มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 48 ถามเจวี่ยนเหลียนเหริน
เทียนไขสีแดงตั้งอยู่ตรงหัวโต๊ะ บนใบหน้าเจ้าสาวใหม่มีหยดน้ำตาสองสาย แป้งหนาๆ ที่ทาเอาไว้ถูกชะล้างจนเห็นเป็นรอยชัดเจนสองรอย
ก่อนแต่งเข้ามายังบ้านกั๋วกง นางก็เคยได้ยินมาแล้วว่ากั๋วกงมีนิสัยแปลกประหลาด แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ จู่ๆ มาหายตัวไประหว่างพิธีการยังไม่พอ นี่กลับมาตะโกนเรียกเจ้าบ่าวออกไปในคืนวันแต่งงาน นี่เป็นเพราะไม่พอใจอะไรตัวเองหรือมีความขัดแย้งอะไรกับท่านพ่อกันแน่ หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดตอนแรกจึงอนุญาตงานแต่งครั้งนี้?
ลู่หมิงไม่รู้ว่าภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกำลังคิดอะไรอยู่ในห้องหอ ในฐานะที่เป็นลูกชายคนเล็กของลู่กั๋วกง เมื่อเทียบกับภาพพจน์ของลูกผู้ดีมีเงินที่แพร่กระจายอยู่ภายนอกแล้ว เขามีความสุขุมและความสามารถในการสังเกตมากกว่าที่คิดเอาไว้ รู้ว่าบิดาจะต้องมีเรื่องสำคัญมอบหมายให้ตนเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างภายในห้องด้วย
ที่นี่คือห้องนอนของลู่กั๋วกง บนชั้นวางของล้ำค่าที่อยู่ข้างหน้าต่างจะมีเครื่องกระเบื้องที่หายากอย่างยิ่งวางอยู่ชิ้นหนึ่ง — ว่ากันว่านั่นเป็นชามกระเบื้องที่ออกมาจากหรู่เหยา[1]เมื่อพันปีก่อน — ตั้งแต่เล็กเขาจะถูกเตือนว่าห้ามไปแตะต้องมัน ความทรงจำที่เขามีต่อชามกระเบื้องใบนั้นฝังลึกอยู่ในใจ เหตุใดวันนี้มันกลับเปลี่ยนเป็นชามใบอื่น?
“วันนี้รีบไปหน่อย ไม่ทันได้ดู เลยหยิบเอาใบนี้มาวางแทน พรุ่งนี้เจ้าไปที่ห้องเก็บของ หยิบเอาชามจากซินเหยาใบนั้นมาวางไว้ตรงนี้แล้วกัน”
ลู่กั๋วกงสวมชุดธรรมดา ใช้มือหวีผมที่ขาวเป็นดอกเลาพลางกล่าวเตือนซ้ำอีกครั้ง “อย่าลืมล่ะ”
ลู่หมิงรับคำ พลางถามว่า “ท่านพ่อ วันนี้มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
ลู่กั๋วกงเงยหน้าขึ้นมามองเขา กล่าวว่า “ทุกคนต่างบอกว่าข้ารักเจ้ามากที่สุด คำพูดนี้มิผิด กระทั่งตำแหน่งกั๋วกงนี้ ข้าก็เตรียมจะยกให้เจ้า”
แม้นหลายปีมานี้จะพอคาดเดาได้ แต่พอจู่ๆ ได้ยินเช่นนี้ ลู่หมิงก็ยังอดตกใจไม่ได้ เขากล่าวว่า “อย่างนั้นท่านพี่ทั้งสอง…”
ลู่กั๋วกงยกมือเพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องพูดแล้ว จากนั้นกล่าวว่า “คนนอกคิดว่าข้าเลอะเลือน เอาแต่ดูแลรักใคร่ลูกชายคนเล็ก ไหนเลยจะรู้ว่าข้าชื่นชมในความสุขุมของเจ้า”
ลู่หมิงไม่รู้ว่าควรจะรับคำอย่างไร
“แต่หากคิดจะรับเอาตำแหน่งกั๋วกงนี้ไป เช่นนั้นความลับภายในบ้านเหล่านี้ เจ้าก็ต้องแบกรับมันไปด้วย”
ครั้นกล่าวจบ สีหน้าของลู่กั๋วกงก็ดูอ่อนล้าขึ้นมา แล้วก็ดูโล่งใจขึ้นมา เขายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เมื่อก่อนข้าก็รู้ความลับนี้จากท่านพ่อในคืนแต่งงานเหมือนกัน แม่ของเจ้าไม่รู้ว่าบ่นข้าไปกี่ปี ประเดี๋ยวเจ้ากลับไปแล้ว ก็อย่าลืมไปปลอบเจ้าสาวของเจ้าล่ะ”
ลู่หมิงยิ่งรู้สึกตื่นเต้น จึงกล่าวถามว่า “ท่านพ่อ มันคือความลับอะไรกันแน่ขอรับ?”
