มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 63 ใครมีความลับกันแน่
เดิมลิขิตสวรรค์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์
โชคชะตาของมนุษย์ผูกอยู่กับตัวเสินหวงแต่เพียงผู้เดียว ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ สามารถเรียกได้ว่าเป็นลิขิตสวรรค์
สิ่งที่ชายหนุ่มชุดแพรผู้นั้นอยากถามคือเรื่องสืบทอดราชบัลลังก์ สิ่งที่พระสนมหูต้องการถามคือเรื่องลูก นั่นล้วนแต่เกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์
แต่เทียนจิ้นเหรินใช้คำพูดแบบเดียวกันปฏิเสธคำขอเข้าพบของคนสองคน ในคำพูดนั้นมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งแอบซ่อนอยู่กันแน่?
“เป็นแค่วิธีที่พวกหมอดูชอบใช้บ่อยๆ เท่านั้น ข้าเคยบอกแล้ว คนที่อยู่ในกระท่อมผู้นั้นขู่คนเก่ง”
จิ๋งจิ่วกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจว่าง่ายๆ เพียงเท่านั้นจริงหรือ?
เด็กรับใช้โมโหเป็นยิ่งนัก กล่าวว่า “ขนาดองค์ฝ่าบาทเสินหวงและท่านเทพกระบี่ยังให้ความเคารพต่อท่านอาจารย์อย่างมาก แล้วเจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงเสียมารยาทต่อท่านอาจารย์ถึงเพียงนี้!”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “หากไม่ใช่ลูกไม้ของท่านอาจารย์หมอดู แล้วสองประโยคนั้นจะอธิบายว่าอย่างไร?”
เด็กรับใช้ยิ้มเยาะกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ทรงความรู้ ในคำพูดย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้ง ไหนเลยที่คนธรรมดาอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ลิขิตสวรรค์มีเพียงหนึ่ง แล้วจะมาจากไหนสองประโยค? หากคำพูดที่ท่านอาจารย์ของเจ้ากล่าวมีความหมายลึกซึ้งจริง อย่างนั้นข้าก็สามารถสงสัยได้ใช่ไหมว่าเขาคิดจะก่อความวุ่นวายขึ้นในวัง?”
เด็กรับใช้ได้ยินเช่นนี้จึงพูดอะไรไม่ออก เขาไหนเลยจะล่วงรู้ถึงความคิดของท่านอาจารย์ แล้วไหนเลยจะกล้าพูดตอบโต้ออกไปตามอำเภอใจ จึงได้แต่ส่งเสียงเหอะออกมา มิได้สนใจจิ๋งจิ่วอีก จากนั้นหมุนตัวมองไปทางสาวน้อยเซ่อเซ่อ
เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กรับใช้ เซ่อเซ่อก็รู้ว่าเขาเตรียมจะกล่าวอะไร จึงรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก ไหนเลยจะยอมจากไปง่ายๆ แบบนี้ คิ้วเรียวเล็กเลิกขึ้นเตรียมโวยวาย
เด็กรับใช้กล่าว “ท่านอาจารย์บอกว่า มารดาของเจ้าจะแต่งงานเมื่อไหร่ ก็ต้องดูว่าเหล่าไท่จวินเบื่อหน่ายโลกนี้เมื่อไหร่”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของเซ่อเซ่อพลันเป็นประกาย จึงถามต่อว่า “เช่นนั้นคือเมื่อไหร่?”
