มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 53 เจ้าสวยมาโดยตลอดอยู่แล้ว
จัวหรูซุ่ยยังเก็บตัวอยู่ ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างคนอื่นๆ อย่างกั้วหนานซาน กู้หาน เจี่ยนหรูอวิ๋นเนื่องเพราะเหตุผลต่างๆ จึงไม่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้
ในบรรดาศิษย์ชิงซานที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในครั้งนี้ เจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องเป็นจุดสนใจของทุกคน รองลงมาคือจิ๋งจิ่ว
เพราะพวกเขาเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ๋งหยาง อายุเพียงเท่านี้ก็ได้เป็นอาจารย์รุ่นที่สองของสำนักชิงซาน หากจะพูดถึงประสบการณ์ที่เป็นเหมือนดั่งเทพนิยาย ยังจะมีใครเทียบพวกเขาได้อีก
นอกจากนี้ ยังมีคำพูดอีกสองอย่างที่ทำให้พวกเขายิ่งมีชื่อเสียง
เจ้าล่าเยวี่ยมิสนใจเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว ตัดผมสั้นอย่างง่ายๆ ยุ่งเหยิงเป็นยิ่งนัก มักจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่น เรียกได้ว่าซกมก
ส่วนคำพูดที่เกี่ยวกับจิ๋งจิ่ว ย่อมต้องหมายถึงหน้าตาของเขา
ว่ากันว่าเขารูปงามจนเหมือนมิใช่คน
บางคนบอกว่าเขารูปงามจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ด้านหลังเจ้าล่าเยวี่ย ดูถ่อมเนื้อถ่อมตนมิตกเป็นเป้าสายตา
แต่ก็เหมือนกับที่เขาเคยบอกเจ้าล่าเยวี่ยเอาไว้ แม้เมฆจะหนาเพียงใดก็ไม่สามารถบดบังดวงอาทิตย์ไปได้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้น บนท้องฟ้าเหนือเมืองเจาเกอในวันนี้ไร้ซึ่งก้อนเมฆ
วันนี้มาร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เขาไม่สามารถสวมหมวกลี่เม่าได้ แล้วก็ไม่สามารถสวมหน้ากากได้
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองมายัง… ใบหน้าของเขา
เสียงอุทานตกใจและประหลาดใจดังขึ้นเบาๆ ทั่วทั้งสวนดอกเหมย ฟังดูคล้ายฝูงนกกำลังบินผ่าน
“หล่อจริงๆ เลย…”
“ทำไมถึงได้มีผู้ชายที่รูปงามขนาดนี้ได้?”
“ควรจะบอกว่าทำไมถึงได้มีคนที่รูปงามขนาดนี้ได้มากกว่า!”
……
……
“เอ๋ ด้านหลังเข้าสะพายอะไรอยู่? หรือจะเป็นกระบี่?”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ได้ยินว่าเขาแสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมอย่างมากในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซาน หรือว่าเขายังไม่บรรลุเข้าสู่ขั้นจินตาน?”
“หากใช้สภาวะของสำนักชิงซานมาแบ่ง ก็น่าจะเป็นขั้นมิประจักษ์”
คนที่เกิดความรู้สึกสงสัยแบบนี้ขึ้น ล้วนแต่เป็นสำนักเล็กๆ ที่ข่าวสารไปไม่ค่อยถึง
ส่วนสำนักที่ทราบรายละเอียดในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนของชิงซานนั้นยิ่งไม่เข้าใจ เห็นๆ อยู่ว่าจิ๋งจิ่วบรรลุเข้าสู่ขั้นมิประจักษ์ไปแล้ว เหตุใดจึงยังสะพายกระบี่เอาไว้ข้างหลังอีก?
หรือว่าเขายังคิดจะปิดบังสภาวะที่แท้จริงของตนเอง?
