มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 35 กระบี่ไป
มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 35 กระบี่ไป
มิรอให้จิ๋งจิ่วทำการตอบสนองใดๆ หม่าหวาชิงออกกระบี่ก่อน
เสียงหวีดของกระบี่บินทะลวงไปในป่าหินที่แน่นขนัด
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งโจมตีไปทางจิ๋งจิ่ว
ในระยะห่างเท่านี้ จิ๋งจิ่วไม่สามารถใช้กระบี่บินโจมตีกลับได้ เขาได้แต่ต้องเลือกที่จะหลบ
วิธีเดียวที่เขาอาจจะเอาชนะหม่าหวาได้ก็คือขี่กระบี่ขึ้นไป เสี่ยงร่นระยะห่างของตนเองกับอีกฝ่าย จากนั้นค่อยโจมตีอีกครั้ง
ในการประลองก่อนหน้านี้ ศิษย์จากยอดเขาปี้หูคนนั้นก็ใช้วิธีนี้สู้กับศิษย์พี่แห่งยอดเขาเทียนกวงซึ่งมีสภาวะเหนือกว่า
หม่าหวาเชี่ยวชาญการวางแผน เขาคิดคำนวณเรื่องเหล่านี้เอาไว้อย่างละเอียด เขาเตรียมตัวเอาไว้หากจิ๋งจิ่วสามารถหลบกระบี่ของตนเองและเข้ามาใกล้ตนเองได้จริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะเรียกกระบี่บินกลับมาแล้วถอยไปทางหลังอีกครั้ง สรุปแล้วก็คือเขาต้องรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับอีกฝ่ายเอาไว้ให้ได้ ทำแบบนี้แล้วเขาก็จะสามารถยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีวันพ่ายแพ้
ส่วนเรื่องที่ว่าทำแบบนี้แล้วจะขายหน้า มันมิได้อยู่ในความคิดเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่แน่นอน ถ้าเหตุการณ์แบบนี้ไม่เกิดขึ้นเลยก็จะยิ่งดี
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจโจมตีอย่างมาก คิดอยากจะเอาชนะจิ๋งจิ่วในการโจมตีเพียงกระบี่เดียว
……
……
แท่นหินบนหน้าผา
จู่ๆ เจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงพลันสะบัดแขนเสื้อ
พลังอันรุนแรงสายหนึ่งไหลทะลักออกไปรอบๆ ยอดเขาและสันเขา
เมฆหมอกที่ลอยวนอยู่ในป่าหินได้รับอิทธิพลจากคลื่นพลังนี้ มันค่อยๆ จมลงไปด้านล่างจนตกลงไปถึงพื้น ก่อนจะกลายเป็นทะเลเมฆที่หนาประมาณสองฉื่อ
ภาพนี้ช่างงดงาม แต่ทุกคนรู้ว่าเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงมิได้คิดที่จะสร้างทิวทัศน์ขึ้นมาให้ชม หากแต่อยากจะให้เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างมองเห็นการต่อสู้นี้อย่างชัดเจน
เหล่าอาจารย์รวมไปถึงเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงต่างอยากรู้ว่าจิ๋งจิ่วจะแก้ไขสถานการณ์การต่อสู้ที่หม่าหวาสร้างขึ้นมาอย่างไร ขณะเดียวกันก็อยากให้เหล่าลูกศิษย์ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้
เมื่อมองจากจุดนี้ พวกเขาดูค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวจิ๋งจิ่วอยู่ทีเดียว
……
……
“ไป”
จิ๋งจิ่วยังคงใช้วิธีที่เขาคุ้นเคยมากที่สุดในการทำลายแผนการของหม่าหวา ยังคงเป็นการพูดแค่คำๆ เดียว
กระบี่เหล็กพุ่งออกไป บินตรงไปยังเสาหินที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจ้างต้นนั้น
ใช้คำว่าบินดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก เพราะกระบี่เหล็กรวดเร็วเกินไป เร็วจนไม่มีแม้กระทั่งเงา กระทั่งลำแสงกระบี่ก็ยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเป็นเส้น
คนที่ชมการต่อสู้รู้สึกเหมือนมีอะไรผ่านตรงหน้าไป คล้ายกับตอนที่จิ๋งจิ่วพุุ่งขึ้นไปจากพื้นเมื่อครู่นี้ กระบี่เหล็กเล่มนั้นได้มาถึงตรงกลางระหว่างเสาหินทั้งสองต้นแล้ว
ในเวลานี้กระบี่ของหม่าหวาเพิ่งจะพุ่งออกมาจากเสาหินได้ไม่ถึงยี่สิบจ้าง
เมื่อเห็นกระบี่เหล็กเล่มนั้น หม่าหวาทั้งตกใจและหวาดกลัว เขารีบขับปราณกระบี่ออกมาอย่างฉับพลัน เรียกกระบี่บินกลับมาป้องกันตรงด้านหน้าตัวเอง
เสียงเคร้งดังชัดเจน!
