CatNovel
  • หน้าหลัก
  • แทงหวย24
  • มังงะ
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • แทงหวย24
  • มังงะ
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 41 เก้าวันและหนึ่งปีของหลิวสือซุ่ย

  1. Home
  2. มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2
  3. ตอนที่ 41 เก้าวันและหนึ่งปีของหลิวสือซุ่ย
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 41 เก้าวันและหนึ่งปีของหลิวสือซุ่ย
คนไร้ประโยชน์ต่อให้อยากกลายเป็นคนธรรมดาใหม่อีกครั้ง ก็จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเช่นกัน

หลิ่วสือซุ่ยนั่งอยู่ในท้องนา ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

บิดาแซ่หลิ่วมิได้สนใจเขา หากแต่ปักกล้าข้าวอย่างเงียบๆ เอวโค้งงอเป็นอย่างมาก

“ยังมัวนั่งอยู่ทำอะไร!”

มารดาแซ่หลิ่วดึงเขาขึ้นมาจากท้องนา ตีเขาไปสองที ในดวงตาเอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำตา

วันที่สี่ หลิ่วสือซุ่ยมิได้ออกจากบ้าน

ฟ้ายังมิทันสางเขาก็ตื่นขึ้นมา หลังจากล้างตาล้างตาอย่างง่ายๆ ก็เริ่มยืนท่าคันธนู

นี่เป็นการฝึกขั้นพื้นฐานของสำนักชิงซาน

เขาทราบดีว่าตนเองมิอาจอาศัยวิธีนี้ในการขึ้นไปเหยียบบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรอีกครั้งได้ แต่เขาคิดว่ามันน่าจะช่วยให้ตัวเองฟื้นฟูพละกำลังกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นานนัก บนหน้าผากเขามีเหงื่อขนาดประมาณเม็ดถั่วเหลืองผุดขึ้นมา

เขารู้ว่าตัวเองยังอ่อนแออย่างมาก มิอาจฝืนดึงดันต่อไปได้ จึงตัดสินใจพักผ่อน

ในขณะที่พักผ่อน เขาถือโอกาสปัดกวาดเช็ดถูบริเวณสวนภายในบ้าน

วันที่ห้า หลิ่วสือซุ่ยยังคงยืนท่าคันธนูอยู่ กระทั่งเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาจึงรู้สึกค่อนข้างมีความสุข

ในระหว่างที่พักผ่อน เขาเดินไปที่สวนผักหลังบ้าน เด็ดเอาพริกและผักกาดกวางตุ้งมาจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งล้างมันอย่างสะอาดสะอ้าน

มารดาแซ่หลิ่วกลับมาเตรียมทำอาหาร เห็นห้องครัวและผักที่สะอาดสะอ้าน จึงขยี้ตาเล็กน้อย

วันที่หก หลิ่วสือซุ่ยนอกจากยืนท่าคันธนูแล้ว ยังเริ่มฝึกเพลงหมัดด้วย เพียงแต่เวลานี้แตกต่างจากตอนที่อยู่ศาลาหนานซง เวลาเขาออกหมัดจะไม่มีเสียงใดๆ อีก เงียบเป็นยิ่งนัก

เขาไปเก็บกะหล่ำดอกสีเหลืองในสวนผักมาสองสามหัว เมื่อกลับมาในห้องครัวมองเห็นเนื้อหมูวางอยู่เส้นหนึ่ง จึงคิดอยากจะหั่นมันเสียหน่อย

อาศัยอยู่ชิงซานมาหลายปี เขาแทบจะมิได้กลับมา แต่เขาจำคำของจิ๋งจิ่วได้ จึงส่งเงินให้ทางบ้านมิน้อย ชีวิตของตระกูลหลิ่วในเวลานี้มิถือว่าลำบากอะไร

มารดาแซ่หลิ่วกลับมาเห็นซึ้งนึ่งมีควันลอยฉุย หลังงุนงงเล็กน้อยจึงตะโกนออกไปนอกหน้าต่างว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้าเริ่มทำกับข้าว ข้าจะช่วยพ่อเจ้าทำงานเยอะอีกหน่อยค่อยกลับมา”

