มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 42 เยือนสามครา
มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 42 เยือนสามครา
ตกกลางคืน หลิ่วสือซุ่ยนอนอยู่บนเตียง สายตาเหม่อมองดูดวงดาราที่อยู่นอกหน้าต่าง
เขามิได้นอนไม่หลับเช่นนี้มานานแล้ว จนกระทั่งวันนี้คนจากสำนักเสวียนอินมาเยือน ในที่สุดชีวิตอันเงียบสงบภายในหมู่บ้านก็ถูกทำลายลง
ในหนึ่งปีมานี้ เขาค่อยๆ เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วจึงพูดจาน้อยคำ ทั้งชื่นชอบเหม่อลอย
นั่นเป็นเพราะเรื่องราวในใจมีอยู่มากมาย
รุ่งเช้าลุกขึ้นจากเตียง เขาบอกบิดามารดาว่ามีธุระ เช้านี้ยังไม่ไปนา
ผ่านไปไม่นาน ประตูบ้านถูกเคาะดัง
เมื่อผลักประตูออกไปดู พบว่าผู้มาเยือนคือบัณฑิตชราคนหนึ่ง ชุดสีน้ำเงินถูกซักจนซีดขาว หนวดเองก็เป็นสีขาว ให้ความรู้สึกมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง
หลิ่วสือซุ่ยแปลกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เปลี่ยนคนแล้วหรือ?”
บัณฑิตชรากล่าว “ใช่”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
บัณฑิตชรากล่าว “เรือนอี้เหมา”
หลิ่วสือซุ่ยตกตะลึง จากนั้นพลันเกิดความรู้สึกศรัทธาเลื่อมใส
หากพูดถึงสำนักฝ่ายธรรมะของแผ่นดินเฉาเทียน ในช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้สำนักกระบี่ซีไห่และสำนักเฟิงเตาเริ่มมีอำนาจบารมี แต่หากพูดถึงสถานะและรากฐานอันยาวนาน ยังคงเป็นสำนักจงโจว สำนักชิงซาน วัดกั่วเฉิงและเรือนอี้เหมา ในเรือนอี้เหมาล้วนแต่เป็นบัณฑิตปัญญาชน กระทำการใดล้วนเรียบง่ายติดดิน ทว่าความสามารถกลับไม่มีผู้ใดกล้าสงสัย
บัณฑิตชรากล่าวว่า “คนที่มาเมื่อวานนี้ดูเจ้าเพียงสามวัน แต่ข้าดูเจ้ามาสามเดือน ข้ามั่นใจว่าตัวเองชื่นชอบเจ้า ข้าจึงมาหาเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าก็ชื่นชอบเรือนอี้เหมาเช่นกัน”
เขาพูดความจริง หลายคนมองว่าเรือนอี้เหมารู้เพียงหนังสือ แต่ไร้ความสามารถ ไม่อาจทำประโยชน์อันใดให้อาณาจักร แต่ในปีที่แคว้นเสวี่ยรุกลงมาทางใต้ ราชสำนักสูญเสียการปกครอง บัณฑิตของเรือนอี้เหมากระโจนเข้าไปในสนามรบอย่างไม่ขาดสาย จำนวนคนที่เสียชีวิตเพื่ออาณาจักรมีมากกว่าสำนักชิงซานและสำนักจงโจวรวมกันเสียอีก เรียกได้ว่ามีคุณสมบัติที่จะได้รับความเคารพนับถือ
“เชิญนั่ง” หลิ่วสือซุ่ยยกเก้าอี้มา
บัณฑิตชรานั่งลง กล่าวว่า “บทสนทนาของพวกเจ้าเมื่อวานนี้ ข้ารู้หมดแล้ว”
บัณฑิตของเรือนอี้เหมารู้ว่าศิษย์ของสำนักเสวียนอินอยู่ใกล้ๆ แต่กลับไม่จัดการ เดิมนี่ก็ค่อนข้างมีปัญหาอยู่แล้ว
แต่จากคำพูดประโยคนี้ ยังสามารถฟังออกว่าพวกเขาคล้ายจะรู้จักกัน
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกตกใจ จากนั้นมิรู้ว่าคิดถึงอะไร เขานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะถามว่า “ท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
บัณฑิตชรากล่าวว่า “ย่อมต้องมาพาเจ้าไป”
หลิ่วสือซุ่ยมองดวงตาเขาพลางถาม “ไปเรือนอี้เหมา?”
บัณฑิตชรานิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “หากเจ้าต้องการ ก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้”
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจ จึงกล่าวว่า “ข้าไม่อยากทรยศสำนัก”
บัณฑิตชรากล่าวว่า “เจ้าถูกขับออกมาจากชิงซานแล้ว จะไปฝากตัวเป็นศิษย์สำนักอื่นก็มิได้มีปัญหาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น…หรือเจ้าคิดจะยอมแพ้จริงๆ?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “หากข้าต้องการฟื้นฟูการบำเพ็ญเพียร ก็จำเป็นต้องฝึกวิชามารต่อ”
บัณฑิตชรากล่าวว่า “วิชาเป็นเพียงมีดเล่มหนึ่ง จะเอามีดเล่มนี้ไปฆ่าคนหรือช่วยคน ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับความคิดของพวกเรา เหมือนกับตอนงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซาน เจ้าใช้เพลิงแห่งตานปีศาจและวิชาลับของสำนักเสวี่ยหมอเอาชนะเจี่ยนหรูอวิ๋น ก็เป็นเพราะเจ้าคิดว่าเขาคือคนเลวมิใช่หรือ? ใช้วิชาพรรคมารกระทำความดี มันก็คือวิชาฝ่ายธรรมะ”
คำพูดนี้มีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นตัวอย่างที่เขายกมาล้วนแต่ตรงกับใจของหลิ่วสือซุ่ย ทว่าหลิ่วสือซุ่ยยังคงมิเห็นด้วย
“ในวันนั้น ข้าพบว่าตัวเองไม่มีความมั่นใจว่าจะควบคุมมีดเล่มนี้ได้หรือไม่”
เขากล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจยกมีดเล่มนี้ขึ้นมาได้อีก”
บัณฑิตชราเข้าใจความหมายของเขา จึงทอดถอนใจพลางกล่าว “ยอดเยี่ยม ตอนนั้นหากเจ้ามายังเรือนอี้เหมาก็คงจะดี ไหนเลยจะเกิดปัญหายุ่งยากเหมือนอย่างตอนนี้”
……
……
อีกคืนหนึ่งผ่านไป เขายังคงนอนไม่หลับ
หลิ่วสือซุ่ยลุกขึ้นมา ผลักประตูบ้านออกไป
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาโดยมิได้สนใจเขา สองมือไพล่หลัง กวาดตามองดูรอบบ้าน ดูหยิ่งทะนงยิ่งนัก
แน่นอน เขามีสิทธิ์ที่จะหยิ่งทะนง ลมหายใจลึกล้ำยากคะเน จิตใจองอาจห้าวหาญ
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกง่วง เขาหาวพลางกล่าวถามว่า “เปลี่ยนคนอีกแล้วหรือ?”
“สำนักจงโจว เว่ยเฉิงจึ ขั้นจิตก่อรูป”
ชายวัยกลางคนกล่าว
ความง่วงหงาวของหลิ่วสือซุ่ยหายไปทันที เขาตะลึงลานจนพูดไม่ออก
สภาวะขั้นจิตก่อรูปในระบบการบำเพ็ญเพียรของเมืองเจาเกออันมีสำนักจงโจวเป็นผู้นำเทียบเท่าได้กับสภาวะขั้นคเนจรในระบบการบำเพ็ญเพียรของชิงซาน เขาคือผู้อาวุโสยอดฝีมืออย่างแท้จริง
เว่ยเฉิงจึมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าว “สำนักชิงซานช่างคิดเล็กคิดน้อยเสียจริง อัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมเฉกเช่นเจ้า กินตานปีศาจไปเม็ดหนึ่งจะเป็นอะไรไป ถึงกับต้องขับออกมาจากสำนัก”
เดิมหลิ่วสือซุ่ยคิดอยากกล่าวว่าห้ามลบหลู่อาจารย์ข้า แต่สุดท้ายกลับนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
เว่ยเฉิงจึมิได้อ้อมค้อม เขากล่าวตรงๆ ว่า “เจ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะควบคุมมีดเล่มนี้ได้หรือไม่ หวาดกลัวว่าวิชามารจะกลืนกินตัวเอง ดูเหมือนโชคของเจ้ายังไม่ดีพอ หากติดตามข้าไป ข้าจะถ่ายทอดวิชาช่วยเจ้ารักษาจิตเอาไว้ มาตรว่าไม่สำเร็จ ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยฆ่าตัวตายก็ได้ หากเจ้ามีความกล้าที่จะตาย ไยต้องกลัวว่าจะไม่สามารถเอาชนะตัวเอง?”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “พวกท่านเป็นใครกันแน่?”
สำนักเสวียนอิน เรือนอี้เหมา สำนักจงโจว ไม่มีทางที่จะปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านบนภูเขาพร้อมกัน
โดยเฉพาะสำนักเสวียนอินนั้นเป็นพรรคมารที่มีชื่อเสียง จะเป็นไปได้อย่างไรที่ยอดฝีมือระดับขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวจะปล่อยให้ศิษย์สำนักเสวียนอินมีชีวิตรอด อีกทั้งยังแบ่งปันข้อมูลข่าวสารให้กันและกัน
นี่แสดงให้เห็นว่า พวกเขามาด้วยกัน
กลุ่มแบบไหนกันถึงจะมียอดฝีมือของทั้งสามสำนักนี้มาทำงานให้?
ประตูบ้านถูกผลักออก บัณฑิตชราแห่งเรือนอี้เหมาและลูกศิษย์ของสำนักเสวียนอินที่มีสีหน้าชั่วร้ายผู้นั้นเดินเข้ามา
“เจ้าเคยได้ยินสถานที่ชื่อปู้เหล่าหลินหรือไม่?”
