มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 44 ถ้ำอื่นของนักพรตจิ่งหยาง
มรรคาสู่สวรรค์ – ตอนที่ 44 ถ้ำอื่นของนักพรตจิ่งหยาง?
นั่งมองดูน้ำแกงที่เหลือ จิ๋งจิ่วสวมหมวกลี่เมา รัดสายผ้าเรียบร้อย ลงมาจากเหลาสุรา เดินเข้าไปในรถม้า
รถคันนี้เป็นรถที่ตระกูลกู้เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า
ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ในมณฑลหนานเหอ มีลูกหลานบำเพ็ญเพียรอยู่ในชิงซานไม่น้อย จนถึงตอนนี้มีผู้อาวุโสสองคนที่ยังบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาซื่อเยวี่ย
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ กู้ชิงจะปล่อยให้จิ๋งจิ่วทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้อย่างไร เขาเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว
ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา สถานะภายในตระกูลกู้ของกู้ชิงคล้ายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ว่าจะมองอย่างไร ศิษย์คนแรกของยอดเขาเสินม่อก็ดูมีอนาคตอยู่มิใช่น้อย แม้นจะยังไม่อาจเทียบกับสถานะภายในชิงซานของกู้หานได้ แต่ผู้ใดจะรู้บ้างว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ตระกูลใหญ่ย่อมไม่มีทางทำผิดพลาดกับเรื่องราวแบบนี้
ตู้โดยสารใหญ่โต ภายในตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหรา ตระกูลกู้น่าจะลงแรงกับรถคันนี้ไปมิใช่น้อย
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
เนื่องเพราะในตัวรถมีเตียงอยู่หลังหนึ่ง บนหลังคาเปิดช่องเป็นหน้าต่างเอาไว้ ด้านบนฝังผลึกแก้วเอาไว้ทั้งแผ่น สามารถมองเห็นท้องฟ้าที่อยู่ด้านบน
เขาปลดเอากระบี่เหล็กที่ใช้ห่อผ้าเอาไว้อย่างเรียบร้อยออก จากนั้นเอนกายนอนลงไปบนเตียง นิ้วมือเคาะตัวรถ
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น รถม้าเคลื่อนตัวออกไปนอกเมืองอวิ๋นจี๋
เมฆหมอกไหลลงมารวมตัวจากรอบด้าน พัดผ่านหน้าต่างไป
เขามองดูทิวทัศน์บนหน้าต่าง นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร
เขามิได้เดินทางพร้อมกับคณะศิษย์ชิงซาน นอกจากเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับคนของยอดเขาชิงหรงผู้นั้นแล้ว ยังเป็นเพราะอีกเหตุผลหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ไม่นานตรงเขาเหมิงซานที่อยู่ทางตอนเหนือของมณฑลหนานเหอ จู่ๆ ก็มีลำแสงของอาวุธวิเศษเปล่งประกายออกมา สองสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืน นั่นคือสัญญาณที่บอกว่ามีสุดยอดอาวุธวิเศษปรากฏขึ้นมาบนโลก
แล้วก็มีผู้บำเพ็ญพรตบางคนบอกว่าที่นั่นมีถ้ำที่นักพรตรุ่นก่อนท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้ เนื่องเพราะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ถ้ำแห่งนั้นเลยเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกๆ ระยะจะมีข่าวลือแบบนี้ปรากฏขึ้นมาบนแผ่นดินสักครั้งหนึ่ง มันมิได้รับความสนใจอะไรจากสำนักส่วนใหญ่ สำนักที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเหล่านั้นก็มิได้ส่งลูกศิษย์ไป สำนักชิงซานเองก็มิได้ใส่ใจ แม้นจะอยู่ในมณฑลหนานเหอก็ตาม
จิ๋งจิ่วย่อมต้องรู้ว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องเท็จ
เพราะนักพรตรุ่นก่อนที่อยู่ในข่าวลือนั้นมีนามว่าจิ่งหยาง
แต่เขาก็ยังจะไปดู เพราะศิษย์จากสำนักเล็กๆ และผู้บำเพ็ญพรตไร้อาจารย์จำนวนมากจะไปที่นั่น เขาอยากไปดูว่าคนผู้นั้นจะปรากฏตัวหรือเปล่า
คนผู้นั้นชื่นชอบดูเรื่องสนุกที่สุด
กาลก่อนพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องสร้างถ้ำปลอมนี้ขึ้นมา ก็มิใช่เป็นเพราะคนผู้นั้นขี้เล่น ชื่นชอบดูเรื่องสนุกหรอกหรือ?