วันที่เจ็ด นอกจากยืนท่าคันธนู ฝึกเพลงหมัด หลิ่วสือซุ่ยยังเริ่มวิ่ง ก่อนจะพบว่าชายหลังคาด้านหลังบ้านถูกฝนสาดจนพังไปส่วนหนึ่งแล้ว

ทำกับข้าวเสร็จ เผาปลาเฉาตัวหนึ่ง หยิบผักกาดดองมานิดหน่อย เขายกบันไดเดินออกไปด้านหลังสวน ตอกตึงๆ ตังๆ อยู่ทั้งช่วงบ่าย

วันที่แปด นอกจากทำเรื่องเหล่านี้แล้ว หลิ่วสือซุ่ยยังผ่าฟืนกองหนึ่ง คล้ายเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ฟืนกองดูสวยงาม

วันที่เก้า เขาไปยังที่นา ช่วงเวลาดำนาใกล้สิ้นสุดลงแล้ว หากยังไม่ไปช่วยมันจะไม่ทันการ

บิดาแซ่หลิ่วมิได้กล่าวกระไร หากแต่ส่งผ้าขนหนูให้ผืนหนึ่ง บอกให้เขาพันรอบคอไว้ ไม่รู้ว่าเพื่อกันลมหรือว่ากันแมลงที่อยู่ในที่นา

หลิวสือซุ่ยก้มหน้าทำงาน แลดูตั้งใจ

ฟ้าสีครามแลเมฆสีขาวที่อยู่ในน้ำแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มยามเย็น เขาเงยหน้าขึ้นมา รู้สึกเมื่อยเอวปวดหลัง ครั้นมองดูข้างๆ ก็พบว่าตนเองทำงานได้เพียงหนึ่งในห้าส่วนของผู้เป็นบิดา

เขามิร้อนใจ ในใจครุ่นคิดว่าค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งเขาพึงพอใจที่ัตนเองปักต้นกล้าได้ตรงดิ่ง ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้งหรือแนวนอนก็ล้วนแต่เป็นเส้นตรง

“ปักตรงขนาดนี้ทำอะไร? ปักสวยแล้วกินได้เหรอ”

บิดาแซ่หลิ่วเดินผ่านข้างกายเขาไป

หลิ่วสือซุ่ยยิ้มขึ้นมา คิดในใจหรือคนผู้นั้นเป็นเพราะรูปงามเกินไป จึงพยายามทำอะไรให้มันสวยงาม?

ทันใดนั้นเขาทอดตามองไปยังทางขึ้นเขาหน้าหมู่บ้าน ทว่าไม่มีใคร

ในวันเวลาหลังจากนั้น หลิ่วสือซุ่ยก็เหมือนกับชายหนุ่มทั่วไปในหมู่บ้าน ทำไร่ไถนาอย่างเหน็ดเหนื่อย ร่างกายค่อยๆ กลับมาแข็งแรงขึ้น ใบหน้าก็กลับมาดำอีกครั้ง

ในช่วงเวลาหลายวันตอนแรกเริ่ม บางครั้งบางคราวเขาจะยืดตัวขึ้นมาจากในนา ทอดตามองไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวขึ้น

ต่อมา เขาก็มิได้มองไปยังปากทางเข้าหมู่บ้านอีก

หลังฤดูเพาะปลูกก็เป็นการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูร้อน หลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเสร็จสิ้นก็จะเป็นฤดูหนาวอันยากลำบาก อยู่แต่ในหมู่บ้านมันก็น่าเบื่อ เช่นนั้นก็หาเพื่อนไปล่าสัตว์ในภูเขา

บิดาแซ่หลิ่วรับความจริงได้แล้ว ภายในบ้านมีเสียงหัวเราะกลับคืนมาอีกครั้ง เหล่าชาวบ้านเองก็เริ่มยอมรับตัวเขาใหม่ ถึงขนาดมีคนเตรียมจะเป็นแม่สื่อให้เขา แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธไป

เรื่องราวในอดีต เขาคล้ายจะลืมเลือนไปแล้วทั้งหมด การฝึกบำเพ็ญเพียรที่ชิงซาน คล้ายดั่งความฝันที่มิใช่ความจริง

เวลาที่เดินอยู่ในเทือกเขา บางครั้งบนท้องฟ้าจะมีลำแสงกระบี่หลายสายปรากฏขึ้นมา

เขาหยุดฝีเท้า มองดูท้องฟ้าอย่างเงียบๆ จนกระทั่งลำแสงกระบี่หายไป มิรู้กำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่

เหมันต์จากไปไม่นาน วสันต์มาเยือนอีกครา เวลาหนึ่งปีก็ผ่านไปเช่นนี้

ในที่นาเริ่มถ่ายน้ำลงไปอีกครั้ง ท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาวมาเยือนท้องฟ้าอีกคราว เหล่าชาวบ้านต้องเผชิญกับสองช่วงเวลาที่เหนื่อยยากที่สุดในหนึ่งปีอีกครั้ง

ตกเย็น หลิ่วสือซุ่ยใช้จอบขุดเอาดินขึ้นมา เตรียมพร้อมสำหรับอุดช่องว่างบนคันนา

เขาทอดมองดูน้ำในนา นวดเฟ้นเอวเล็กน้อย ในใจเริ่มมีความทะเยอทะยาน

เขาครุ่นคิด พรุ่งนี้ตนเองจะต้องปักกล้าข้าวให้ได้มากกว่าบิดา อีกทั้งจะต้องตรงกว่าคนผู้นั้นให้ได้

“อดีตเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ในเวลานี้กลับพยายามกลายเป็นชาวนา ช่างน่าสงสารเสียจริง”

เสียงอันเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

หลิ่วสือซุ่ยหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้

คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ สวมหมวกรูปร่างแปลกประหลาด ใบหน้าปกติธรรมดา แต่กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมากลับอึมครึมยิ่งนัก

หลิ่วสือซุ่ยมิได้แยแสเขา หากแต่เหลียวหน้ากลับมาทำงานต่อ

“สมแล้วที่เป็นศิษย์ของชิงซาน ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วยังหยิ่งผยองได้ถึงเพียงนี้ กระทั่งที่มาที่ไปของข้าก็ยังมิไถ่ถามเสียหน่อย?”

คนชุดดำผู้นั้นกล่าวว่า “ข้ามาจากสำนักเสวียนอิน”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ มือที่จับด้ามจอบของหลิ่วสือซุ่ยค่อยๆ กำแน่นขึ้น

สำนักเสวียนอินเป็นสำนักฝ่ายอธรรม ยืนอยู่คนละฝั่งกับสำนักฝ่ายธรรมะที่มีชิงซานเป็นตัวแทนมาโดยตลอด

หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าจู่ๆ มีศิษย์สำนักเสวียนอินมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า หลิ่วสือซุ่ยคงจะชักกระบี่แล้วพุ่งเข้าไปหาเขาอย่างไม่ลังเลแน่

แต่ปัญหาคือเวลานี้ในมือของเขาไม่มีกระบี่ มีเพียงจอบด้ามหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงมิทำอะไร หากแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

ทูตของสำนักเสวียนอินรู้สึกน่าสนุก

ศิษย์ชิงซานที่ถูกทอดทิ้งผู้นี้มิได้คิดหลบหนี และมิได้พุ่งเข้ามา หากแต่ทำตัวเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นเลย

“ข้าชอบเจ้า ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจช่วยเจ้า”

ทูตสำนักเสวียนอินลอยลงมาจากบนต้นไม้ พลางกล่าวกับเขาว่า “แม้นเส้นลมปราณเจ้าจะถูกตัดขาด โอสถกระบี่จะถูกทำลาย แต่ขอเพียงเจ้ายังมีชีวิตอยู่มันก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล ขอเพียงเจ้ายอมไปกับข้า ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นฟูพลังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ข้าวของอะไรก็มิจำเป็นต้องเก็บแล้ว ในเขาเหลิ่งซานมีทุกอย่างที่เจ้าต้องการ ที่นี่อยู่ใกล้ชิงซานเกินไป ข้าไม่อยากถูกอดีตศิษย์ร่วมสำนักของเจ้ามาพบเข้า”

