวเองออกมา
ดอกเหมยโลหิตที่อยู่บนภาพวาดมีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เป็นคนที่มีฝีมือแย่ที่สุดก็ยังมีดอกเหมยอยู่สองสามดอก ถึงแม้ดูแล้วจะน่าเศร้าไปหน่อยก็ตาม
แต่ภาพสุดท้ายยังคงว่างเปล่า มีเพียงกิ่งก้านไม่กี่ก้าน ดูแล้วช่างน่าสงสารจริงๆ
……………………………………………………………………..