มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 113 เหมยโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน
ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้น ในที่สุดหมอกอันหยาวเย็นก็สลายหายไปจนหมด สายตาของทุกคนตามไอหมอกออกไปด้านนอก ก่อนจะเห็นอสูรขาหิมะสิบกว่าตัวนอนตายอยู่บนพื้น
อสูรขาหิมะระดับสูงที่ตัวค่อนข้างใหญ่ตัวนั้นถูกไป๋เจ่าใช้อาวุธวิเศษสังหาร เหลือเพียงเศษร่างกายครึ่งหนึ่ง มีอสูรขาหิมะสี่ตัวที่ศีรษะถูกแทงทะลุ น่าจะถูกเยาซงซานใช้กระบี่บินสังหาร ส่วนการตายของอสูรขาหิมะที่เหลือค่อนข้างอเนจอนาถ ขาขาดเปลือกแตก โลหิตสีเขียวสาดกระจายไปทั่ว
ก้อนหินที่เปื้อนโลหิตพิษเกิดเป็นฟองอากาศเล็กๆ ส่งเสียงดังซู่ๆ ดูน่าหวาดกลัว
ที่น่าตกตะลึงกว่านั้นก็คือตรงพื้นที่ที่ไกลออกไปยังมีซากศพของอสูรขาหิมะอยู่อีก ห่างออกไปอีกสิบกว่าจ้างก็มีอีกตัวสองตัว เป็นเช่นนี้ยาวออกไปหลายร้อยจ้าง
แม้แต่ตรงที่ที่ไกลออกไปกว่านั้นก็ยังเหมือนจะเห็นภาพเช่นนี้ได้ลางๆ
มีอสูรขาหิมะตายไปมากน้อยเท่าไรกันแน่?
ในเวลานี้ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่เสียงด้านนอกสายหมอกหายไปเมื่อคืนนี้ มิใช่เป็นเพราะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา หากแต่เป็นเพราะเขาออกไปไล่ฆ่าอสูรขาหิมะเหล่านั้น?
พวกเขามองไปทางจิ๋งจิ่ว สายตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้แต่เยาซงซานก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หมอกอันหนาทึบเมื่อคืนนี้เย็นยะเยือกถึงเพียงนั้น กระทั่งจิตจำแนกก็ยังถูกตัดขาด ถือเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับผู้บำเพ็ญพรต ทว่าอสูรขาหิมะที่อาศัยสัญชาตญาณในการสังหารกลับมิได้รับผลกระทบ
แล้วเขาทำทั้งหมดนี้ได้เช่นไร?
……
……
จิ๋งจิ่วและไป๋เจ่ายืนเคียงคู่กัน
ผู้หนึ่งชุดขาวพลิ้วไหว
นางหนึ่งกระโปรงขาวพลิ้วไหว
ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เหลือมองดูภาพเหตุการณ์นี้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย ภาพอันงดงามเช่นนี้ มีผู้ใดบ้างมิชื่นชอบ
คุณหนูแห่งสำนักจงโจว อัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ของสำนักชิงซาน ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ
“เจ้าสนับสนุนใคร?”
ศิษย์หญิงแห่งสำนักเสวียนหลิงเบิ่งตามองเยาซงซานพร้อมถาม
“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร” เยาซงซานกล่าว
ศิษย์หญิงสำนักเสวียนหลิงเบะปากค่อนแคะ
เยาซงซานครุ่นคิดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้แม่นางไป๋เจ่าจะดี แต่ตนเองย่อมต้องสนับสนุนอาจารย์อาเจ้าล่าเยวี่ยอยู่แล้ว
……
……
ภาพจิ๋งจิ่วยืนเคียงคู่กับไป๋เจ่านั้นงดงาม แต่ภาพที่พวกเขามองเห็นกลับมิได้เป็นเช่นนี้
ซากศพกระจัดกระจายเต็มพื้นหิมะ ของเหลวสีเขียวที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าตะไคร่น้ำเปรอะเปื้อนไปบนหิมะสีขาว
แต่พวกเขามิได้สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นบทสนทนาของพวกเขาในตอนแรกสุดก็มิได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับภาพนี้ด้วย
“คืนวันนั้นเจ้าเคยรับปากข้าเอาไว้ว่าจะไม่ทำอะไรปู้เหล่าหลิน” ไป๋เจ่ากล่าว
จิ๋งจิ่วปรากฎตัวได้ทันเวลา กระทั่งจินตันนางก็มิได้เอามาใช้ อาการบาดเจ็บมิได้สาหัสอะไร กินยาไปเพียงเล็กน้อยก็ฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดถึงคำพูดที่พูดกับนางในคืนนั้น กล่าวว่า “ข้ามิได้ทำอะไรปู้เหล่าหลิน”
