มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 60 ตัว ‘เซ่อ’ เขียนได้กี่แบบ
เมื่อหลายปีก่อน จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยออกมาจากสำนักชิงซาน ท่องเดินทางนับหมื่นลี้จนมาถึงเมืองไห่โจว เนื่องเพราะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงซื่อไห่ จึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง
ในระหว่างการเดินทาง พวกเขาได้พบเจอปีศาจ คนและผู้บำเพ็ญพรตมากมาย จากนั้นสังหารด้วยกระบี่เดียว
จู๋กุ้ยที่ดูแลวัดเฮยหลงก็คือหนึ่งในนั้น
สมณะสูงศักดิ์ผู้นี้ชื่นชอบข่มขืนภรรยาและบุตรสาวของผู้อื่น แอบกระทำเรื่องชั่วช้าต่างๆ นับไม่ถ้วน เนื่องเพราะรู้จักกับพระสนมหูที่อยู่ในวัง จึงไม่มีผู้ใดกล้าจัดการ
เสียดายที่เขามาเจอเจ้าล่าเยวี่ย จึงต้องตายลงโดยมิทันได้ตอบโต้
พระสนมหูโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนักเมื่อได้ทราบข่าวนี้ สาบานว่าจะล้างแค้นแทนจู๋กุ้ย
กรมชิงเทียนใช้สรรพกำลังไล่ล่าตัวฆาตกรไปทั่วทุกที่ เหตุผลส่วนใหญ่เนื่องเพราะถูกในวังกดดันมา
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าคนที่สังหารจู๋กุ้ยจะเป็นเจ้าล่าเยวี่ย เจ้าแห่งยอดเขาที่เก้าของชิงซาน
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ จึงได้แต่ต้องล้มเลิกไปแต่เพียงเท่านี้ กรมชิงเทียนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซือเฟิงเฉินที่เป็นรองผู้ตรวจการณ์ถูกกีดกันจนสูญเสียอำนาจไปทั้งหมด
พระสนมจะปล่อยวางความแค้นครั้งนี้ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ? ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็ทราบในจุดนี้ดี แต่เมื่อมองดูสาวงามที่อยู่ใต้ต้นไม้คนนั้น นางกลับมิได้มีความรู้สึกหวาดกลัวใดๆ กระทั่งความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็มิได้มีแม้แต่น้อย
ต่อให้เจ้าเป็นพระสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุด หรือเจ้าจะมาปองร้ายเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซานได้?
สายตาของพระสนมหูหยุดอยู่บนใบหน้าของเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่ว ในดวงตามีเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นลุกโชนขึ้นมาก่อนจะมอดดับลงไปอย่างรวดเร็ว นางกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็คือเจ้าล่าเยวี่ย”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย “ใช่”
ไม่รู้ว่าพระสนมหูกำลังคิดอันใดอยู่ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวว่า “เมื่อช่วงปีใหม่แม่ของเจ้าเข้ามาในวัง จึงได้พบกัน ทว่าอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล จึงมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่พอจะจำได้ลางๆ เจ้าฮูหยินหน้าตางดงาม กิริยาท่าทางสุภาพอ่อนโยน เจ้ากับแม่ของเจ้านับว่าต่างกันมากทีเดียว”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น เห็นๆ อยู่ว่ากำลังประชดประชัน แต่กลับทำให้คนฟังพูดอะไรไม่ออก
ที่บอกว่าอยู่ห่างกันไกล ย่อมต้องหมายถึงสถานะของเจ้าฮูหยินต่ำต้อย จึงมิได้นั่งอยู่ใกล้นาง
แล้วนางยังบอกอีกว่าเจ้าล่าเยวี่ยมิอาจเทียบมารดาได้ เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มิอาจโต้แย้งได้ ไม่อย่างนั้นจะให้บอกว่ามารดาด้อยกว่าตัวเองหรือ?
