มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 39 ศิษย์พี่ใหญ่ในสายของจิ๋งจิ่ว
มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 39 ศิษย์พี่ใหญ่ในสายของจิ๋งจิ่ว
สุดท้ายคนก็มิใช่กระบี่ ความคิดที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็เป็นได้แค่เพียงการคาดเดาเท่านั้น
ดังนั้นร่างกระบี่แต่กำเนิดจึงเป็นแค่เพียงเรื่องสมมติอย่างหนึ่งเท่านั้น
“หากนั่นมิใช่ร่างกระบี่แต่กำเนิด แล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก?”
เฉิงโหยวเทียนซึ่งเป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูเอ่ยขึ้นมา หลังจากนิ่งเงียบมาโดยตลอด
ภาพที่เกิดขึ้นชั่วพริบตานั้นศิษย์ธรรมดามองไม่เข้าใจ แต่พวกเขาซึ่งเป็นยอดฝีมือที่บำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานาน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ตกตะลึง?
“สองมือของเขามันยังไงกันแน่?”
เจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยขมวดคิ้วขึ้นมา “กระบี่ของกั้วหนานซานมิใช่กระบี่บินธรรมดา”
ในฐานะที่เป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักชิงซาน กระบี่ของกั้วหนานซานย่อมต้องเป็นกระบี่ที่มิธรรมดา มีนามว่าทะเลคราม เป็นกระบี่เซียนชั้นสอง
มีเรื่องราวเรื่องหนึ่งหรือพูดอีกอย่างก็คือคดีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกระบี่เล่มนั้น
ว่ากันว่าเพื่อให้กั้วหนานซานที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงศิษย์ขั้นล้างกระบี่ได้กระบี่เล่มนี้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลกู้…ยอมคืนกระบี่กลับสู่ชิงซานล่วงหน้า
เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากกระบี่ทะเลคราม กั้วหนานซานใช้เวลาอยู่สองปีเต็ม ช้ากว่าจัวหรูซุ่ยและเจ้าล่าเยวี่ยมากนัก
ยอดกระบี่มาหักลงเช่นนี้ หากจะหลอมขึ้นมาใหม่มิรู้ต้องใช้เวลากี่ปี เหล่าเจ้าแห่งยอดเขาเองก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน
“ต่อให้จิ๋งจิ่วจะเป็นวิชาฝ่ามือกำสรวลของวัดกั่วเฉิงจริงๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจับกระบี่เล่มนี้”
ตามปกติแล้ว ใครก็ตามที่พยายามจะจับกระบี่นามว่าทะเลครามเล่มนั้นเหมือนอย่างจิ๋งจิ่ว สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นคือนิ้วทั้งสิบขาดสะบั้น จากนั้นจึงเป็นฝ่ามือ
เจ้าแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว “นอกเสียจาก…เจ้านั่นมันจะเคยฝึกวิชากายาวชิระ”
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลกล่าว “สามปีก่อนยอดเขาซั่งเต๋อเคยสงสัยเช่นนี้”
เมื่อสามปีก่อนตอนที่ยอดเขาเสินม่อปรากฏสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง ตอนนั้นฉือเยี่ยนเคยกล่าวเอาไว้ว่าจิ๋งจิ่วอาจจะเคยฝึกวิชากายาวชิระมาก่อน
ครานั้นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงยังเคยพูดหยอกขึ้นมาว่าที่จิ๋งจิ่วชอบลูบศีรษะคน อาจจะติดนิสัยมาจากพิธีก้วนติ่งของพวกพระก็เป็นได้
สำนักชิงซานไม่เคยเชื่อสมมติฐานนี้ และมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องขำขัน เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดยอดเขาซั่งเต๋อที่ปกติเคร่งขรึมตลอดเวลาถึงได้มาพูดเรื่องขำขันเช่นนี้
ตอนนี้ดูเหมือนว่ายอดเขาซั่งเต๋อจะมิได้พูดเรื่องขำขันเสียแล้ว
สายตาหลายคู่มองไปทางกระบี่สามฉื่อ
เหล่าเจ้าแห่งยอดเขาทราบว่าชายแก่ที่มีนิสัยเยือกเย็นผู้นั้นกำลังฟังบทสนทนานี้อยู่
เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลค่อยๆ กล่าวว่า “ร่างผลของกายาวชิระ รวมกับวิถีกระบี่ของชิงซาน ไม่แน่อาจจะมีโอกาสกลายเป็นร่างกระบี่แต่กำเนิดจริงๆ ก็เป็นได้”
เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงกล่าว “พระพวกนั้นกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่? หากกลายเป็นร่างผลสำเร็จตั้งแต่ก่อนจะออกมาจากวัด เช่นนั้นจะต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงแน่นอน แล้วจะปล่อยให้ศิษย์แบบนี้ออกมาได้อย่างไร? แต่ว่าจิ๋งจิ่วได้เข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักชิงซานเราแล้ว ต่อให้เขาจะเป็นนักบวชของวัดกั่วเฉิงที่ออกมาเหยียบโลกปุถุชนจริงๆ เราก็มีแต่จะได้ประโยชน์”
หากเรื่องนี้เป็นจริง ตามกฎของโลกแห่งปุถุชนแล้ว ต่อให้ในอนาคตจิ๋งจิ่วจะกลับไปยังวัดกั่วเฉิง แต่หากชิงซานมีเรื่องเขาก็ต้องกลับมาช่วยเหลือ
“ไม่พอ” เจ้าแห่งยอดเขาซีไหลนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมา “หากเขาอยู่ที่วัดกั่วเฉิงมาสิบปี เช่นนั้นเขาก็ต้องอยู่ที่ชิงซานสิบปี อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่นานเท่ากัน ข้าจะปรึกษาเรื่องนี้กับศิษย์พี่เจ้าสำนัก ขอศิษย์น้องแต่ละยอดเขาอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แล้วก็อย่าได้ไถ่ถามวัดกั่วเฉิงด้วย เวลานี้พวกเราทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรไปก่อน”
นี่หมายความว่าจะแบ่งจิ๋งจิ่วจากหนึ่งเป็นสอง
เจ้าแห่งยอดเขาอื่นๆ ต่างเห็นด้วย
เวลานี้สภาวะของจิ๋งจิ่วยังธรรมดา การที่หักกระบี่ของกั้วหนานซานได้นั้นเป็นเพราะฉวยโอกาส แต่ไม่ว่าใครต่างก็มองออกว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร
หากสิ่งที่คาดเดาเป็นความจริง เช่นนั้นวัดกั่วเฉิงที่เคยช่วยสร้างเทพดาบให้แก่สำนักเฟิงเตามาแล้ว อาจจะช่วยสร้างเทพกระบี่ให้แก่ชิงซานในอีกร้อยปีหลังจากนี้ก็เป็นได้
……
……
เมื่อกลับมาถึงยอดเขาเสินม่อ เจ้าล่าเยวี่ยหยิบเอาไข่มุกที่เปล่งแสงจางๆ เม็ดนั้นออกมาจากในแขนเสื้อ ก่อนจะส่งให้กู้ชิงและชายหนุ่มแซ่หยวน
กู้ชิงรับมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพาชายหนุ่มแซ่หยวนกลับไปในถ้ำ แล้วปล่อยเจตน์กระบี่ลงไปบนไข่มุกเม็ดนั้น
ไข่มุกเม็ดนั้นปล่อยลำแสงออกมานับไม่ถ้วนไปบนผนังถ้ำ กลายเป็นภาพที่ดูไม่ค่อนชัดเจนภาพหนึ่ง แต่เพียงพอจะมองออกว่าเป็นภาพงานชุมนุมซื่อเจี้ยนในวันนี้
นี่คือไข่มุกซู่หลิว[1] สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้บางส่วน ว่ากันว่าสำนักจงโจวยังมีของวิเศษอย่างหนึ่งชื่อว่าไข่มุกหวนเทียน[2] โดยมันสามารถฉายภาพที่เกิดขึ้นมาแล้วได้เสมือนเกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้า ถึงขนาดสามารถเก็บเสียงในเวลานั้นมาได้ด้วย เพียงแต่ไข่มุกหวนเทียนล้ำค่า ถูกเก็บเอาไว้ในศาลาปู่เทียนของสำนักจงโจว มิเคยมีผู้ใดได้เห็นมาก่อน
แสงอาทิตย์ยามเย็นถดถอย ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ เผยกาย ดวงดาราส่องประกายระยิบระยับ กาน้ำชานิ่งสงบ
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ริมผา นั่งมองยอดเขาหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปข้างกายไป กล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “อยากจะคุยหน่อยไหม?”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าพูดน้อย เวลานี้พูดเยอะแล้ว สรรพสิ่งในโลกล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่มีเหตุผลของมันอยู่ แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงใช้ชีวิตจริงจังเพียงนี้ เหตุใดถึงยอมใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น หลักเหตุผลข้าเข้าใจ แต่ข้ามิอาจยอมรับได้”
เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าเขาหมายถึงยอดเขาเหลี่ยงว่าง หรือพูดให้ชัดก็คือหลิ่วสือซุ่ย นางมิรู้ควรจะรับคำอย่างไร
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “ข้าบำเพ็ญเพียรช้าเกินไป”
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจคำพูดนี้ช่างไม่สมกับนิสัยของเจ้าเลย ไปถูกอะไรกระตุ้นมาอย่างนั้นหรือ?
“ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนทางข้างหน้าคืออะไร แต่ก็ยังเดินไปทางนั้นไม่หยุด ครั้นได้เห็นภาพที่เคยเห็นมาแล้วบางภาพ รู้สึกมันช่างน่าเบื่อหน่าย ข้าเลยไม่รีบ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกร้อนใจ”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เพราะเหตุใด?”
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าวอย่างจริงจัง “หากตอนนี้ข้าบรรลุขั้นแหวกทะเล เช่นนั้นก็คงได้สู้กับไป๋หรูจิ้งไปแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยพูดไม่ออก ในใจครุ่นคิดวันนี้เจ้าสู้กับศิษย์สามคนที่สำคัญที่สุดของยอดเขาเหลี่ยงว่างไปแล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ
เรื่องของหลิ่วสือซุ่ย ดูเหมือนจะไม่จบแต่เพียงเท่านี้
……
……
ลำแสงสิบกว่าสายค่อยๆ หดกลับเข้าไปในไข่มุกซู่หลิว
ไข่มุกเย่หมิง[3] เริ่มเปล่งแสงออกมาอีกครั้ง ภายในถ้ำถูกส่องสว่างจนเหมือนเวลากลางวัน
กู้ชิงสีหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มแซ่หยวนสีหน้าขาวซีด
ภาพจากไข่มุกซู่หลิวไม่ชัดเจน แล้วก็ไม่มีเสียง แต่พวกเขาก็ยังดูเข้าใจว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลิ่วสือซุ่ยถูกทำลายสภาวะที่ได้บำเพ็ญมา พร้อมกับถูกขับออกจากสำนัก
จิ๋งจิ่วท้าสู้ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างติดต่อกัน ทั้งยังทำให้ศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักกระอักเลือดด้วย
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย
กู้ชิงตบบ่าชายหนุ่มแซ่หยวน พลางกล่าวปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร”
ก่อนงานชุมนุมซื่อเจี้ยนในวันนี้ เขาก็รู้สึกอยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่องแน่นอน เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนี้
โชคดีที่หลิ่วสือซุ่ยยังรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ อาจารย์ทั้งสองท่านก็มิได้เสียหายอะไร
ชายหนุ่มแซ่หยวนรู้สึกชื่นชม คิดในใจมิเสียทีที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อมาสามปี เจอกับเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ยังมิลนลาน จึงกล่าวว่า “ศิษย์พี่ช่างสุขุมจริงๆ”
กู้ชิงกล่าว “อาจารย์อาเป็นเจ้าแห่งยอดเขา เจ้าก็ถือเป็นศิษย์อันดับหนึ่งแห่งยอดเขาเสินม่อ ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่”
ชายหนุ่มแซ่หยวนไหนเลยจะยอม เขากล่าวว่า “ต้องว่าตามลำดับที่เข้าสำนักมาสิ”
กู้ชิงส่ายศีรษะ กล่าวว่า “หากจะว่ากันตามลำดับที่เข้าสำนักมา ข้าก็มิใช่ศิษย์พี่อยู่ดี”
ชายหนุ่มแซ่หยวนไม่เข้าใจ จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นคือใคร?”
กู้ชิงทอดตามองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ด้านนอกยอดเขา นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์พี่ของพวกเราคนนั้น…ไม่รู้ยังจะกลับมาได้อีกหรือเปล่า”
…………………………………………………………..
[1]ซู่หลิว หมายถึง ทวนน้ำ
[2]หวนเทียน หมายถึง คืนสวรรค์
[3]เย่หมิง หมายถึง ส่องสว่างในยามราตรี