ศิษย์สำนักชิงซานมาถึงแล้ว เหล่าศิษย์ของสำนักจงโจวย่อมต้องมองไป
ในฐานะที่เป็นสองผู้นำใหญ่แห่งพันธมิตรฝ่ายธรรมะ ความจริงโอกาสที่พวกเขาจะได้พบเจอศิษย์ชิงซานนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นพวกเขาย่อมมีความรู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างมากเช่นกัน
ตรงตำแหน่งที่มีผ้าม่านสีขาวล้อมรอบ เสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังลอยออกมา “คนไหนคือจ้าวล่าเยวี่ย?”
เซี่ยงหว่านซูกล่าวด้วยสีหน้าเคารพชื่นชม “ศิษย์พี่ คนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ที่ไกลที่สุดก็คือเจ้าล่าเยวี่ยขอรับ”
สตรีนางนั้นกล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย “เอ๋? ก็ดูดีนี่นา เห็นๆ อยู่ว่าเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสะสวยงดงาม เหตุใดในข่าวลือพากันพูดถึงนางจนดูแย่เช่นนั้น?”
เซี่ยงหว่านซูคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เจอเจ้าล่าเยวี่ยในงานเลี้ยงซื่อไห่เมื่อปีที่แล้ว สีหน้าดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ก็แค่คำพูดเกลียดชังของพวกไร้ความรู้เท่านั้นขอรับ”
“จิ๋งจิ่วผู้นั้นเหมือนอย่างที่ร่ำลือจริงๆ งดงามราวปีศาจ”
หญิงสาวผู้นั้นคล้ายถูกใบหน้าอันงดงามของจิ๋งจิ่วทำให้ตกตะลึง “ขอเพียงเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดย่อมต้องไม่ธรรมดา ต้องจับตาดูเขาให้มากขึ้นหน่อย”
มีศิษย์กล่าวขึ้นมาหยิ่งผยองว่า “กู้หานหยิ่งยโสเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป ที่จิ๋งจิ่วเอาชนะเขาได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สุดท้ายก็อยู่แค่ขั้นมิประจักษ์เท่านั้น ไม่มีค่าให้พูดถึง”
เซี่ยงหว่านซูยิ้มเจื่อนมิกล่าวกระไร ในใจครุ่นคิดศิษย์พี่เจ็ดพ่ายให้แก่กระบี่ของกู้หานในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับพูดเช่นนี้ ใครกันแน่ที่ยิ่งยโสเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป
……
……
ในส่วนลึกของลานเหมันต์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย หญิงสาวที่มีผ้าแพรสีขาวปิดบังใบหน้าผู้หนึ่งจ้องมองไปทางด้านนั้น
สายตาของนางมองไปทางเจ้าล่าเยวี่ย ค่อนข้างพึงพอใจ ในใจครุ่นคิดสายตาของจิ่งหยางในเวลาส่วนใหญ่ล้วนแต่น่าเชื่อถือ ศิษย์สืบทอดที่เลือกมาไม่เลวจริงๆ ด้วย
จากนั้นนางมองไปทางจิ๋งจิ่ว แต่กลับรู้สึกผิดหวัง ในใจครุ่นคิดมีดีแค่เปลือกนอก เทียบกับจิ่งหยางแล้วยังห่างกันอยู่มาก
……
……
สำนักกระบี่ซีไห่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสำนักชิงซานมาโดยตลอด พวกเขาย่อมไม่มานั่งชื่นชมใบหน้าอันงดงามของจิ๋งจิ่วเหมือนอย่างสำนักอื่นๆ
ถงหลูยืนอยู่ริมลานเหมันต์ จ้องมองจิ๋งจิ่วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
หน้าตาของเขาธรรมดา แต่ร่างกายกลับสูงโปร่งราวกับกระบี่อย่างไรอย่างนั้น สายตาเองก็แปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมา
เขารู้จิ๋งจิ่วมิได้คิดที่จะปิดบังสภาวะที่แท้จริงของตนเอง เพราะศิษย์ชิงซานไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้น
