มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 37 กระบี่หัก
มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 37 กระบี่หัก
บ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดู กระบวนท่าที่เก้าในเพลงกระบี่หิมะไหลของยอดเขาซั่งเต๋อ
กระบี่ท่านี้มิใช่เพลงกระบี่ หากแต่เป็นวิชาลับที่เจ้าแห่งยอดเขาซั่งเต๋อคนแรกคิดค้นขึ้นมาได้จากบ่อน้ำอันเยือกเย็นในยอดเขา เพื่อใช้รับมือกับกระบี่บินโดยเฉพาะ
เวลานี้กู้หานเตรียมจะใช้วิชาลับนี้ในการปิดตายกระบี่บินของจิ๋งจิ่ว
แม้นจะมีวิชาลับอยู่ แต่การจะใช้สองมือรับมือกับกระบี่บินที่รวดเร็วดุจดั่งสายฟ้า มันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างมากเช่นกัน
ที่ผ่านมาศิษย์ชิงซานที่เป็นเพลงกระบี่หิมะไหล มักจะเลือกใช้กระบวนท่านี้เวลาที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขับเท่านั้น
เวลานี้เห็นๆ อยู่ว่ากู้หานสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เขากลับทำเช่นนี้ เรียกได้ว่าพยายามบีบคั้นอีกฝ่ายจนถึงที่สุด มิได้มองจิ๋งจิ่วอยู่ในสายตาเลย
เสียงหวึ่งดังขึ้นมา!
มือขวาของกู้หานสองนิ้วประกบกัน ยื่นออกมาข้างหน้าคล้ายกระบี่เล่มเล็ก มือซ้ายห้านิ้วกางออกเหมือนวงกลม
กระบี่เหล็กหยุดนิ่งระหว่างสองมือ สั่นสะเทือนไม่หยุด แต่กลับไปไหนไม่ได้
บ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดู!
เขาผนึกกระบี่ของจิ๋งจิ่วได้สำเร็จ
หลังจากนี้ก็ต้องมาดูกันว่าจิ๋งจิ่วจะรับมือกระบี่ของเขาอย่างไร
ทุกคนมองว่าไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายใดๆ เพราะในเวลานี้จิ๋งจิ่วไม่มีกระบี่แล้ว
เมื่อไม่มีกระบี่ เขาย่อมไม่สามารถอาศัยกระบี่หลบหนีไปบนหน้าผาเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ ได้แต่ต้องอาศัยร่างกายฝืนรับเอาไว้
ต่อให้ร่างกายของผู้บำเพ็ญพรตทางวิถีกระบี่จะแข็งแกร่งเพียงใด แม้นจะเป็นเหมือนเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยที่ฝึกวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาจนบรรลุได้เจ็ดส่วน ร่างกายแข็งแกร่งดุจหินผา แต่จะเผชิญหน้ากับกระบี่บินตรงๆ ได้อย่างไร?
มีผู้อาวุโสบางคนเตรียมเรียกกระบี่ออกไปช่วยเหลือ
ทั้งสองที่อยู่ห่างกันค่อนข้างไกล แต่ในลานประลองก็มียอดฝีมือที่บรรลุสภาวะแหวกทะเลอยู่หลายคน อย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตของจิ๋งจิ่วได้
เจ้าล่าเยวี่ยลุกขึ้นยืน มองไปทางนั้นด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
จู่ๆ มีลมพัดขึ้นมา ผมสั้นของนางถูกพัดจนยุ่งเหยิง
ด้านหน้าลานหิน กระบี่มิคำนึงที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศสั่นขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงหวึ่งเบาๆ คล้ายเตรียมจะพุ่งออกไปทุกเมื่อ
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าด้านหน้าที่ไกลออกไปจากกระบี่มิคำนึง กระบี่สามฉื่ออันเยือกเย็นเล่มนั้นก็สั่นสะเทือนขึ้นมาเบาๆ เช่นกัน
สุดท้าย กระบี่มิคำนึงไม่ได้บินออกไป กระบี่สามฉื่อเองก็ไม่ได้ขยับ
เสียงอุทานตกใจจำนวนนับไม่ถ้วนดังสลับขึ้นมาบนยอดเขา
เพราะกระบี่ของกู้หานแทงถูกความว่างเปล่า!