สายตาลู่กั๋วกงมองไปบนชั้นวางของ กล่าวเสียงอ่อนแรงว่า “ความลับนี้ ต้องเริ่มเล่าจากชามใบนี้”
……
……
การตกแต่งภายในห้องเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้าน บนชั้นวางของที่อยู่ริมหน้าต่างก็มิได้มีของล้ำค่าอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นจานฝนหมึกที่ทำจากหินเหลือง เหมาะสำหรับผู้บำเพ็ญพรตเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วรู้สึกพึงพอใจ เขาหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมานั่ง
ออกมาจากชิงซานครั้งนี้ เขาไม่ลืมที่จะหยิบมันออกมาด้วย
ท่ามกลางเสียงฝนจากนอกหน้าต่าง เขานอนหลับอย่างสบายไปตื่นนึง ตอนที่ตื่นขึ้นมา ฝนยังไม่หยุด ด้านนอกเป็นเวลาเย็นแล้ว
เขาครุ่นคิด จากนั้นเดินออกไปนอกห้อง เดินตามระเบียงไปจนถึงเรือนด้านหน้า เข้าไปในโถงด้านนอก
ครอบครัวนั้นยังคงนั่งอยู่ในโถงด้านนอก กระทั่งตำแหน่งที่นั่งก็มิได้เปลี่ยนแปลง เพียงแต่อาหารที่อยู่บนโต๊ะได้ถูกเก็บไปแล้ว
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป บรรยากาศภายในโถงแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา
หญิงสาวที่แต่งงานแล้วผู้นั้นกอดลูกที่อยู่ในอ้อมอกเอาไว้แน่น
สายตาจำนวนหลายคู่มองมาทางเขา พวกเขาไม่รู้ว่าควรยืนขึ้นต้อนรับ หรือควรทำอย่างไร
จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “ข้าขอนั่งที่นี้สักประเดี๋ยวได้หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นรีบลุกขึ้น กล่าวว่า “นั่งๆๆ”
เดิมเขาอยากจะพูดว่าเชิญนั่ง แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่นายท่านสั่งกำชับเอาไว้และสิ่งที่ได้ฝึกซ้อมมาในช่วงหลายปีนี้ เขาจึงฝืนกลืนคำว่าเชิญลงไป
จิ๋งจิ่วมองดูท้องฟ้า กล่าวว่า “ควรจะกินข้าวแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ ท่าน…เจ้าอยากจะกินอะไร?”
หญิงสาวที่แต่งงานแล้วลุกขึ้น มือจับปกเสื้อด้านหน้าอย่างวิตกกังวลพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปทำให้เดี๋ยวนี้แหละ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่กิน พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า”
ตอนที่หญิงสาวลุกขึ้น เด็กที่อยู่ในอ้อมอกคนนั้นไหลลงไปที่พื้น
เด็กน้อยเดินเตาะแตะเข้ามาหาจิ๋งจิ่ว จากนั้นกางมือทั้งสองข้างพลางกล่าวว่า “กอดๆ”
ไม่ว่าใครต่างก็ชอบของสวยงาม เด็กน้อยนั้นมิอาจเก็บซ่อนความคิดของตัวเองเอาไว้ได้
บรรยากาศภายในโถงด้านนอกยิ่งตึงเครียดขึ้น พวกผู้ใหญ่คิดอยากจะดึงเด็กน้อยกลับมา แต่ก็ไม่กล้า สีหน้าของหญิงสาว แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
จิ๋งจิ่วมองดูเด็กน้อยพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่”
เขามิชื่นชอบเด็กน้อย เพราะพูดคุยไม่รู้เรื่อง ยุ่งยากเป็นอย่างมาก นอกเสียจากเด็กน้อยคนนั้นจะมีสติปัญญามากพอ หรือไม่ก็มีความสุขุมเกินกว่าอายุของตน
อย่างเช่นสมณะน้อยแห่งวัดกั่วเฉิง อย่างเช่นหลิวเป่าเกินในหมู่บ้านบนภูเขา
เด็กน้อยดูน้อยใจ เบะปากคล้ายจะร่ำไห้ออกมา
เมื่อเห็นภาพนี้ คนที่อยู่ในโถงกลับถอนหายใจออกมา รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย
“เจ้าจะดื่มชาหรือไม่?” หญิงสาวกล่าวถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้อง”
จิ๋งจิ่วรู้ตัวว่าความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้สร้างความกดดันให้แก่ครอบครัวนี้มากแค่ไหน จึงหยิบหมวกลี่เม่าขึ้นมาแล้วเดินออกไปนอกบ้าน
ครั้นเดินมาถึงประตูบ้าน เขาพลันหยุดฝีเท้าแล้วกล่าวว่า “หลายปีมานี้ลำบากพวกเจ้าหน่อยนะ”
……
……
ฝนยังคงตกลงมา ภายในตรอกไร้ผู้คน