หลิวสือซุ่ยคิดในใจว่ามาแล้วสินะ จากนั้นกล่าวพึมพำว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ … ผู้อาวุโสเชิญนั่ง ประเดี๋ยวข้าจะไปรินชามาให้พวกท่าน”
กล่าวจบประโยคนี้ เขาพลันหมุนตัวเดินไปในห้องครัว ก่อนจะคว้ามีดหั่นผักฟันลงไปที่ลำคอของตนเองอย่างไม่ลังเล
ลมชั่วร้ายสายหนึ่งโกรกเข้าไปในห้องครัว พัดจนเขากระเด็นลอยไปกระแทกกำแพงอย่างแรง มีดหั่นผักตกลงพื้น ส่งเสียงเคร้งดังขึ้นมา
ศิษย์สำนักเสวียนอินยิ้มเยือกเย็นพลางกล่าว “ตอบสนองได้รวดเร็วนี่”
บัณฑิตชราหยิบผ้าสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งส่งให้เขา พลางบอกเขาให้เช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก
เว่ยเฉิงจึกล่าวว่า “ศิษย์ชิงซานล้วนแต่ถูกสั่งสอนอย่างคร่ำครึ ปู้เหล่าหลินมิแน่ว่าจะเป็นคนชั่วไปเสียทุกคนเสียหน่อย”
หลิ่วสือซุ่ยปฏิเสธผ้าสี่เหลี่ยมผืนนั้น ใช้มือยันกำแพงพยุงร่างกายลุกขึ้นมา จากนั้นใช้แขนเสื้อเช็ดโลหิต สายตาจ้องมองเว่ยเฉิงจึพลางกล่าว “ไม่ พวกท่านล้วนแต่เป็นคนเลว”
“วิชามิแบ่งแยกดีชั่ว พวกมันล้วนคือมีด ปู้เหล่าหลินเองก็เป็นมีดเล่มหนึ่ง” บัณฑิตชรามองดูเขาพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าสามารถใช้มีดเล่มนี้ทำความดี อย่างขุนนางชั่วในเมืองเจาเกอ หรืออย่างเช่นแม่ทัพที่เตรียมจะขายชาติ คนแบบนี้สังหารไปเท่าไร สวรรค์ก็มีแต่จะขอบคุณเจ้า”
หลิ่วสือซุ่ยส่ายศีรษะพลางกล่าว “ข้าไม่เชื่อว่าปู้เหล่าหลินจะมีคนดี”
“หรือสำนักชิงซานล้วนแต่เป็นคนดี? หากเป็นคนดีกันหมด ไฉนเจ้าจึงตกอยู่สภาพนี้ได้? สำนักจงโจวของข้าเองก็มีคนชั่วเช่นกัน”
เว่ยเฉิงจึกล่าวว่า “ปู้เหล่าหลินก็เช่นกัน มีคนดี แล้วก็มีคนชั่ว ดังนั้นสิ่งสำคัญคือเจ้าอยากจะเป็นคนแบบไหน”
หลิวสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “แต่พวกท่านจะพิสูจน์อย่างไร?”
ศิษย์สำนักเสวียนอินได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกหงุดหงิด เขาจ้องหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าว “หากเจ้าไม่ยอมตามพวกข้าไป ข้าจะฆ่าคนในหมู่บ้านให้หมด”
หลิวสือซุ่ยมองดูบัณฑิตชราผู้นั้นพลางกล่าว “ข้าคิดว่าคนแบบนี้กระทั่งสิทธิ์ในการทำความดีก็หาได้มีไม่”
บัณฑิตชรายิ้มเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไร
เสียงโผละเบาๆ ดังขึ้น
ฝ่ามือของเว่ยเฉิงจึฟาดไปที่กลางศีรษะของศิษย์สำนักเสวียนอินผู้นั้น
ศีรษะของศิษย์สำนักเสวียนอินผู้นั้นแตกออกคล้ายแตงโมที่สุกงอมมากแล้ว แต่กลับไม่มีโลหิตไหลออกมา
หมอกสีดำลอยขึ้นมาจากกลางศีรษะของศิษย์สำนักเสวียนอิน คล้ายจะมองเห็นใบหน้าเลือนลานใบหน้าหนึ่งอยู่ในหมอกนั้น ทั้งดุร้ายและน่าหวาดกลัว พยายามดิ้นรนหนีออกไปนอกบ้าน
ไม่รู้ว่าบัณฑิตชราหยิบเอาพัดพับได้อันหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร เขาสะบัดกางมันออกดังพรึบ ก่อนจะพัดไปทางหมอกดำสองสามที
เสียงร้องโหยหวนที่ฟังดูสิ้นหวังดังขึ้น หมอกดำสายนั้นลุกติดไฟขึ้นมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นควันสองสามสายอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น ศพของศิษย์แห่งสำนักเสวียนอินผู้นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นควัน ก่อนจะสลายหายไปเช่นเดียวกัน
เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทัน หลิ่วสือซุ่ยมิทันได้ตั้งตัว เขายืนตะลึงลานอยู่กับที่ พยายามครุ่นคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
……………………………………………………………………….