……
……
ด้านบนป่าหินเองก็มีลมพัด
ร่างกายของจิ๋งจิ่วคล้ายก่อรูปขึ้นมาจากทราย สลายหายไปพร้อมกับสายลม
ทันใดนั้น เขาไปปรากฏตัวอยู่บนอากาศพร้อมกับลำแสงกระบี่สิบกว่าสาย
ลำแสงกระบี่เหล่านั้นออกมาจากร่างกายของเขา
เส้นผมที่ถูกลมพัดลอยขึ้นมา เสื้อผ้าที่ขยับพลิ้วไหว อ่อนโยนราวกิ่งหลิว ผมแต่ละปอยดูคล้ายกระบี่
……
……
เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงลุกขึ้นยืน สายตาจ้องมองออกไป ในดวงตามีแววตาที่แปลกประหลาดแวบขึ้นมา แขนเสื้อสั่นเทาเล็กน้อย
ลอยตัวขึ้นไปบนอากาศได้หลายสิบจ้าง นี่มันวิชาแห่งเต๋าแบบไหนกัน?
ต่อให้ไม่มีกระบี่ แต่ผู้ฝึกกระบี่ที่มีสภาวะสูงส่งเองก็สามารถอาศัยลมหายใจกระบี่ในการเหยียบอากาศขึ้นไปได้ เหมือนอย่างที่กั้วหนานซานใช้ออกมาก่อนหน้านี้
ปัญหาคือจิ๋งจิ่วเพิ่งจะบรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ ก็สามารถใช้วิชาที่มีความยากระดับสูงเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ?
สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือความเร็วของเขาที่เร็วจนยากจะจินตนาการได้ เรียกได้ว่าเกินขอบเขตของวิชาแห่งเต๋าไปแล้ว กระทั่งทำให้คิดโยงไปถึงวิชาหลบหนีฟ้าดินของสำนักจงโจว!
……
……
จิ๋งจิ่วปรากฎกายอยู่ขึ้นตรงหน้ากู้หาน
กู้หานกำลังใช้วิชาบ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดูผนึกกระบี่ของจิ๋งจิ่วอยู่ มิได้คิดถึงเลยว่าจิ๋งจิ่วจะมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าตนเช่นนี้
มือของจิ๋งจิ่ววางลงไปบนด้ามกระบี่ ดูเหมือนเป็นการวาดกระบี่ออกไปตามขวางอย่างง่ายดาย
สองมือของกู้หานมิอาจผนึกกระบี่ของจิ๋งจิ่วต่อไปได้อีก
เสียงฉึกดังขึ้น
กระบี่เหล็กแทงทะลุร่างกายของกู้หาน
โลหิตสดๆ ทะลักออกมาจากปลายกระบี่ จากท้องฟ้าหยดลงมาสู่พื้นดิน
……
……
เมื่อเห็นภาพที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้นี่ กั้วหนานซานสีหน้าตึงเครียด
เขาทราบดี ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อาฉือเยี่ยนหรืออาจารย์อาท่านอื่นก็ไม่มีทางยื่นมือเข้าช่วยเหลือในเวลานี้
เหล่าอาจารย์อาน่าจะมองเห็นอย่างชัดเจน ตำแหน่งที่กระบี่เหล็กของจิ๋งจิ่วแทงทะลุคือหน้าอกขวาของกู้หาน — อาการบาดเจ็บของกู้หานแม้นจะสาหัส แต่ก็มิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
เหล่าอาจารย์อาจะต้องคิดว่าจิ๋งจิ่วจะยั้งมือเนื่องจากเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
แต่กั้วหนานซานหาได้คิดเช่นนั้นไม่ ภายในใจความแอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
แม้นจะอยู่ห่างกันหลายลี้ แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงจิตสังหารของจิ๋งจิ่ว
เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ย
แม้นนายบ่าวคู่นี้จะมิได้พบหน้ากันมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แม้นก่อนหน้านี้ไม่นานหลิ่วสือซุ่ยจะแสดงออกถึงความผิดหวังต่อจิ๋งจิ่วอย่างรุนแรง
หลิ่วสือซุ่ยถูกยอดเขาซั่งเต๋อทรมานก็ไม่ยอมปริปากบอกว่าคืนนั้นเขาไปหาจิ๋งจิ่ว
ตอนนี้หลิ่วสือซุ่ยตกอยู่ในสภาพแบบนี้ จิ๋งจิ่วจะทำเพื่อเขาได้ถึงขนาดไหนกัน?