ไป๋เจ่ามองเขา พลางกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าไม่มีหลักฐานที่บอกว่าซือเฟิงเฉินเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรไปทำอะไรเขา”
จิ๋งจิ่วกล่าว “พวกเจ้าเองก็ไม่มีหลักฐาน”
คำพูดนี้ย่อมต้องหมายถึงเรื่องที่หลายคนในสำนักจงโจวสงสัยว่าซือเฟิงเฉินถูกเขาบีบบังคับให้ต้องฆ่าตัวตาย
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “เจ้าน่าจะรู้ดี อาศัยเพียงซือเฟินเฉินนั้นไม่สามารถเรียกปู้เหล่าหลินมาได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง ข้ารู้ว่าเขาติดต่อกับคนในตำหนักจิ๋งซิน”
สีหน้าของไป๋เจ่ายิ่งจริงจังขึ้นกว่าเดิม กล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าแม้ไม่มีหลักฐาน เจ้ายังเตรียมจะทำอะไรรัชทายาทด้วย?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความจริงแล้ว เป็นเพราะข้าไปทำอะไรเขาก่อน ถึงได้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นทีหลัง”
ดังนั้นไม่ว่าจะมองจากมุมของรัชทายาท หรือว่ามองจากมุมนั้น การที่เจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหารก็ล้วนแต่เป็นเพราะเขา
ไป๋เจ่าครุ่นคิด เอาไว้ต้องมานั่งครุ่นคิดเนื้อหาในคำพูดประโยคนี้อย่างละเอียดภายหลัง นางมิได้คุยปัญหานี้อีก หากแต่ชี้ไปยังรูที่อยู่บนพื้นหิมะแล้วกล่าวว่า “เมื่อคืนนี้ อสูรขาหิมะเหล่านั้นมิได้ออกมาจากในหุบเขา หากแต่มุดออกมาจากใต้ดิน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
ไป๋เจ่ากล่าว “แมลงเส้นเหล็กที่เจ้าเจอตัวนั้น แล้วยังมีอสูรขาหิมะเมื่อคืนนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของใต้ดินจากการบุกของคลื่นอสูรในอดีต”
จิ๋งจิ่วกล่าว “จำศีลได้นานขนาดนี้เลยหรือ?”
ไป๋เจ่ากล่าว “ขอเพียงฝังอยู่ลึกมากพอ”
จิ๋งจิ่วถาม “อย่างนั้นทำไมพวกมันถึงออกมา? เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกการประลองวิถีพรตปลุกขึ้นมาแน่”
ไป๋เจ่ากล่าว “ข้าคิดว่าพวกมันมิได้ต้องการบุกโจมตีพวกเรา หากแต่คิดอยากจะถอยกลับไปยังแคว้นเสวี่ย เพียงแต่มาเจอพวกเราเข้าพอดี ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าแคว้นเสวี่ยเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่การที่สัตว์ประหลาดที่หลับใหลอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลาหลายร้อยปีตื่นขึ้นมาพร้อมกัน มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด เช่นนั้นตัวเองก็สมควรจะมาดูจริงๆ
……
……
ช่วงเวลากลางวัน แสงอาทิตย์ร้อนแรง ไม่เหมาะที่จะนั่งทำสมาธิ
อาจารย์ของแต่ละสำนักและเหล่าลูกศิษย์ทยอยเดินออกมาจากเรือนต่างๆ ในเรือนซีซาน เดินเล่นอยู่ใต้ระเบียงทางเดินตามความเคยชินในช่วงหลายวันมานี้ ดื่มด่ำชื่นชมภาพดอกเหมยหลายสิบภาพเหล่านั้น
พวกเขาย่อมต้องสนใจศิษย์ของตัวเองมากที่สุดว่าแสดงฝีมือได้เป็นอย่างไร นอกจากนี้ก็จะเป็นลั่วไหวนาน ไป๋เจ่าและถงหลู — ภาพของไป๋เจ่าได้รับคำชมเชยจากฉานจึ บนภาพของลั่วไหวหนานและถงหลูมีดอกเหมยอยู่เยอะที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินว่าพวกเขามุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะได้ไกลสุดด้วย
ภาพดอกเหมยของจิ๋งจิ่วภาพนั้นก็เคยได้รับความสนใจอย่างมากเช่นกัน แต่หลังจากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาหลายวัน ความสนใจของผู้คนก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไป
จิตรกรเดินออกมาจากหอสูงที่ตั้งอยู่ริมภูเขา ทุกคนเดินตามเขาไป ก่อนจะพบว่าสุดท้ายจิตรกรมาหยุดยืนอยู่หน้าภาพดอกเหมยของจิ๋งจิ่ว จึงอดรู้สึกตกตะลึงมิได้
ในที่สุดกลุ่มนั้นก็สังหารสัตว์ประหลาดได้เพิ่มแล้วหรือ? หรือว่า…มีคนตายอีก?