เหลิ่งซานคือคำเรียกภูเขาสูงและทุ่งหิมะทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินเฉาเทียน เขาคุนหลุน เขาเทียนซาน เขายาซานล้วนแต่อยู่ที่นี่ ฐานที่มั่นของสำนักเสวียนอินก็อยู่ทางนั้นเช่นกัน

หลิ่วสือซุ่ยยังคงมิแยแสเขา

ทูตจากสำนักเสวียนอินสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อย กล่าวว่า “หากเจ้ายังทำเช่นนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย”

หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าเขาพูดความจริง สำหรับศิษย์พรรคมารแล้ว การฆ่าคนคือเรื่องที่สามารถกระทำได้ตามอำเภอใจ

“ข้ารู้เรื่องหลักการของเพลิงปีศาจไม่มอดดับ”

หลิ่วสือซุ่ยวางจอบลง ก่อนจะมองเขาพลางกล่าว “หากข้าคิดอยากจะบำเพ็ญเพียรต่อไปด้วยวิธีแบบนี้ ข้าย่อมมีวิธีของข้าเอง”

ทูตแห่งสำนักเสวียนอิงตกใจอย่างมาก

เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่ามีวิธีที่จะช่วยหลิ่วสือซุ่ยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและบำเพ็ญเพียรต่อไปได้ มิเช่นนั้นทางสำนักคงไม่แอบสังเกตดูเขามาเป็นเวลาหนึ่งปี

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตัวหลิ่วสือซุ่ยจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน —- เพลิงปีศาจไม่มอดดับก็คือหัวใจสำคัญของวิธีการนี้

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เหตุใดจึงไม่ทำเช่นนี้?”

เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก

สำหรับอัจฉริยะที่ถูกทำลายสภาวะและพลัง การได้กลับไปยืนบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้งมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดหรือ? หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น ถ้าต้องมาตกอยู่ในสภาพเดียวกับหลิ่วสือซุ่ยในเวลานี้ เกรงว่าคงยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างแน่นอน แม้นจะสั่งให้พวกเขาไปสังหารบิดามารดาของตัวเอง ก็เกรงว่าคงมีหลายคนที่ยอมทำ

แต่เหตุใดหลิ่วสือซุ่ยจึงสงบนิ่งเพียงนี้ ก้มหน้าก้มตาทำนาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปี โดยไม่คิดพยายามลองทำมัน?

“เพราะนั่นเป็นวิชาของพรรคมาร”

น้ำเสียงของหลิ่วสือซุ่ยเป็นธรรมชาติอย่างมาก คล้ายกำลังพูดถึงเรื่องที่เป็นปกติธรรมดาที่สุดบนโลกนี้

ศิษย์ฝ่ายธรรมะ จะไปฝึกวิชาของพรรคมารได้อย่างไร?

เอาล่ะ ตอนนี้เขามิใช่ศิษย์ชิงซานอีกต่อไปแล้ว แล้วก็มิใช่ผู้บำเพ็ญพรตด้วย แต่เขาก็ยังจะทำเช่นนี้อยู่

ถึงจะเป็นชาวนา ก็ควรจะเดินบนวิถีธรรมะเช่นกัน

ทูตแห่งสำนักเสวียนอินจ้องมองดูเขาเป็นเวลานาน ก่อนกล่าวถามว่า “เจ้าโง่หรือเปล่าเนี่ย?”

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “คงจะนิดหน่อยกระมัง?”

“ชั่วชีวิตนี้ สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดก็คือคนแบบเจ้านี่แหละ แม่งโคตรยุ่งยากเลย”

ทูตแห่งเสวียนอินกล่าวประโยคนี้ทิ้งไว้ ก่อนหมุนตัวจากไป

………………………………………………………………..

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 41 เก้าวันและหนึ่งปีของหลิวสือซุ่ย"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์