นี่คือวิธีที่เหล่าสตรีในวังเชี่ยวชาญมากที่สุด การปะทะคารมที่ทั้งดุร้ายและแนบเนียน ยากที่จะรับมือได้
เจ้าล่าเยวี่ยมิใช่เด็กผู้หญิง ใช้วิธีเหล่านี้ไม่เป็น แต่นางมีวิธีตอบโต้ของตัวเองอยู่
“ข้าจะบอกท่านแม่ว่าต่อไปไม่ต้องเข้าวังอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าพระสนมหูแปรเปลี่ยนเล็กน้อย จากนั้นถึงได้เข้าใจว่าคู่ต่อสู้ของตนเองในวันนี้มิใช่พี่น้องภายในวังที่ดูอ่อนแอน่าหลงใหลเหล่านั้น หากแต่เป็น…ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญพรต
ตอนนี้เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ราชสำนักจำเป็นต้องให้ความเคารพ
ต่อให้นางเป็นพระสนม แล้วมีสิทธิ์อะไรไปข่มขู่อีกฝ่าย? หากใช้วิธีตามปกติที่ในวังใช้กัน เกรงว่ามันอาจจะทำให้ตนเองเป็นฝ่ายลำบากแทนได้
ส่วนบิดามารดาของเจ้าล่าเยวี่ยจะยอมทำอะไรเพราะความละโมบในลาภยศและเงินทองหรือเปล่านั้น….นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ขอเพียงเจ้าล่าเยวี่ยเอ่ยปาก ผู้เป็นพ่อของนางจะต้องลาออกจากราชการอย่างไม่ลังเล มารดาของนางก็ย่อมไม่มีทางเข้าไปในวังอีก บางทีทั้งตระกูลเจ้าอาจจะย้ายไปยังมณฑลหนานเหอก็เป็นได้
เพราะอนาคตของตระกูลเจ้าในอีกหนึ่งพันปีหลังจากนี้ล้วนแต่อยู่ที่ตัวนาง
การที่พระสนมหูที่ดูใสซื่อไร้เดียงสามารถทำให้เสินหวงทรงโปรดปรานได้ หมายความนางต้องเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมอย่างมาก ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้
ยิ่งเข้าใจมาก นางก็ยิ่งรู้สึกกลุ้มใจ
ตนเองหยิบเอาเข็มเย็บผ้าขึ้นมาเล่มหนึ่ง เตรียมจะปักผ้าเป็นรูปนกและดอกไม้เพื่อนำมาเปรียบกับอีกฝ่าย แต่ผลปรากฏว่าอีกฝ่ายมิได้ใช้วิธีปกติธรรมดา หากแต่ใช้กระบี่ฟันลงมา….
พระสนมที่กำลังกลุ้มใจไม่คิดอยากสนใจเจ้าล่าเยวี่ยอีก หากแต่หันไปมองเด็กหญิงแห่งสำนักเสวียนหลิง พลางกล่าวว่า “เซ่อเซ่อ ไม่เจอกันนานนะ”
สาวน้อยส่งเสียงเหอะออกมา มิได้สนใจนาง
พระสนมหูยิ้มพลางกล่าว “ไอหยา อายุเท่านี้กลับเจ้าคิดเจ้าแค้นถึงเพียงนี้เลยหรือ อย่าลืมสิตอนนั้นข้าเคยทำเค้กรากบัวให้เจ้ากินนะ”
สาวน้อยกล่าว “พระมเหสี เมื่อครู่ยังขวางไม่ให้ข้าเข้ามา เวลานี้มาทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมทำไม ครั้งสุดท้ายที่ท่านแม่พาข้ามาเมืองเจาเกอ ข้าเพิ่งจะสี่ขวบ จำอะไรไม่ได้”
“หรือว่าตอนนี้เจ้ามิใช่เด็กน้อยแล้ว?”
พระมเหสีหูกล่าว “ข้าไม่ให้เจ้าเข้ามาก็เพราะหวังดีต่อเจ้า”
สาวน้อยเบะปาก “เป็นเพราะท่านกลัวว่าคนในกระท่อมจะเลือกข้าต่างหาก”
หญิงสาวของสำนักเสวียนหลิงมองดูสายตาของจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย พลางกล่าวอธิบาย
ที่แท้เทียนจิ้นเหรินมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง ในหนึ่งวันจะทำนายเพียงสามคนเท่านั้น
เวลานี้ภายในกระท่อมเงียบสงบ ลั่วไหวหนานอาจจะอยู่ด้านใน เช่นนั้นวันนี้ก็จะเหลืออีกเพียงสองคนเท่านั้นที่เทียนจิ้นเหรินจะทำนายให้
พระสนมหูย่อมต้องพยายามขวางคนอื่นเอาไว้
พระสนมหูกล่าวว่า “สาวน้อยอย่างเจ้ามีคำถามอะไรต้องรีบถามอย่างนั้นหรือ?”
“แล้วท่านล่ะ?” สาวน้อยยิ้มเยาะพลางกล่าว “ท่านมานี่ก็เพราะคิดอยากจะให้กำเนิดโอรสแก่ฝ่าบาท เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ถามอีก เรื่องแบบนี้มันต้องลงมือทำต่างหาก”
คำพูดนี้เอ่ยออกไป บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
ทุกคนต่างทราบดีว่าพระสนมเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเสินหวง ได้รับการดูแลเอาใจใส่ไม่มีเสื่อมคลาย เป็นหมายเลขหนึ่งภายในวังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ…นางไม่มีลูก
แต่เรื่องแบบนี้ ต่อให้ทราบก็ต้องเก็บไว้ในใจ ใครบ้างจะพูดออกมาตรงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือพูดต่อหน้าพระสนม
พระสนมรู้สึกโกรธขึ้นมา แต่ยังคงอดกลั้นเอาไว้ ดวงตาขยับเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ารู้เรื่องมีลูกอะไรพวกนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ แล้วต้องทำอย่างไรล่ะ?”