ด้านบนป่าหินมีเสียงลมหวีดอย่างรุนแรง คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไปรอบทิศ
ในช่วงเวลาที่คับขันที่สุด กระบี่ของเขาป้องกันกระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่วเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
เขาทรุดตัวลงนั่งบนเสาหิน ตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก ทะเลแห่งการรับรู้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โอสถกระบี่ยากสงบได้
กระบี่ของจิ๋งจิ่วแข็งเกร่งยิ่งนัก!
นี่มิใช่แค่พลังอันมหาศาลที่มาพร้อมตัวกระบี่ แต่ยังหมายถึงความเร็วด้วย
เสียงฟิ้วดังขึ้น กระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่ววกกลับมาอีกครั้ง ยังคงไม่มีเงากระบี่ มีเพียงลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นมาสั้นๆ เท่านั้น
หม่าหวารู้ว่าตนไม่มีทางรับกระบี่นี้ได้เด็ดขาด เขาส่งเสียงเหอะออกมา เหยียบกระบี่หนีไปยังตำแหน่งที่ไกลออกไปอย่างไม่ลังเล
จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ไปยืนอยู่บนเสาหินอีกต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปอีกหลายสิบจ้าง เมื่อหันมองกลับไป เขาเห็นเสาหินที่ตนเองยืนอยู่ก่อนหน้าถูกกระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่วฟันจนแตกออก เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงตกลงไปยังพื้นด้านล่าง ดูคล้ายพายุหิมะที่ปลิวกระจายเต็มท้องฟ้า
หม่าหวาใบหน้าขาวซีด เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมอาภรณ์ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์หรือแผนการอะไรก็ล้วนแต่ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังและความเร็ว
ในตอนที่กระบี่เหล็กบินเข้ามาหาเขา เขาถึงขนาดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย
เขาไม่กล้าจินตนาการว่าถ้าหากตนเองตอบสนองช้ากว่านั้นเพียงนิดเดียว จุดจบของตนเองจะเป็นอย่างไร
ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่มีเวลาจะไปมัวครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะกระบี่ของจิ๋งจิ่วมาอีกแล้ว
เสียงหวีดของกระบี่เหล็กแหวกอากาศเข้ามา ดูทรงพลังยิ่งนัก
หม่าหวารู้ว่าตนเองไม่มีทางรับกระบี่นี้ได้เลย แล้วก็ไม่มีทางหลบกระบี่นี้ได้ด้วย
เขายื่นมือไปกำด้ามกระบี่แล้วยกมาขวางไว้ด้านหน้า พลางตะโกนเสียงดังว่า “ข้ายอม…”
เสียงตู้มดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมา!
จิ๋งจิ่วไม่ให้โอกาสเขาได้ยอมแพ้
กระบี่เหล็กฟาดลง ตัดคำพูดที่เขายังไม่ทันพูดออกมาจากปากคำนั้นจนขาดสะบั้น
หม่าหวากระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง
เขาไม่อาจทนรับต่อไปได้อีก ร่างกายร่วงตกลงไปจากเสาหิน
บริเวณยอดเขาเต็มไปด้วยเสียงอุทานตกใจ
จิ๋งจิ่วมิได้ยั้งมือ
กระบี่ไล่ตามหม่าหวาไป ก่อนจะฟันลงอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าแปลกก็คือ หม่าหวาที่ร่วงตกลงไปยังพื้นด้านล่างยังคงฝืนอยู่ในท่าจับกระบี่ แต่กลับป้องกันการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ไม่ได้
กระบี่เหล็กสับลงไปยังใบหน้าของเขาไม่หยุด คล้ายค้อนหนักๆ ที่ทุบลงไปไม่หยุด ส่งเสียงดังสนั่น
ผัวะๆๆๆ!
เสียงที่น่าหวาดกลัวนี้ดังสะท้อนไปทั่วทั้งยอดเขาเทียนกวง
เสียงตูมดังขึ้น หม่าหวาตกลงสู่พื้นอย่างแรง ทะเลหมอกแตกกระจาย
กระบี่เหล็กบินกลับมา
ลูกศิษย์ของยอดเขาซื่อเยวี่ยรีบเข้าไป
หม่าหวาถูกพยุงขึ้นมา ใบหน้าขาวซีด ทั้งร่างเต็มไปด้วยโลหิต ดูสิ้นสภาพโดยสิ้นเชิง
ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรเหนือกว่าคนธรรมดามาก เขามิได้ถูกกระบี่ของจิ๋งจิ่วฟันเข้าไปจริงๆ โอสถกระบี่แม้จะเสียหาย แม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็มิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
เขามองดูร่างที่ยืนอยู่บนเสาหิน ในดวงตาเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว กล่าวเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าบรรลุสภาวะตั้งแต่เมื่อไร!”