สาเหตุที่จิ๋งจิ่วไม่ยอมเก็บกระบี่เข้าไปในโอสถกระบี่ มีเพียงเหตุผลแค่เพียงข้อเดียว นั่นก็คือการสะพายกระบี่เอาไว้ด้านหลังมันยิ่งทำให้ดูดีมากขึ้น
“เกิดมาหน้าตาดีขนาดนั้นแล้วยังมิพอใจอีก ช่างหลงตัวเองจริงๆ”
เขากล่าวกับผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ซีไห่ที่อยู่ข้างกายว่า “ขออาจารย์อาโปรดช่วยจับตาดูกรมชิงเทียนเอาไว้ด้วย หากคนผู้นี้ลงชื่อประลองวิถีพรต ข้าไม่รังเกียจที่จะอยู่กลุ่มเดียวกับเขา”
……
……
สายตานับพันคู่จ้องมองมาที่จิ๋งจิ่ว
อย่างน้อยในช่วงเวลานี้ เขาก็คือคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนี้
จิ๋งจิ่วไม่ทราบ หรือพูดอีกอย่างคือไม่มั่นใจ ถ้าพูดให้ถูกคือเขาไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย
ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น ในฐานะที่เป็นดวงอาทิตย์ก็ต้องมีความรู้สึกตัวเวลาที่ถูกทุกคนมองมา
มีการคาดเดาไปต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาจึงสะพายกระบี่เอาไว้ข้างหลัง อ่านในเรื่องนี้เขามิได้มีเจตนาอื่นเลยจริงๆ
เขาไม่เคยคิดที่จะแอบซ่อนปิดบังสภาวะที่แท้จริงของตน แล้วก็มิได้ทำไปเพราะว่าหลงใหลในความหล่อเหลาของตัวเอง หากแต่เป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ เหตุผลหนึ่ง
—– หลังบรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ เขายังไม่สามารถเอากระบี่ใส่เข้าไปในโอสถกระบี่ได้
เนื่องเพราะร่างกายที่มีความพิเศษของตัวเอง ตอนแรกเขาจึงกังวลเป็นอย่างมากว่าจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ เขาจึงลังเลมาโดยตลอดว่าจะบรรลุสภาวะดีหรือไม่
จนกระทั่งเห็นหลิ่วสือซุ่ยถูกกั้วหนานซานโจมตีจนลงไปนอนกองกับพื้น เขาจึงทำการตัดสินใจที่จะก้าวก้าวนี้ออกไปข้างหน้า
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เขาไม่เหมือนกับศิษย์ขั้นมิประจักษ์คนอื่น เพราะดันเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมาได้ โชคดีที่ปัญหานี้มิได้รุนแรงเหมือนอย่างที่เขากังวลใจในตอนแรก
เขาเพียงแค่ต้องหลอกเจ้าล่าเยวี่ยให้ได้ก็พอ
บนลานมีเก้าอี้ตั้งอยู่มากมาย ทว่าคนที่มีสิทธิ์นั่งนั้นมีแค่เพียงเจ้าแห่งยอดเขาทั้งสองคนเท่านั้น
ทันทีที่ขี่กระบี่มาถึงบนลานเหมันต์ จิ๋งจิ่วก็ส่งสายตาบอกเจ้าล่าเยวี่ยให้ไปนั่งยังเก้าอี้ที่อยู่ริมสุดทันที อยู่ห่างจากเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงค่อนข้างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้ปฏิเสธ แต่ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาด เหตุใดเขาต้องหลบหน้าเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงด้วย
เรื่องแบบนี้มิใช่ว่าเพิ่งจะเกิดแค่ครั้งหรือสองครั้ง กระทั่งศิษย์น้องอวี้ซานที่อยากจะไปยอดเขาชิงหรงก็ยังถูกเขาแอบส่งสัญญาณห้ามเอาไว้
วันนี้เจ้าล่าเยวี่ยตั้งใจแต่งตัวมา
นางล้างหน้า หวีผม อีกทั้งยังเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่
ผมของนางมิได้ยุ่งเหยิงอีก หากแต่หวีจนราบเรียบ ทั้งยังถักเปียเล็กๆ ที่สั้นมากเอาไว้ด้วยเปียหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นผมจะไม่แตกกระจายออกมาแม้แต่เส้นเดียว
