มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 58 เสียงกระดิ่งในสวนเก่า
ถนนที่อยู่ด้านนอกสวนดอกเหมยเก่าเส้นนี้เป็นสถานที่ที่มีแผงหมากรุกรวมตัวอยู่เยอะที่สุดในเมืองเจาเกอ
เจ้าของแผงหมากรุกบางคนเป็นยอดฝีมือในเมืองจริงๆ บางคนก็เป็นศิษย์ของโรงหมากรุกบางแห่งที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ แล้วก็ย่อมต้องมีพวกที่ใช้กระดานหมากรุกมาหลอกคนอื่น
การแก้หมากเป็นหมากที่มีความพิถีพิถันมากที่สุด แล้วก็ไม่พิถีพิถันมากที่สุด มันเป็นวิธีที่ใช้หลอกเงินคนได้ง่ายที่สุด
การแก้หมากมักจะใช้การเดินหมากเพียงตัวเดียว ทว่าหมากตัวนั้นมักจะเป็นหมากที่ไม่ว่าใครก็คาดคิดไม่ถึง
หมากกระดานนี้วางให้คนมาแก้อยู่ที่ปลายถนนเส้นนี้มาเป็นเวลาสิบปีแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดแก้ได้ ยอดฝีมือแห่งโรงหมากรุกบางแห่งเคยเดินทางมาเพราะได้ยินชื่อเสียง แต่ก็ยังมิอาจแก้หมากกระดานนี้ได้เช่นกัน
บริเวณนั้นพลันเงียบขึ้นมาทันที ต้นเหตุมาจากม้าตัวนั้นที่ชายหนุ่มเดิน
ทุกคนคาดเดาความเป็นไปได้บางอย่างได้จากสีหน้าเจ้าของหมากกระดานนี้ จึงพากันตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก
เจ้าของแผงหมากรุกที่แพ้ไปคนแรกมิได้เป็นแค่เพียงเพื่อนบ้านที่ตั้งแผงอยู่ข้างกัน แต่เขาพวกยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันด้วย
เขารู้ว่าหมากกระดานนี้แก้ยากเพียงใด พูดอีกอย่างคือมีกลเม็ดแอบซ่อนเอาไว้มากแค่ไหน
ครานั้นหลังอาจารย์ทิ้งหมากกระดานนี้เอาไว้ให้พวกเขา มันก็กลายเป็นความลับที่สำคัญที่สุดของพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้อง มิรู้ว่ามันช่วยพวกเขาหาเงินมาแล้วมากมายเท่าไร
ไม่ว่าจะลูกศิษย์ของโรงหมากรุกเหล่านั้นจะใช้ผลประโยชน์หลอกล่ออย่างไร ถึงขนาดลงไม้ลงมือขู่บังคับ พวกเขาก็มิเคยปริปาก เมื่อหกปีก่อนศิษย์น้องของเขาถึงขนาดถูกตัดมือไปข้างหนึ่งเพราะเรื่องนี้
แต่…เหตุใดคนผู้นี้เดินตาแรกก็ขยับม้า? หรือเขามองเพียงปราดเดียวก็ล่วงรู้ถึงความลับของการแก้หมากกระดานนี้?
เขาและเจ้าของหมากกระดานนี้สบตากัน ต่างคนต่างมองเห็นความตกตะลึงในดวงตาอีกฝ่าย
อีกฝ่ายสามารถแก้หมากที่อาจารย์ทิ้งเอาไว้ให้ได้ง่ายดายขนาดนี้ เกรงว่าคงจะเป็นยอดฝีมือแห่งอาณาจักร…
เพียงแต่ คนที่มีความสามารถในการเล่นหมากรุกที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้มาที่นี่ด้วยเหตุใด?