ในขณะที่พูด ริมฝีปากและฟันของนางบดกันเบาๆ ดวงตาแวววาว แผ่กระจายเสน่ห์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
หญิงสาวแห่งสำนักเสวียนหลิงมิค่อยสบอารมณ์
สาวน้อยใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย ถ่มน้ำลายออกมาคำหนึ่ง พลางกล่าวว่า “นังปีศาจจิ้งจอก!”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ เจ้าพูดถูกต้องแล้ว
สภาวะการบำเพ็ญเพียรของพระสนมหูลึกล้ำกว่าเสี่ยวเหอที่อยู่เมืองไห่โจว แม้แต่เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มองร่างที่แท้จริงของนางไม่ออก แต่ไหนเลยจะรอดพ้นดวงตาของเขาไปได้
เขาหรี่ตาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าแม้ปีศาจจิ้งจอกตนนี้จะเคยถูกนักบวชเปลี่ยนร่างมา แต่เสน่ห์ตามธรรมชาติก็ยังทำให้คนลุ่มหลงมัวเมาได้ง่าย หากได้พบองค์ฮ่องเต้ คงต้องกล่าวเตือนเสียหน่อยแล้ว
ในขณะเดียวกันนี้เอง บนทางหินมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา
ชายหนุ่มผู้นั้นสวมชุดแพรสีขาว บนสายรัดเอวมีใบไม้สีเขียวเล็กๆ ที่บิดม้วนเล็กน้อยตกลงมาใบหนึ่ง บนใบไม้มีเศษฝุ่นสีเทาเกาะอยู่ น่าจะตกลงมาจากด้านบนศาลาที่อยู่ตรงใจกลางทะเลสาบ
คนผู้นี้ปกปิดลมหายใจของตนเองได้ดีมาก ยากจะมองเห็นความลึกตื้นของสภาวะได้ แต่การเดินเหินของเขานั้นกลับมีราศีของชนชั้นสูงแผ่กระจายออกมา
เมื่อเห็นคนผู้นี้ พระสนมหูพลันตกใจอย่างมาก นางพยักศีรษะเป็นการคารวะเล็กน้อย สีหน้าลังเล สุดท้ายก็ยืนอยู่ที่เดิมมิได้ขยับไปไหน
ชายหนุ่มเดินมาถึงตรงหน้านาง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เสด็จพ่อมิใช่ว่าไม่มีลูก เจ้าคิดจะถามอะไร?”
พระสนมหูโมโหเล็กน้อย แต่ด้วยหวาดกลัวสถานะของอีกฝ่าย มิกล้ากล่าวอะไร จึงได้แต่เบะปากแสดงความไม่พอใจของตัวเอง
เมื่อเห็นภาพนี้ เจ้าล่าเยวี่ยพลันคิดถึงสาวน้อยแห่งสำนักเสวียนหลิงที่ก่อนหน้านี้ก็เคยเบะปากแสดงความไม่พอใจเหมือนกัน จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อพระสนมผู้นี้ลดน้อยลงเล็กน้อย
ชายหนุ่มหมุนตัวมองมาทางเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนกล่าวอย่างเย็นชาว่า “สหายจากสำนักชิงซาน?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วมองไปทางสาวน้อยของสำนักเสวียนหลิง กล่ามถามว่า “เจ้าชื่อเซ่อเซ่อ? เซ่อที่หมายถึงซุนเซ่อหม่านหยวน (春色满园[1]) น่ะหรือ?”
สาวน้อยดูไม่ค่อยสบายใจ นางเหลือบมองดูชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เซ่อที่หมายถึงป้านเจียงเซ่อเซ่อ (半江瑟瑟[2])”
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวว่า “ข้าว่าน่าจะหมายถึงเซ่อเซ่อฟาโต่ว (瑟瑟发抖[3]) มากกว่า”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ย “ที่แท้ก็คือเซ่อที่หมายถึงเต๋อเซ่อ (得瑟[4])
……………………………………………………
[1]春色满园 หมายถึง ในสวนเต็มไปด้วยทิวทัศน์งดงามของฤดูใบไม้ผลิ
[2]半江瑟瑟 หมายถึง แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่ส่องประกายระยิบระยับบนแม่น้ำ
[3]瑟瑟发抖 หมายถึง ตัวสั่นด้วยความหนาวหรือความหวาดกลัว
[4]得瑟 หมายถึง อวดดี, อวดเก่ง