มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 127 เรื่องที่ทำให้คนเบื่อหน่าย
“ขอโทษด้วย”
ลั่วไหวหนานกล่าว
ระฆังดาวเหนือแหวกพายุหิมะ พุ่งออกไปราวลำแสง
……
……
จิ๋งจิ่วมองดูลั่วไหวหนานอย่างเงียบๆ
การโจมตีอย่างกะทันหันเช่นนี้ วิธีที่ชั่วร้ายเช่นนี้ มิอาจทำให้สีหน้าเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้เลย
สายตาเขาเรียบเฉย ไม่มีทั้งความโกรธ และไม่มีทั้งความสิ้นหวัง มีเพียงความเบื่อหน่าย
ลำแสงตกลงไปในพายุหิมะ
เสียงตู้มดังขึ้น
ผาหินแตกกระจาย
……
……
เมื่อเห็นระฆังดาวเหนือโจมตีถูกเต็มๆ จิ๋งจิ่วร่วงตกลงไปในพายุหิมะอีกครั้ง ไม่มีคำว่าโชคดีอีก ลั่วไหวหนานหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
ออกไปด้านนอกถ้ำเพียงไม่นาน คิ้วของเขาก็จับตัวเป็นน้ำแข็งเสียแล้ว การโคจรปราณก่อกำเนิดเองก็เริ่มติดขัด เขาจึงรู้ว่าตนเองไม่สามารถรั้งอยู่ที่ีนี่ได้อีก
“ศิษย์น้อง การประลองวิถีพรตครั้งนี้ ข้าได้พบกับการผจญภัยใหม่อีกแล้ว ข้าจึงไม่อยากจะตายจริงๆ ขอบคุณเจ้ามากนะที่ช่วยข้า ข้าจะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน”
เมื่อกล่าวประโยคนี้กับไป๋เจ่าจบ ลั่วไหวหนานก็ใช้ตราประทับหมื่นลี้หนีออกไปจากที่นี่
……
……
โลหิตสดๆ ทะลักออกมา
โลหิตบนชุดสีขาวเพิ่งจะจับตัวแข็ง ก็มีจุดโลหิตเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมาก
คล้ายกับภาพดอกเหมยที่เรือนซีซานเหล่านั้น ที่ได้ถูกจิตรกรวาดดอกเหมยเพิ่มลงไป
ใจแห่งเต๋าของไป๋เจ่าวุ่นวาย ปราณก่อกำเนิดที่ใช้วิชาบันทึกซ่อนเร้นรวบรวมขึ้นมาอย่างยากลำบากสลายหายไปจนหมด
นางเดินไปยังปากถ้ำอย่างยากลำบาก สายตามองดูพายุหิมะที่อยู่ด้านล่าง น้ำตาสองสายไหลออกมาอย่างเงียบๆ เพียงพริบตาก็จับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
“ในเวลานี้สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำคือรักษาตัวเอง มิใช่ร้องไห้”
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านล่างหน้าผา
เสียงเสียงนั้นมิได้มีการกระเพื่อมขึ้นลงของอารมณ์ใดๆ คล้ายว่าเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าพายุหิมะ
แต่สำหรับไป๋เจ่าแล้ว เสียงนี้กลับมีความอบอุ่นเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วยื่นมือไปหิ้วนางขึ้นมาเหมือนเด็ก แล้วเดินเข้าไปในถ้ำ ก่อนจะยัดตัวนางเข้าไปในศพของหนอนหิมะ
ภายในหนอนหิมะยังคงมีของเหลวเหนียวๆ อยู่อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อเอามาห่อหุ้มร่างกายของนางไว้ ก็จะสามารถป้องกันมิให้ความหนาวเย็นรุกล้ำเข้ามาได้
มือขวาของเขากวาดผ่านผนังหินแข็งๆ ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาราวสายฝน เขาเลือกมันขึ้นมา ก่อนจะเอาไปปิดปากถ้ำเอาไว้ แน่นหนาเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีลมหนาวแทรกซึมเข้ามาแม้แต่นิดเดียว
ไป๋เจ่าไม่เหมือนเจ้าล่าเยวี่ย นางรักความสะอาดเป็นอย่างมาก หากในเวลาปกติต้องมาแช่อยู่ในของเหลวจากซากศพของหนอนหิมะ ต่อให้รู้เหตุผล นางก็คงจะรู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างมาก
แต่เวลานี้นางมิได้มีความรู้สึกเช่นนี้เลย เพราะในดวงตาของนางมีเพียงจิ๋งจิ่ว
สายตาของนางขยับตามจิ๋งจิ่ว ไม่ยอมละไปไหนแม้เพียงแวบเดียว ราวกับเหม่อลอยอย่างไรอย่างนั้น
จิ๋งจิ่วหยิบเอายาขึ้นมาเม็ดหนึ่งส่งให้นาง
ยาเม็ดนั้นมีสีแดงเข็ม รูปลักษณ์ภายนอกธรรมดา มีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของหญ้าอ้ายเฉ่าอยู่