ต่อให้แผงหมากรุกที่อยู่ในถนนเส้นนี้จะมียอดฝีมือของเมืองแอบซ่อนอยู่บ้าง แต่ยอดฝีมือเหล่านั้นก็ล้วนแต่อยู่ที่ถนนด้านหน้า ส่วนสถานที่ตั้งแผงหมากรุกของพวกเขาอยู่ใกล้กับสวนร้างแห่งนี้ น้อยคนนักที่จะเดินมาถึงหน้าแผง ตำแหน่งมิได้ถือว่าดี อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายตั้งใจมาที่นี่เพื่อแก้หมากของตน? หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นยอดฝีมือที่โรงหมากรุกไหนเชิญมา?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจ้าของแผงหมากรุกแผงแรกพลันตกตะลึง ทั้งยังรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างมาก เขาตะโกนว่า “พวกข้าไม่ไป เจ้าจะทำไม!”
ชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ผู้นั้นได้เดินมาถึงหน้าแผงหมากรุกแผงที่สามแล้ว ครั้นได้ยินเช่นนั้นจึงหันหน้ากลับไปมอง พลางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ไม่ไป เจ้าก็ตาย”
เจ้าของแผงหมากรุกผู้นั้นเตรียมจะกล่าวอะไรบางอย่าง ครั้นมองเห็นสายตาของอีกฝ่าย เขาพลันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งกาย
คนอื่นๆ เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน คล้ายว่าฤดูใบไม้ผลิในเมืองเจาเกอกลับคืนสู่ฤดูหนาวในชั่วพริบตา
เมื่อความคิดขยับฟ้าดินสะเทือน นี่คือฝีมือของผู้บำเพ็ญพรต
เจ้าของกระดานที่ให้แก้หมากผู้นั้นใบหน้าขาวซีด รีบเดินออกมา พร้อมใช้มืออันสั่นเทารั้งตัวศิษย์พี่ของตัวเองเอาไว้เพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว
เมื่อหกปีก่อน มือของเขาถูกคนของโรงหมากรุกยุยงให้พวกคนเร่รอนมาตัดทิ้ง ก่อให้เกิดผลตามมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่ท้องฟ้ามืดครึ้มหรือหวาดกลัว มือที่ขาดไปข้างนั้นมักจะสั่นขึ้นมาไม่หยุด
เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นคือผู้บำเพ็ญพรต ผู้คนพากันเกิดความรู้สึกหวาดกลัว บางส่วนพากันหนีหายไป
“มิทราบว่าอาจารย์เซียนท่านนี้ต้องการสิ่งใด?”
ในฐานะที่เป็นถนนที่มีแผงหมากรุกเยอะที่สุดในเมืองเจาเกอ แม้นจะมีผลประโยชน์ไม่มาก แต่มันก็ยังมีผลประโยชน์อยู่ เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีคนมาดูแล
เมื่อเจอคนอย่างชายหนุ่มผู้นี้มาหาเรื่อง ผู้ดูแลย่อมต้องออกมายุติเรื่องราว
ทุกคนมองไปยังชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเขียว ต่างพากันคารวะ พลางกล่าวอย่างเคารพว่า “คุณชายเหอ”
คุณชายเหอคือลูกศิษย์ของโรงหมากรุกชุนซีแห่งเมืองเจาเกอ สถานะธรรมดา แต่เมื่ออยู่บนถนนเส้นนี้กลับเป็นที่เคารพยกย่อง
หัวหน้าผู้ที่อยู่เบื้องหลังโรงหมากรุกชุนซีคือเฉิงชินหวัง[1]ที่หลงใหลในการเล่นหมากรุก ดังนั้นคุณชายเหอจึงไม่ค่อยหวาดกลัวชายหนุ่มผู้นั้น แต่แน่นอน คำพูดคำจายังคงมีความเคารพอยู่
ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เป็นเจ้าของแผงหมากรุกคู่นั้นทั้งรู้สึกตกใจและสงสัย ในใจครุ่นคิดที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้มิใช่คนที่โรงหมากรุกชุนซีเชิญมาหรอกหรือ?
ชายหนุ่มเหลือบมองคุณชายเหอผู้นั้น พลางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “เป้าหมายของข้านั้นง่ายมาก นั่นคือไล่พวกเจ้าออกไปให้หมด”
คุณชายเหอสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด?”