……
……
เย็นวันหนึ่ง รถม้ามาจอดยังทิศใต้ของเขาเหมิงซาน
จิ๋งจิ่วสะพายกระบี่เหล็กเดินลงมา ก่อนจะเหลียวกลับไปมองรถม้า
เขารู้สึกว่ารถม้าคันนี้ช่างสบายจริงๆ ผู้บำเพ็ญพรตไม่มีทางเมารถ การลอยขึ้นลงตามรถ กลับช่วยทำให้นอนหลับได้
ทางจากศาลาหนานซงไปยังธารสี่เจี้ยนราบเรียบ รถน่าจะวิ่งได้
เขาครุ่นคิดเช่นนี้ พลางกล่าวกับสารถีว่า “ส่งรถไปที่ศาลาหนานซง”
สารถีผู้นั้นมิล้าแม้กระทั่งส่งเสียงหายใจ เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง
ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมืดสลัว หมู่ยอดเขาอันรกทึบค่อยๆ มืดลง บางครั้งบางคราวจะเห็นลำแสงกระบี่สายหนึ่งส่องสว่างขึ้นมา ผู้ที่มุ่งหน้ามาตามล่าอาวุธวิเศษนั้นหาได้มีผู้บำเพ็ญพรตที่สภาวะสูงส่งไม่
จิ๋งจิ่วเดินขึ้นไปตามทางขึ้นเขา ช่วงเวลากลางดึก เขาได้มาถึงหน้าวัดร้างแห่งหนึ่ง
วัดแห่งนี้อยู่ห่างจากถ้ำแห่งนั้นประมาณยี่สิบกว่าลี้ อยู่ด้านนอกเขตควบคุมพอดี
เขตควบคุมในที่นี้มิใช่ข่ายพลัง หากแต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของแผ่นดินทางใต้ ก่อนเดินทางมาเขาได้ถามกู้ชิงอย่างละเอียดแล้ว
เวลาที่ผู้บำเพ็ญพรตมาชมอาวุธวิเศษ หากมีความสนใจในตัวอาวุธวิเศษ จะต้องเข้าไปในระยะยี่สิบลี้ก่อนที่ถ้ำจะเปิดออก มิเช่นนั้นจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแบ่งอาวุธวิเศษ
กฎนี้เห็นได้ชัดว่าเลียนแบบมาจากสำนักชิงซาน เพียงแต่ดูไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเท่าไร
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในวัดร้าง
ภายในวัดมีกองไฟลุกโชนอยู่กองหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญพรตสิบกว่าคนนั่งล้อมกองไฟ
ผู้บำเพ็ญพรตไม่หวาดกลัวความหนาวความร้อน สายตาเหนือกว่าคนธรรมดา ก้าวเดินในเวลากลางคืนก็มิจำเป็นต้องอาศัยแสงไฟ แต่พวกเขายังคงจุดกองไฟขึ้นมา
ไม่มีผู้ใดชื่นชอบความอ้างว้างโดดเดี่ยว กองไฟเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกหาเพื่อน การรวมตัวอยู่ด้วยกันมักจะทำให้คนเกิดความกล้า
แสงไฟส่องสว่างใบหน้าพวกเขา เปลวไฟวูบไหวตามสายลม ทำให้สีหน้าพวกเขาประเดี๋ยวดีใจประเดี๋ยวเศร้าใจไม่แน่นอน น่าจะกำลังลังเลอยู่ว่าจะเดินทางต่อเข้าไปก่อนที่ถ้ำจะเปิดดีหรือไม่ ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเข้าไปแล้ว ก็จะต้องเจอกับการต่อสู้และการพัวพันจากผู้ที่จะมาแย่งชิงอาวุธวิเศษอย่างแน่นอน แล้วถ้าเกิดถ้ำนั้นเป็นของปลอมล่ะ นั่นมิเท่ากับขาดทุนหรอกหรือ?
สายตาสิบกว่าคู่มองมาที่จิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ หากเดินไปนั่งลงตรงมุมๆ หนึ่ง
เขาไม่ต้องการเพื่อน เขาคุ้นเคยกับความโดดเดี่ยวมานานแล้ว
ภายในวัดร้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงเปลวไฟที่ถูกลมภูเขาพัดจนวูบไหว
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ด้านนอกวัดพลันมีเสียงที่ดังกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นมา พัดพาเอาความรู้สึกตึงเครียดและกดดันภายในวัดร้างให้เจือจางลง
“นี่ไม่มีทางเป็นเรื่องจริงได้! พวกเขาคิดได้อย่างไร ยังมีถ้ำอื่นของนักพรตจิ่งหยางอยู่อีกอย่างนั้นหรือ? ที่นี่เป็นมณฑลหนานเหอนะ หากเป็นถ้ำของนักพรตจิ่งหยางจริงๆ มีหรือที่สำนักชิงซานจะปล่อยให้คนเข้าใกล้? ต่อให้เป็นสำนักจงโจวก็ยังต้องหลีกไปให้ไกล! มีเพียงคนโง่พวกนี้นี่แหละถึงเชื่อเรื่องนี้”
ผู้ที่เดินเข้ามาในวัดร้างคือสมณะสองรูป หนึ่งแก่หนึ่งหนุ่ม คนที่พูดคือสมณะหนุ่มรูปนั้น
ผู้บำเพ็ญพรตสิบกว่าคนมองไปทางสมณะหนุ่มด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
สมณะหนุ่มเป็นคนไม่ค่อยระวัง มิได้สังเกตเห็นถึงแสงไฟ ย่อมต้องคิดไม่ถึงว่าในวัดจะมีคน จึงตกตะลึงไปทันที
คนโง่พวกนั้น…น่าจะเป็นคนเหล่านั้นกระมัง?