นี่คือยาเซวียนเฉ่า ในอดีตเมื่อครั้งที่อยู่ที่เรือนเป่าซู่ในมณฑลหนานเหอ จิ๋งจิ่วเคยหยิบยานี้ออกมาเม็ดหนึ่ง
ภายในยาชนิดนี้มีฤทธิ์ร้อนที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นความหนาวเย็นของดินแดนหมิงก็สามารถขจัดออกไปได้ มีประโยชน์อย่างมากในด้านการสร้างจินตัน ล้ำค่ายิ่งนัก
ที่สำคัญที่สุดก็คือยาเซวียนเฉ่าเป็นยาที่เขาเซวียนฮว่าของจงโจวเป็นคนผลิตขึ้นมา ไป๋เจ่าเป็นศิษย์ของสำนักจงโจว พลังจักรวาลที่ึฝึกจึงเข้ากับยาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ไป๋เจ่าคงจะสงสัยว่าเหตุใดศิษย์ชิงซานนามว่าจิ๋งจิ่วผู้นี้ถึงได้มียาวิเศษของสำนักตัวเองได้ หรืออย่างน้อยก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น
แต่ในเวลานี้นางมิได้ถามอะไร หากแต่อ้าปากกินยาเซวียนเฉ่าลงไป
ริมฝีปากสัมผัสกับปลายนิ้ว ไป๋เจ่ามั่นใจแล้วว่าเขายังมีชีวิตอยู่ มิใช่ว่าตนเองคิดไปเอง สุดท้ายจึงรู้สึกโล่งใจ จิตจำแนกผ่อนคลาย ก่อนจะหลับไปทั้งแบบนี้
ผ้าคลุมหน้าของนางหลุดออกไปในตอนที่ต่อสู้กัน เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม
ในขณะที่นอนหลับ สีหน้าของนางยิ่งดูอ่อนแอ
จิ๋งจิ่วใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่มองออกไป ก่อนจะเห็นแสงที่สว่างเจิดจ้าปรากฏอยู่ตรงคอของเด็กสาว
ยาเซวียนเฉ่าละลายแล้ว มันกำลังหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของนาง
เขาค่อนข้างเหนื่อยล้า จึงนั่งขัดสมาธิลงไป แล้วเริ่มปรับลมหายใจ
ที่นี่หนาวเย็นอย่างมาก
ความหนาวแทรกซึมเข้าไปในกระดูก กระทั่งการโคจรปราณก่อกำเนิดของเขาก็ยังติดขัด
โชคดีที่ร่างกายเขามีความพิเศษ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกความหนาวเล่นงานจนแข็งตาย
สิ่งสำคัญคือจิตสำนึกที่อยู่ห่างออกไปแสนกว่าลี้นั้นทำให้ปราณก่อกำเนิดและเรี่ยวแรงของเขาถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังถูกพายุหิมะกลืนกิน เขากังวลว่าจะไปทำให้สิ่งที่อยู่ไกลแสนไกลนั้นตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงไม่กล้าขี่กระบี่ ได้แต่ต้องใช้มือเปล่าปีนหน้าผาขึ้นมา และก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน ในตอนที่ลั่วไหวหนานใช้ระฆังดาวเหนือลอบโจมตี เขาจึงมิได้โจมตีกลับ หากแต่ฝืนรับการโจมตี ปล่อยมือทั้งสอง ตกลงไปในพายุหิมะอีกครั้ง
นั่นย่อมต้องอันตรายอย่างมากแน่นอน หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ตกลงไปสองครั้ง ปีนขึ้นมาสองครั้ง นี่ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย
เขามีชีวิตสองครั้ง ต้องเดินบนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรแบบเดียวกันสองรอบ มันช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ
อีกทั้งความเบื่อหน่ายยังมาจากเรื่องนี้ด้วย
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดลั่วไหวหนานจึงโจมตีตัวเอง แล้วก็มิได้ถามไป๋เจ่า แต่เมื่อได้คำนวณดูแล้ว เขาก็สามารถคาดเดาเรื่องราวได้คร่าวๆ
ใจคนช่างชั่วร้ายและเห็นแก่ตัว
บนโลกมีเรื่องราวแบบนี้มากมาย ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่มานานมากพอ เช่นนั้นช้าเร็วก็ต้องได้เจออยู่ดี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หากทำซ้ำหลายครั้งเข้าก็ย่อมต้องหมดความน่าสนใจ ทำให้รู้สึกเบื่อ ทำให้รู้สึกหน่าย