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฟ้า กล่าวว่า “ง่ายมาก เพราะพวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเล่นหมากรุก”
ผู้คนบนถนนทั้งเส้นต่างรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ จึงพากันล้อมวงเข้ามา
ครั้นได้ยินชายหนุ่มกล่าวประโยคนี้ จึงพากันส่งเสียงฮือฮาออกมา
คุณชายเหอสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า “ฝีมือเล่นหมากรุกของอาจารย์เซียนมิธรรมดา ไยต้อง…”
คำพูดยังมิทันกล่าวจบ แต่ความหมายกลับชัดเจนยิ่งนัก — เป็นถึงผู้บำเพ็ญพรต ไยต้องมารังแกผู้อ่อนแอ?
ทว่าเขากลับไม่เคยคิดเช่นนี้ นี่คือหมากรุก มิใช่การต่อสู้
ชายหนุ่มหาได้สนใจไม่ เขาหมุนตัวหันไปพูดกับแผงหมากรุกด้านนั้นว่า “เจ้าแพ้ ไสหัวไป ข้าแพ้ ตาย”
สีหน้าเขาเรียบเฉยเป็นยิ่งนัก มิใช่เพราะเฉยชากับความเป็นความตาย หากแต่เป็นความมั่นใจในตัวเองจนถึงที่สุด
ขณะที่กล่าวประโยคนี้ เขามิได้มองเจ้าของแผงหมากรุก หากแต่มองไปยังหญ้าต้นหนึ่งที่อยู่บนชายหลังคา
ที่บอกว่าดวงตาอยู่สูงเสียจนมองไม่เห็นหัวผู้อื่นก็คือเช่นนี้แล ช่างทำให้คนรู้สึกไม่สบอารมณ์เสียจริง
คุณชายเหอและเจ้าของแผงหมากรุกผู้นั้น และยังมีชาวบ้านที่มามุงดูต่างรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“เล่นก็เล่น! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเอาชนะคนเยอะขนาดนี้ได้!”
มีคนตะโกนขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นั้นเตรียมจะไล่แผงหมากรุกที่อยู่บนถนนทั้งเส้นออกไปทั้งหมด
ความคิดและการกระทำของเขาทำให้ทุกคนโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
บนถนนเส้นนี้มีบางคนอาศัยความลับในการแก้หมากหลอกเงินคนอื่น บางคนอาศัยความสามารถในการเล่นหมากรุกหาเงิน แล้วก็มียอดฝีมือทางวิถีหมากรุกที่มาหาความสำราญให้แก่ชีวิต แล้วก็ยังมีศิษย์ของโรงหมากรุกชุนซีเหมือนอย่างคุณชายเหอ ยิ่งเดินออกไปรอบนอกถนน ระดับฝีมือของอาจารย์ด้านหมากรุกที่มาตั้งแผงก็ยิ่งสูง แม้นชายหนุ่มจะมีฝีมือในการเล่นหมากรุกที่สูงส่ง แต่เขาจะสามารถเอาชนะไปได้ตลอดหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นหากบีบคั้นทุกคนจนถึงขนาดนั้นจริงๆ พวกเขาอาจจะไปเชิญยอดฝีมือแห่งวงการหมากรุกของเมืองเจาเกอมาจริงๆ ก็เป็นไปได้
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่หนวกหูวุ่นวาย สีหน้าของหนุ่มมิแปรเปลี่ยน เขาผายมือเป็นสัญญาณให้เจ้าของแผงหมากรุกเดินก่อน
สายตาเจ้าล่าเยวี่ยมองไปบนกระดานหมากรุกกระดานนั้น
“นี่คือหมากรุก” จิ๋งจิ่วกล่าว
“แม้นข้าจะไม่เคยเล่น แต่ก็พอรู้อยู่บ้าง”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเขา
นางยังคิดจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็มิได้กล่าวออกมา
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังกังวลอะไร
เขามองไปทางชายหนุ่มที่ใบหน้าอ่อนเยาว์คล้ายเด็กทารกผู้นั้น
ดวงตาของชายหนุ่มมิใช่ว่าอยู่สูงกว่าคนทั่วไป เพียงแต่ขนคิ้วของเขาค่อนข้างเบาบาง จึงทำให้ตำแหน่งของดวงตาดูขยับสูงขึ้นไป มันมักจะให้ความรู้สึกคล้ายเขาเหลือบมองลงมาจากด้านบน
ราวกับว่าเขามองไม่เห็นหัวคนทั้งโลก โดยเฉพาะตรงด้านหน้าของกระดานหมากรุก
นี่ทำให้จิ๋งจิ่วนึกถึงเพื่อนเก่าผู้นั้นขึ้นมาอีกครา —- เพื่อนเก่าที่เขานึกถึงหลังได้ยินเสียงพิณบนภูเขาผู้นั้น
ชายหนุ่มผู้นี้เล่นหมากรุก คล้ายการสังหารคนของเพื่อนเก่าในอดีต
เพลิงสงครามสามเดือน
นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมิดื่มชา
อารมณ์ของจิ๋งจิ่วลึกซึ้งยากอธิบาย เขาไม่คิดที่จะดูต่อไป
“ไปกันเถอะ ที่นี่หนวกหู”
……
……
ถูกต้อง เมืองเจาเกอในวันนี้หนวกหู ทั่วทุกที่ล้วนแต่กำลังส่งเสียงวุ่นวาย
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เสียงพิณและเสียงโห่ร้องชื่นชม เสียงขลุ่ยและเสียงร้องของวิหค ส่งเสียงอื้ออึงมาเป็นเวลานานแล้ว
ด้านนอกพระราชวัง เสียงเสียดสีของล้อไม้และแผ่นอิฐ เสียงแตกของถ้วยชาที่ทำหลุดมือจนตกลงพื้น ฟังดูน่ารำคาญ
ริมถนน เสียงกระแทกตัวหมากรุกลงไปบนกระดาน เสียงโห่ร้องชื่นชมและเสียงถอนใจด้วยความเศร้าทยอยดังขึ้น ก่อนจะค่อยๆ เบาลงไปข้างหลัง
เมื่อมาถึงด้านหน้าสวนเก่า โลกพลันดูเงียบสงบและสะอาดสะอ้านขึ้นมา ในส่วนลึกของป่าเหมยมีเสียงดังลอยออกมา
เสียงนั้นอ่อนโยน ฟังดูเสนาะหู คล้ายม่านลูกปัดที่กระทบกันตามแรงลม คล้ายหยาดฝนที่หยดลงมาจากบนใบบัว
เจ้าล่าเยวี่ยแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “สำนักเสวียนหลิง?”
ภายในสวนเก่าเงียบสงบ ต้นเหมยถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควัน ไร้เงาคนเข้ามาเที่ยวชม แต่กลับยังมีกลิ่นอายของข่ายพลังหลงเหลืออยู่มาก
ข่ายพลังเหล่านั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ด้วยสภาวะของจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยในเวลานี้ หากคิดอยากทำลายข่ายพลังเหล่านี้นั้นเป็นไปได้ยาก
นอกเสียจากเจ้าล่าเยวี่ยจะใช้กระบี่มิคำนึง หรือไม่ก็เขาลงมือเสียเอง
โชคดีที่มีคนเข้าไปในสวนเหมยและทำลายข่ายพลังเหล่านี้ไปแล้ว
ผู้ที่ทำลายข่ายพลังก็คือเสียงกระดิ่งเหล่านี้
จิ๋งจิ่วเลิกคิ้ว
ดรุณีนางนั้น ดูคล้ายจะร้อนใจเสียยิ่งกว่าเขา
นางอยากถามอะไรเทียนจิ้นเหริน?
…………………………………………………………..
[1]ชินหวัง คือ ตำแหน่งสูงสุดในลำดับชั้นอ๋อง