ไม่ต้องพูดเรื่องไร้ความรู้สึกอะไรนั่น
เพราะหากไร้ความรู้สึกจริง เขาจะมาท้าสู้กับหม่าหวาและกู้หานทำไม
กั้วหนานซานรู้ว่าตนเองจำเป็นต้องลงมือ แม้หลังจากนี้จะถูกตำหนิก็ตาม เพราะหากไม่ลงมือ เขากังวลว่ากู้หานอาจจะตายจริงๆ ก็ได้
ในเวลานี้ ในที่สุดก็มีคนพบถึงปัญหา
จิ๋งจิ่วมิได้ชักกระบี่กลับ เขาดันกู้หานไปยังหน้าผาทางทิศเหนือ
กู้หานร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว หรือเขาคิดจะฆ่าคน!
“หยุดนะ!”
เหล่าลูกศิษย์ของยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาเหลี่ยงว่างส่งเสียงตะโกนอย่างตกใจ แต่พวกเขาหยุดเหตุการณ์อันโหดร้ายนี้ไม่ทันแล้ว
โชคดีที่ในเวลานี้ลำแสงกระบี่ที่ใสแวววาวสายหนึ่งพุ่งทะลุป่าหิน จนมาถึงด้านหน้าหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้
เมื่อเห็นลำแสงกระบี่ที่แวววาวเหมือนสายรุ้งนี้ เหล่าศิษย์พลันโล่งใจ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่หลิ่วสือซุ่ยคิดจะใช้เพลิงปีศาจสังหารเจี่ยนหรูซาน ก็ถูกลำแสงกระบี่นี้หยุดยั้งเอาไว้
ศิษย์พี่ใหญ่ที่บรรลุขั้นคเนจรลงมือ ยังมีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก?
ลำแสงกระบี่อันแข็งแกร่งสายนั้นฟันไปยังด้านหลังของจิ๋งจิ่ว
หากจิ๋งจิ่วคิดจะหยุดกระบี่นี้ เขาจำเป็นต้องหมุนตัวกลับมา อีกทั้งต้องชักกระบี่เหล็กออกมาจากร่างของกู้หาน
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้เหนือไปจากที่ทุกคนคาดเอาไว้ โดยเฉพาะกั้วหนานซาน
จิ๋งจิ่วมิได้ทำอะไรเลย
เขามิได้ดึงกระบี่ออกมา มิได้หมุนตัว คล้ายกับมิรู้ว่ามีลำแสงกระบี่สายหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาทางด้านหลัง และกำลังจะฟันตัวเองขาดออกไปเป็นสองท่อน
“แย่แล้ว!”
กั้วหนานซานลอบอุทานในใจ
เขามองเห็นมือของจิ๋งจิ่วปล่อยออกจากด้ามกระบี่ จึงหยุดการโจมตี
แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่หลบ แล้วก็ไม่คิดป้องกัน?