คำว่าเบื่อหน่ายโลกนี้ที่ว่านั้นหมายถึงจากลาโลกนี้ไป
เซ่อเซ่อไม่ชื่นชอบย่าของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะจากโลกนี้ไปเร็ว สิ่งที่ตัวเองอยากรู้จริงๆ นั้นคือเรื่องอื่น
เด็กรับใช้กล่าวว่า “อย่างน้อยก็อีกสิบปี”
สาวน้อยลองคำนวณ หลังจากนี้อีกสิบปีตนเองก็เติบโตแล้ว มาตรว่าท่านแม่คิดจะแต่งงานใหม่ ถึงตอนนั้นตัวเองก็มีความสามารถมากพอที่จะช่วยดูหรือว่าห้ามปรามได้
คำถามได้รับคำตอบ สีหน้าดูดีใจขึ้นมา นางกล่าวอะไรกับเจ้าล่าเยวี่ยสองสามประโยค นัดหมายเวลาที่จะเจอกันหลังจากนี้ จากนั้นเดินออกจากป่าเหมยไปพร้อมกับหญิงสาวผู้นั้น
ในป่าเหมยเหลือเพียงจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยสองคน
เด็กรับใช้มิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่ผายมือเชิญเจ้าล่าเยวี่ยเข้าไป
ครั้งนี้เจ้าล่าเยวี่ยไม่ได้มองจิ๋งจิ่ว หากแต่เดินตรงเข้าไปในกระท่อมทันที
เวลาไหลผ่านไปอย่างแช่มช้า แสงแดดที่อยู่ระหว่างกิ่งไม้เปลี่ยนแปลงรูปร่าง
จิ๋งจิ่วยืนอยู่หน้ากระท่อมอย่างเงียบๆ มิได้ครุ่นคิดอะไร
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เด็กรับใช้ผู้นั้นเดินออกมาด้านนอกกระท่อม มายืนอยู่ตรงหน้าเขา
จิ๋งจิ่วมองเขา มิได้กล่าวกระไร
เด็กรับใช้เข้าใจความหมายของเขา กล่าวว่า “เพื่อนของเจ้าออกมาจากกระท่อมแล้ว รออยู่ทางด้านนั้น”
จิ๋งจิ่วเดินไปทางด้านนั้น
เด็กรับใช้ตกตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้สติขึ้นมา จึงรีบตะโกนขึ้นมาว่า “ช้าก่อน”
จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า
เด็กรับใช้รีบเดินตามไป ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เจ้าโชคดีมาก วันนี้ยังเหลือสิทธิ์เข้าพบอาจารย์อีกหนึ่งคน ตกเป็นของเจ้าพอดี”
เขาไม่เข้าใจ ตนเองได้บอกกล่าวแก่ท่านอาจารย์ถึงความไร้มารยาทก่อนหน้านี้ของผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มผู้นี้ ทว่าท่านอาจารย์ไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับยังต้องการจะเจอหน้าอีกฝ่ายด้วย
เพราะต่อให้เป็นกั๋วกงที่อยู่ในราชสำนักเหล่านั้น ท่านอาจารย์ก็แทบจะไม่สนใจ
สิ่งที่ทำให้เด็กรับใช้ยิ่งรู้สึกตกใจก็คือ จิ๋งจิ่วได้ยินคำพูดของเขาแล้วกลับไม่ยอมหมุนตัวกลับมา หากแต่ยกเท้าเดินต่อไปทางด้านนอกสวนดอกเหมย
“เฮ้ย! เจ้าทำอะไร?”
เด็กรับใช้ทั้งตกใจและไม่เข้าใจ ทั้งรู้สึกเหลวไหลยิ่งนัก เขาส่งเสียงตะโกนอยู่ด้านหลังไม่หยุด
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ เขาสืบเท้าเดินมาจนถึงริมทะเลสาบ เตรียมจะเดินทะลุศาลาที่มีใบไม้ทับถมหลายสิบใบหลังนั้น
ทันใดนั้นเอง เสียงที่นุ่มลึกและผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างหูของเขา
“เจ้าไม่อยากรู้เบาะแสของจิ่งหยางจริงๆ หรือ?”