ที่น่าแปลกก็คือจิตรกรผู้นั้นมิได้หยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มวาดภาพดอกเหมย หากแต่จ้องมองพื้นที่สีขาวซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่บนภาพนั้น สีหน้าดูสับสนเลื่อนลอย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขามองดูเอกสารที่ถืออยู่ในมือ คล้ายอยากจะดูให้มั่นใจ จากนั้นจ้องมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอยต่อ
ในที่สุดก็มีผู้บำเพ็ญพรตทนไม่ไหว จึงถามขึ้นมาว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
จิตรกรผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้าไม่รู้ว่าจะวาดอย่างไร”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจ ในใจครุ่นคิด ไม่ว่าจะเป็นการวาดดอกเหมยก็ขีดฆ่าชื่อ ก็แค่ขยับพู่กันเท่านั้นมิใช่หรือ ยากตรงไหนกัน?
เสียงลมดังขึ้นมา
บุคคลสำคัญของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตสิบกว่าคนเดินทางมาถึง
เจ้าสำนักคุนหลุน ต้าเจ๋อลิ่ง[1] เจ้าอาวาสสำนักฌานเป่าทง หนานว่าง สำนักจงโจวที่หลายวันก่อนมิได้ปรากฏตัวก็มีผู้อาวุโสขั้นแปรจิตเดินทางมาผู้หนึ่ง ไม่มีเสียงระฆังดังขึ้น หมายความว่าไม่ต้องแยกย้ายกันถอยออกไป เหล่าผู้บำเพ็ญพรตพากันโค้งตัวคารวะพลางเปิดทางให้พวกเขา ในใจยิ่งรู้สึกสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
หนานว่างมองจิตรกรผู้นั้น ก่อนกล่าวถามว่า “ทำไมถึงยังไม่วาด?”
จิตรกรยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้ามิรู้จะวาดอย่างไรจริงๆ”
“ถ้ายังไงให้ข้าลองดูไหม?”
เหอจานเดินออกมาจากเรือน
ความสามารถและพรสวรรค์ของเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก อีกทั้งเขายังเคยคว้าอันดับสองในการประลองวาดภาพของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยมาแล้วด้วย แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง เขาจึงมิได้เข้าร่วมการประลองวิถีพรตในปีนี้
เจ้าสำนักคุนหลุนมองเขา พลางกล่าวเสียงเย็นชา “ถือว่าเจ้ายังมีประโยชน์”
หนานว่างกล่าว “วาดให้สวยล่ะ”
เหอจานยิ้มพร้อมคารวะ ก่อนจะเดินไปยืนอยู่ด้านหน้าภาพนั้น รับเอาเอกสารจากในมือจิตรกรมาแล้วก้มหน้ามองดู
เขาพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่พอมองดูตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนเอกสาร เขาก็ยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง บนใบหน้ามีรอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฏขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่ามิน่าถึงวาดยาก
เขามองดูภาพนั้นพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับเอาพู่กันมาจากมือของจิตรกรแล้วจุ่มไปบนชาดแดง ข้อมือขยับเล็กน้อย ตวัดวาดลงไปบนผืนภาพ
แปะๆๆๆ เสียงที่ฟังดูแน่นขนัดดังขึ้น คล้ายว่าฝนกำลังตกลงมา
สีแดงเหล่านั้นแต่งแต้มลงไปบนกระดาษขาวเป็นจุดๆ ดวงๆ ราวกับหยาดฝน
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าเหอจานกำลังทำอะไรอยู่?
เหอจานมิได้สนใจ เขาเปลี่ยนพู่กันเป็นด้ามที่มีขนละเอียดขึ้น จุ่มหมึกดำขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะวาดต่ออย่างตั้งใจ
เส้นสีดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างจุดสีแดงที่กระจัดกระจายเต็มกระดาษ
เส้นสีดำเรียวเล็กเป็นยิ่งนัก แล้วก็จางเป็นยิ่งนัก หากไม่ตั้งใจดูก็อาจจะมองไม่ออก
ทุกคนจึงค่อยๆ เข้าใจแล้วว่าเขากำลังทำอะไร
นั่นคือกิ่งเหมยที่ยืดยาวออกไปไกล
แล้วจุดสีแดงที่ดูเหมือนโลหิตเหล่านั้นล่ะ? หรือจะเป็นดอกเหมยที่ผลิออกมาจากกิ่งเหมย?
นี่มีดอกเหมยอยู่มากมายเท่าไรกัน?
ระเบียงทางเดินเงียบสงัด
ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เพียงแค่คืนเดียว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
………………………………………………………………….
[1]ลิ่ง คือ ตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