ในศึกกระบี่ทางด้านบนป่าหิน แม้จะเลยระยะร้อยสามสิบกว่าจ้างไปแล้ว กระบี่บินของจิ๋งจิ่วยังสามารถแสดงพลังออกมาได้รุนแรงขนาดนั้น เรียกได้ว่าพรสวรรค์ของเขานั้นมิธรรมดา
แต่ปัญหาคือระดับความสูงของเสาหินเหล่านี้ก็มากกว่าร้อยจ้างเช่นกัน สุดท้ายแล้วระยะห่างของเขากับหม่าหวาเกรงว่าคงจะห่างกันเกือบสองร้อยกว่าจ้าง
กระบี่ของเขายังสามารถอัดเข้าใส่หม่าหวา ฟันเขาจากกลางอากาศลงมาถึงพื้นดินแล้วยังบินกลับไปได้อย่างง่ายดาย นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
มีเพียงศิษย์ที่บรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์เท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้ได้!
ก็เหมือนกับหม่าหวา คนที่คิดถึงปัญหานี้ได้ยังมีอีกมาก
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปยังร่างที่อยู่บนป่าหินนั้น
“เมื่อครู่นี้”
เสียงของจิ๋งจิ่วดังลงมาจากบนป่าหิน
เสียงฮือฮาดังขึ้น
แต่จิ๋งจิ่วพูดความจริง
ระหว่างที่เดินทางท่องไปบนแผ่นดินกับเจ้าล่าเยวี่ย เขาเตรียมตัวที่จะเข้าสู่สภาวะขั้นมิประจักษ์มาโดยตลอด ในฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วก็มีการตอบสนองแล้ว
เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง พูดให้ถูกคือเป็นเพราะร่างกายของเขา เขาจึงรู้สึกลังเลมาโดยตลอด
จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ ตอนที่เห็นหลิ่วสือซุ่ยถูกกั้วหนานซานโจมตีจนตกลงมาบนพื้น ในที่สุดเขาจึงทำการตัดสินใจ
หม่าหวาย่อมไม่เชื่อคำพูดของเขา ใบหน้าที่อาบไปด้วยเลือดฉีกยิ้มที่น่าเวทนาออกมา พลางกล่าวว่า “สู้กับศิษย์ร่วมสำนัก จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้หรือ?”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ในนั้นยังมีฟันที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ปะปนอยู่ด้วย นี่ล้วนแต่เป็นผลมาจากการที่ถูกกระบี่ของจิ๋งจิ่วกระแทกใส่เมื่อครู่นี้
มีบางคนรู้สึกว่าภาพหม่าหวาถูกกระบี่เหล็กกระแทกจากด้านบนเสาหินจนตกลงมาถึงพื้นด้านล่างมันค่อนข้างคุ้นตา
จากนั้นพวกเขาจึงนึกขึ้นมาได้ ภาพหลิ่วสือซุ่ยถูกกั้วหนานซานจัดการจนสิ้นสภาพเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน เรียกได้ว่าเหมือนกับภาพนี้ทุกอย่าง
“เจ้านี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้เลยหรือ”
หลินอู๋จือคิดถึงภาพจิ๋งจิ่วตีกู้ชิงไปสามทีตอนที่อยู่ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อสามปีก่อน ก่อนจะยิ้มแห้งพลางส่ายศีรษะ
ด้านหน้าเขา ผู้อาวุโสไป๋หรูจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย มิรู้กำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ผู้อาวุโสมั่วหัวเราะหึหึ ดูค่อนข้างชื่นชม
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีใครยื่นมือช่วยหม่าหวา แล้วก็ไม่มีใครตะโกนบอกให้หยุด เพราะทุกคนดูออกว่าจิ๋งจิ่วยังมิได้โจมตีเต็มที่
มิเช่นนั้นเหตุใดกระบี่เหล็กถึงได้โจมตีเข้าไปที่ใบหน้าของหม่าหวาอย่างแม่นยำทุกครั้ง?
นี่ย่อมมิใช่ว่าจิ๋งจิ่วออมมือ
ในทางกลับกัน เขาทำเช่นนี้เพราะต้องการโจมตีหม่าหวาให้สิ้นสภาพต่อหน้าศิษย์ชิงซาน ทำให้ยอดเขาเหลี่ยงว่างขายหน้า
อันที่จริงแล้วการตอบโต้ของหม่าหวามิได้มีปัญหาอะไร การคาดการณ์สถานการณ์การต่อสู้ก็ค่อนข้างแม่นยำ เพียงแต่มันไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่ของจิ๋งจิ่ว
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้คือ จิ๋งจิ่วเพิ่งจะมาชิงซานได้หกปี เหตุใดจึงมีปราณกระบี่ที่มหาศาลถึงขนาดนี้?
ฉือเยี่ยนแหงนหน้ามองไปยังด้านบนเสาหิน กล่าวถามว่า “ต่อไหม?”
จิ๋งจิ่วทราบว่าผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซั่งเต๋อผู้นี้น่าจะเดาเจตนาของตัวเองได้ เขาจึงมองไปยังแท่นหินของศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างอีกครั้ง
“โปรดชี้แนะ”
ครั้งนี้ คนที่เขามองคือกู้หาน
…………………………………………………………