ใบหน้าของนางเองก็งดงามอย่างมาก สะอาดราบเรียบยิ่งนัก สองคิ้วดำขลับ คล้ายดั่งนกที่อยู่บนภาพวาดสายน้ำและภูเขา ดูมีชีวิตชีวา
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวคือราบเรียบเกินไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่สะอาดสอ้านหรือบนอาภรณ์สีเขียวก็ล้วนแต่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ไม่เหมือนคุณหนูที่กำลังอยู่ในวัยนี้
ริมลานเหมันต์ปลูกต้นล่าเหมยเอาไว้ต้นหนึ่ง
เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่ที่ปลายกิ่งกับมีดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ ผลิออกมา
จิ๋งจิ่วมิได้มีความรู้สึกเสียดายดอกไม้แม้แต่น้อย เขายื่นมือไปเด็ดมันลงมา จากนั้นเอาไปเสียบไว้ตรงมุมขมับของเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจ จึงถามว่า “ทำไมหรือ?”
จิ๋งจิ่วถอยหลังไปสองก้าว มองดูเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจพลางกล่าวว่า “สวย”
เจ้าล่าเยวี่ยยิ้มขึ้นมาพลางกล่าว “ข้ารู้ว่าตัวเองสวย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าหมายถึงดอกไม้”
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มิได้โกรธ หากแต่ถามว่า “แล้วข้าล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าสวยมาโดยตลอดอยู่แล้ว”
……
……
ภาพเหตการณ์นี้ปรากฏขึ้นในดวงตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วน
บนลานเหมันต์จำนวนหลายสิบลานภายในสวนดอกเหมยมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
หรือว่าพวกเขาทั้งสองคนจะกลายเป็นคู่บำเพ็ญพรตแล้ว?
ในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาว มีผู้ที่ชื่นชมเจ้าล่าเยวี่ยอยู่นับไม่ถ้วน ก็เหมือนอย่างศิษย์ชิงซานในตอนแรกเหล่านั้น
ในช่วงเวลาไม่กี่มีที่ผ่านมามีข่าวลือเกี่ยวกับเจ้าล่าเยวี่ยมากมาย บอกว่านางผมสั้น นิสัยเย็นชา ไม่ดูแลเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว แต่พูดกันตามตรงแล้ว ไม่มีใครที่จะสนใจเรื่องนี้
ชายหญิงรูปงามในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีอยู่มากมาย แต่เจ้าล่าเยวี่ยกลับมีแค่คนเดียว
นอกจากผู้ที่ชื่นชมเหล่านั้นแล้ว ในสายตาของผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่กับความเป็นจริง นางก็เป็นเป้าหมายที่ควรค่าแก่การไล่ตามที่สุดด้วยเช่นกัน
เพราะนางคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เป็นผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง แล้วยังเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อของสำนักชิงซาน!
แม้นจะเป็นเพียงความคิดเพ้อฟัน แต่ขอเพียงลองคิดดูว่าถ้าเกิดได้รับการโปรดปรานจากเจ้าล่าเยวี่ย มันจะนำมาซึ่งอนาคตที่งดงามอย่างไร แล้วจะรู้สึกมีความสุข
ที่น่าเสียดายก็คือ โอกาสในการคิดเพ้อฝันของคนเหล่านั้นคล้ายจะดับสูญลงไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้
“ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
บนลานเหมันต์ของสำนักจงโจว ศิษย์ที่อยู่ในอันดับที่เจ็ดมองดูเซี่ยงหว่านซูพลางถามอย่างเป็นกังวล
เซี่ยงหว่านซูใบหน้าขาวซีด คล้ายกับเพิ่งสูญเสียของที่สำคัญที่สุดไป
……………………………………………………