ดังนั้นในอดีตเขาจึงเก็บตัวบำเพ็ญเพียรเงียบๆ อยู่ในยอดเขาเสินม่อ ไม่ออกไปพบปะผู้อื่น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เขาปรับลมปราณเสร็จเรียบร้อย จากนั้นลืมตาขึ้นมา
เขาใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่สำรวจตัวเอง ก่อนมั่นใจว่าโอสถกระบี่มิได้รับความเสียหาย ต้นไม้แห่งเต๋ายังคงเรียบร้อยเหมือนก่อนหน้า เพียงแค่ความเร็วในการโคจรปราณก่อกำเนิดช้ากว่าปกติไปเจ็ดส่วนเท่านั้น
ไป๋เจ่าเองก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ยาเซวียนเฉ่าได้ละลายเข้าไปร่างกายจนหมดแล้ว ทำให้นางรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นกว่าเดิม
แต่นี่ก็ทำได้รักษาชีวิตนางเอาไว้ในตอนนี้เท่านั้น มันไม่สามารถช่วยนางต่อต้านความเหน็บหนาวเป็นเวลานานได้
ของเหลวที่อยู่ในศพของหนอนหิมะยังไงก็ต้องมีวันใช้หมด
ที่ยุ่งยากยิ่งกว่านั้นก็คือบนจินตันของนางมีรอยแตกที่ลึกอย่างมากปรากฏขึ้นมาสองรอย สามารถแตกออกได้ทุกเมื่อ
ลั่วไหวหนานลงมือได้โหดเหี้ยมจริงๆ
ไป๋เจ่านิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
การหลอมจินตันขึ้นมานั้นเป็นด่านการฝึกฝนที่ยากที่สุดของสำนักจงโจว คล้ายกับการหลอมโอสถกระบี่ของสำนักชิงซาน
จินตันที่ต้องฝึกฝนอย่างลำบากยากเข็ญกว่าจะหลอมขึ้นมาได้ ทันทีที่แตกออก การคิดจะอาศัยการบำเพ็ญเพียรเพื่อหลอมมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งนั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก
ต่อให้นางจะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักจงโจว มียาวิเศษต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน บางทีอาจจะหลอมจินตันขึ้นมาได้สำเร็จเป็นครั้งที่สอง แต่ถ้าอยากจะให้มันมีคุณภาพเหมือนเมื่อก่อนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
พูดอีกอย่างก็คือนางคล้ายจะมองเห็นแล้วว่าปลายทางของการบำเพ็ญพรตของนางอยู่ที่ไหน
ภายในถ้ำไม่มีลม ความหนาวเย็นยังคงแทรกผ่านก้อนหินเข้ามายังตัวนาง
นางร่างกายไม่แข็งแรงมาแต่กำเนิด ในเวลานี้ยังมาได้รับบาดเจ็บหนัก ถูกความหนาวเย็นเข้าเล่นงาน สีหน้ายิ่งดูขาวซีด
“ขอโทษที่พาเจ้ามาลำบากด้วย”
ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเบาๆ “แต่ข้าคิดว่า ในเมื่อเจ้าพาข้ามาที่นี่ได้ เจ้าก็น่าจะมีวิธีออกไปเหมือนกัน”
“ข้าไม่มั่นใจ อากาศหนาวเย็นกว่าก่อนนี้มาก การโคจรปราณก่อกำเนิดคอนข้างติดขัด”
จิ๋งจิ่วกล่าว “การเชื่อมต่อระหว่างข้ากับกระบี่อาจจะตัดขาดได้ทุกเมื่อ”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร กระบี่เหล็กเล่มนั้นได้บินกลับมาอยู่ข้างกายเขา ก่อนจะถูกเขากอดอยู่ในอ้อมอก
เขาสังเกตเห็นสีหน้าของไป๋เจ่ามิสู้ดีนัด ความคิดจึงขยับ
ไฟกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนกระบี่เหล็ก ส่องสว่างถ้ำหิน ดูคล้ายคบเพลิงท่อนหนึ่ง
กระบี่เหล็กลุกไหม้อยู่ในอ้อมอกเขา ภาพนี้ดูแล้วค่อนข้างมหัศจรรย์
แสงไฟดูค่อนข้างอ่อนโยน แต่เมื่อเทียบกับความหนาวเย็นที่แทรกซึมมาจากภายนอกแล้วกลับดูอ่อนแรง ผิวหิมะที่อยู่ในถ้ำเพิ่งจะละลาย ก็แข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งใหม่อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองดูใบหน้าอันขาวซีดของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากผิวน้ำแข็ง ไป๋เจ่าก็ได้ทำการตัดสินใจ
“ข้าทำให้เจ้าหนีออกไปจากที่นี่ได้ ลั่วไหวหนานคิดว่าข้ามีตราประทับหมื่นลี้เพียงอันเดียว ความจริงแล้วข้ายังมีอีกอัน”
ครั้นกล่าวจบ นางก็หยิบของสิ่งหนึ่งโยนไปให้จิ๋งจิ่ว
…………………………………….