จิ๋งจิ่วสวมหมวกลี่เมา ยกมือขึ้นมาลูบหน้าทีหนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะเดินไปในสายฝน
ท้องฟ้ามืดสลัว ฝนฤดูใบไม้ผลิตกปรอยๆ คนที่สัญจรไปมาดูเร่งรีบ ไม่มีใครสังเกตเห็นหน้ากากสีดำที่อยู่บนใบหน้าเขา
ทางตะวันออกของเมืองเจาเกอ บนถนนที่อยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบไป๋หม่าเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ร้านรวงมารวมตัวกัน เหลาสุราและหอนางโลมที่มีชื่อเสียงแขวนโคมไฟเอาไว้ล่วงหน้า ส่องสว่าง่ท่ามกลางสายฝน น่าดูยิ่งนัก
แม้ฝนจะยังตกลงมา แต่บนถนนยังคงคึกคัก ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้คน รองเท้ารูปแบบต่างๆ เหยียบย่ำไปบนน้ำที่ขังอยู่บนอิฐปูถนน ส่งเสียงดังฉึบฉับๆ
ทางตะวันตกของถนนมีโรงหมออยู่แห่งหนึ่ง
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจว่าบนป้ายเขียนตัวหนังสืออะไรไว้ เขามองเห็นรูปดอกไห่ถังที่อยู่บนป้ายก็ทราบว่าเป็นที่นี่
ใครจะไปคิดถึงว่าเจวี่ยนเหลียนเหรินซึ่งเป็นกลุ่มข่าวกรองที่ลึกลับที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนจะอยู่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองเจาเกอ
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเจวี่ยนเหลียนเหรินนั้นคือใคร ในอดีตเขาได้ยินศิษย์พี่พูดถึงความลับมากมาย แต่ก็มิเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
แต่เมื่อดูจากการทำงานในช่วงหลายร้อยปีมานี้ เจวี่ยนเหลียนเหรินน่าจะเอนเอียงมาทางวิถีธรรมะ
จิ๋งจิ่วสองมือไพล่หลังมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าโรงหมอแห่งนี้ธรรมดาเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น…ยังดูไม่ค่อยปลอดภัยด้วย
แต่ต่อให้เจวี่ยนเหลียนเหรินจะลึกลับแค่ไหน ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องทำการค้า แล้วก็จำเป็นต้องมีช่องทางติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก — โรงหมอนั้นเป็นสถานที่ที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก — การพูดคุยระหว่างหมอกับคนไข้จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ มิอาจให้คนอื่นได้ยินได้ ยิ่งไปกว่านั้นในทุกๆ เมืองก็มิอาจขาดโรงหมอได้
หมอที่ประจำอยู่ในโรงหมอสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงเงยหน้าขึ้นมามองเขาพลางกล่าวถามว่า “ท่านจะมาพบหมอหรือซื้อยา?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ล้วนแต่มิใช่ ข้ามาเพื่อถามคำถาม”
หมอผู้นั้นหรี่ตาพลางกล่าวว่า “เรื่องใด?”
จิ๋งจิ่วย้อนนึกถึงคำพูดที่ศิษย์พี่เคยกล่าวไว้ หลังมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดจึงกล่าวไปว่า “ดอกไห่ถังยังงดงามหรือไม่?”
หมอผู้นั้นตกตะลึง
จิ๋งจิ่วคิดในใจ นี่ดูไม่ค่อยมืออาชีพเท่าไร
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหมอก็ได้สติขึ้นมา ก่อนจะใช้สายตาเลื่อนลอยมองดูเขาพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะป่วยหนักไม่เบา ตามข้าเข้ามา”
“ข้ามิได้ป่วย” จิ๋งจิ่วกล่าว
หมอเหลือบมองเขาอีกครั้ง
ครั้งนี้จิ๋งจิ่วจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร จึงกล่าวว่า “ขออภัย”
เมื่อมาถึงในห้องที่เงียบสงบ หมอจึงกล่าวขึ้นมาตามตรงว่า “บอกคำถามของเจ้ามา”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าอยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลกับนักพรตไท่ผิง”
หมอเบิ่งตาโตมองดูเขามิพูดมิจา คล้ายกำลังมองดูคนบ้าที่แท้จริงอยู่อย่างไรอย่างนั้น
………………………………………………..
[1]หรู่เหยา คือ แหล่งผลิตเครื่องกระเบื้องที่มีชื่อเสียงอย่างมาก