กั้วหนานซานไม่ทันได้ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ เขารู้เพียงว่าหากกระบี่ของตนเองฟันลงไป จิ๋งจิ่วจะต้องตายอย่างแน่นอน
เขาทราบดี จิ๋งจิ่วคืออัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่อาจารย์หลายคนตั้งความหวังเอาไว้
หากคนผู้นี้ยังคงลงมือกับกู้หานต่อ เขาก็จะสังหารอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจ แล้วก็ไม่ยอมที่จะสังหารอีกฝ่ายด้วย
เพียงแต่เขาเพิ่งจะบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร ระยะทางหลายลี้ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว การควบคุมกระบี่บินยังเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงยากที่ควบคุมให้กระบี่บินไปมาได้อย่างอิสระ
เขาส่งเสียงเหอะออกมา โอสถกระบี่หดเล็กลงอย่างฉับพลัน พยายามฝืนเก็บปราณกระบี่ เพื่อทำให้กระบี่ที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้หยุดลง
……
……
ลำแสงกระบี่ที่เป็นเหมือนสายรุ้งหายไป
ในที่สุดกระบี่บินเล่มนั้นก็หยุดลง
ปลายกระบี่ห่างจากแผ่นหลังของจิ๋งจิ่วไม่ถึงสองฉื่อ
ดูแล้วน่าหวาดเสียวอย่างมาก
ทันใดนั้นเอง จิ๋งจิ่วพลันหมุนตัวกลับมา สองมือประกบกัน หนีบกระบี่บินเล่มนั้นเอาไว้!
เมื่อดูจากท่าทางแล้วคล้ายกับการพนมมือของสำนักฌานอย่างมาก
สีหน้ากั้วหนานซานแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาพยายามเรียกกระบี่กลับมา แต่กลับพบว่าไร้ผล
เขาเป็นยอดฝีมือขั้นคเนจรแล้ว ฝีมือสูงส่งกว่าจิ๋งจิ่วมากนัก แต่เวลานี้กระบี่เล่มนั้นอยู่ในมือจิ๋งจิ่วซึ่งอยู่ห่างจากเขาออกไปหลายลี้
ยิ่งไปกว่านั้นสองมือของจิ๋งจิ่วกลับแข็งแกร่งกว่าบ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดูที่กู้หานใช้ออกมาก่อนหน้านี้เสียอีก!
“ฝ่ามือกำสรวล!”
เจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงลุกขึ้นยืน ครุ่นคิดอย่างตกตะลึงว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วจึงใช้ยอดวิชาของวัดกั่วเฉิงได้?
เจ้าแห่งยอดเขาและเหล่าผู้อาวุโสที่มองวิชาของจิ๋งจิ่วออกต่างมีความคิดเหมือนกัน แต่กลับรักษาความนิ่งเงียบเอาไว้พร้อมกันอย่างน่าประหลาด
เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงมองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ รู้สึกใคร่รู้ว่าต่อไปจิ๋งจิ่วจะทำอย่างไร
ในที่สุดเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลก็วางถ้วยชาที่ถืออยู่นานลง ดวงตาหรี่เล็กมองไปทางด้านนั้น สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม
……
……
จิ๋งจิ่วสองมือแยกออก จับปลายกระบี่ัทั้งสองด้านเอาไว้
“อย่า!”
มิรู้ผู้ใดตะโกนขึ้นมา
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ สองมือออกแรง
กระบี่ที่อยู่ในมือเขาเล่มนั้นค่อยๆ โค้งงอ ส่งเสียงฟังดูน่าอึดอัดอย่างมากออกมา
เลือดสดๆ ไหลออกมาจากช่องระหว่างมือเขากับคมกระบี่
“โปรดยั้งมือด้วย”
ไม่รู้ว่าเสียงใครดังสะท้อนไปมาบนยอดเขา
ห่างกันหลายลี้ จิ๋งจิ่วมองกั้วหนานซานอย่างเงียบๆ
เสียงเพล้งดังขึ้น
กระบี่บินหักเป็นสองท่อน
กั้วหนานซานกระอักเลือดออกมา
…………………………………………………………..