พูดนินทาคนอื่นลับหลัง แต่กลับถูกเจ้าตัวได้ยินเข้า สมณะหนุ่มกระอักกระอ่วนเป็นยิ่งนัก รีบโค้งตัวขออภัย
ผู้บำเพ็ญพรตสิบกว่าคนทั้งโมโห ทั้งจนปัญญา เพราะท่าทางการขอโทษของสมณะหนุ่มจริงใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาและสมณะแก่แบกกล่องลิ้นชักไม้เก่าๆ ไว้บนหลัง ดูเหมือนกำลังบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก เพียงมองดูก็รู้ถึงความเป็นมา ไหนเลยที่พวกเขาเหล่านี้จะล่วงเกินได้?
ได้ยินว่าสมณะสูงศักดิ์แห่งวัดกั่วเฉิงเป็นคนอารมณ์ดี สามารถด่าท่อระบายอารมณ์ได้ แต่มันจะมีประโยชน์อันใด?
ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไร หลังรับเอาการขอโทษจากสมณะหนุ่มมาแล้ว ก็ลุกขึ้นทำการคารวะสมณะแก่รูปนั้น ทั้งยังยกที่นั่งข้างกองไฟที่ดีที่สุดให้ด้วย
สมณะหนุ่มพลันมองเห็นจิ๋งจิ่วที่สวมหมวกลี่เม่าอยู่ตรงมุมหนึ่งของวัด รู้สึกลังเลเล็กน้อย หลังมองดูอยู่ครู่ถึงได้มั่นใจ จึงอดส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้
สมณะแก่กล่าวอย่างจนปัญหา “ทำไมอีก?”
“ไอหยาๆๆๆ….”
สมณะหนุ่มคิดว่าจิ๋งจิ่วอยากจะปกปิดสถานะ จึงไม่กล้าชี้ไปที่เขา รู้สึกร้อนใจเป็นยิ่งนัก จึงกล่าวกับสมณะแก่ว่า “อาจารย์ลุง ท่านพูดถูก ข้าผิดไปแล้ว”
เขาคิดว่าในเมื่อสำนักชิงซานส่งจิ๋งจิ่วแห่งยอดเขาเสินม่อมา เช่นนี้ถ้ำที่เปิดออกในคืนนี้แม้นจะไม่ใช่ถ้ำอีกแห่งของนักพรตจิ่งหยาง แต่ก็ต้องเป็นถ้ำที่มีประวัติความเป็นมาอย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วเคยเจอสมณะหนุ่มรูปนี้มาสองครั้ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดมากเช่นนี้ หนวกหูยิ่งกว่าหลิ่วสือซุ่ยเสียอีก
หากเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าเขาคงรู้สึกรำคาญ แต่เวลานี้กลับรู้สึกค่อนข้างใกล้ชิด จึงยิ้มเล็กน้อยไปทางสมณะหนุ่ม
แสงไฟส่องสว่างมุมหนึ่งที่อยู่ภายใต้หมวกลี่เม่า
สมณะหนุ่มเอามือทาบหน้าอก ในใจครุ่นคิดเป็นเหมือนดั่งที่ร่ำลือจริงด้วย ช่างหล่อเหลาเสียจริง
“ศิษย์พี่จิ๋ง…ไม่สิ อาจารย์อาจิ๋ง…เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ หรือคืนนี้ท่านจะไปยังถ้ำนั้น?”
เสียงของเขาแผ่วเบา ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นภายในวัดมิทันได้สังเกตเห็น
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ
สมณะหนุ่มเตรียมจะกล่าวอะไรบางอย่าง
สมณะแก่เดินเข้ามา กล่าวว่า “ปิดปาก”
สมณะหนุ่มถอนใจ ก่อนจะปิดปากลงไป ภายในใจครุ่นคิดว่าตนเองกับอาจารย์อาแห่งชิงซานผู้นี้ดวงมิค่อยสมพงษ์กันเลย ทุกครั้งที่เจอหน้าจะต้องถูกบังคับให้ฝึกปิดวาจาตลอด
ครั้นเห็นภาพนี้ จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าตัวเองจะฝึกปิดวาจาด้วยดีหรือไม่ ผ่านไปอีกสองปีค่อยสอนให้สือซุ่ย
………………………………………………………………………..