……
……
จิ๋งจิ่วหยุดฝีเท้า มองดูใบไม้ที่ถูกลมพัดจนปลิวร่วงลงมาจากบนศาลา นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
เขารู้ว่านอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีใครที่จะได้ยินเสียงนี้อีก
หลบหนีออกมาจากช่องว่างของฟ้าดิน ส่งความคิดเข้ามาในหู จิตจำแนกของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก กระทั่งผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลของสำนักชิงซานเหล่านั้นก็ยังไม่อาจเทียบได้
แต่นี่ไม่เพียงพอจะทำให้เขาหยุดฝีเท้า
เหตุผลที่ทำให้เขาหยุดฝีเท้าก็คือคำถามนี้
ทั่วทั้งโลกล้วนแต่คิดว่านักพรตจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียนไปแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง
อย่างเช่นเจ้าล่าเยวี่ย แล้วก็คนสำคัญสองสามคนในสำนักชิงซาน แน่นอนว่ายังมีเขาด้วย
หากยังมีคนอื่นที่รู้ว่านักพรตจิ่งหยางบรรลุเป็นเซียนล้มเหลว เช่นนั้นคนเหล่านั้นก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
คนเหล่านั้นอาจจะเป็นคนวางแผน หรืออาจจะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นคนที่เขากำลังตามหาอยู่
แต่แน่นอนว่า เจ้าของเสียงนี้อาจจะไปได้ยินอะไรบางอย่างมาจากที่ไหนสักแห่ง จึงใช้ประเด็นนี้มาเล่นละครหลอกลวง แล้วก็อาจเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้ต้องการจะใช้คำถามนี้มายั่วยุเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จิ๋งจิ่วก็รู้ว่าตนเองควรจะไปพบอีกฝ่ายเสียหน่อยแล้ว
……
……
เมื่อเดินเข้าไปในกระท่อมเก่า มองตามตะไคร่น้ำสีเขียวเข้าไป ด้านในมีห้องเก่าๆ อยู่ห้องหนึ่ง การตกแต่งดูเรียบง่าย มีชามใส่น้ำฮวาสุ่ย[1]วางอยู่ข้างหน้าต่างชามหนึ่ง มีม่านที่ทำจากฟางผืนหนึ่งกั้นเอาไว้กึ่งกลาง
จิ๋งจิ่วเดินเข้าไปในห้อง ม่านที่ทำจากฟางลอยขึ้นมาทั้งที่ไม่มีลม ก่อนจะมัดเข้ากับเสาด้วยตัวมันเอง ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าดูค่อนข้างมหัศจรรย์ แต่เขากลับไม่เหลือบมองดูเลยแม้แต่นิดเดียว
ม่านเลิกขึ้น กลิ่นธูปลอยมาก่อน จากนั้นถึงจะเป็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
ควันอันเบาบางคล้ายม่านหมอกลอยออกมาจากธูป ก่อนจะสลายหายไปในอากาศ
คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ ผมขาวเป็นดอกเลา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาทั้งสองข้างหลุบลึก ไม่รู้มืดบอดมานานเท่าไร ดูลึกล้ำยากหยั่งถึง ทั้งยังยากที่จะบรรยายได้
บนโต๊ะนอกจากกระถางธูป ยังมีกระดาษ มีจานฝนหมึก น้ำหมึกในจานฝนหมึกสะท้อนแสงอาทิตย์ ในความมืดและความสว่าง คล้ายไม่มีการแบ่งแยกสีดำขาว
ในมือชายชราถือพู่กันขนหิมะเอาไว้ด้ามหนึ่ง กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่
พู่กันขนหิมะทำขึ้นมาจากขนอันละเอียดอ่อนตรงด้านนอกใบหูของปีศาจยักษ์แคว้นเสวี่ย หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะหลายปีมานี้ที่มีได้ทำสงครามกับแคว้นเสวี่ย พู่กันขนหิมะก็ยิ่งหาได้ยากขึ้น
แต่พู่กันที่ล้ำค่าเช่นนี้เมื่อมาอยู่ในมือของชายชรา ก็ยังดูคล้ายพู่กันขนกระต่ายที่ธรรมดาที่สุด
เป็นเพราะสีหน้าท่าทางของชายชราดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ไม่ได้สนใจอะไรในพู่กันเลย
อาจเป็นเพราะดวงตาของเขามืดบอด มองไม่เห็นขนอันละเอียดอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ แต่ความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นก็คือเขารู้แจ้งในฟ้าดินมานานแล้ว นับประสาอะไรกับพู่กันด้ามหนึ่ง?
จิ๋งจิ่วเดินไปหน้าโต๊ะ มองไป
จริงอยู่ที่น้ำหมึกที่อยู่ในจานฝนหมึกมองไม่เห็นว่าข้นหรือจาง แต่เมื่อถูกขนหิมะดูดเข้าไปแล้วลากลงไปบนกระดาษ มันกลับดูชัดเจนยิ่งนัก
นี่คือหมึกสุก
หมึกสุกคือหมึกที่วางทิ้งเอาไว้คืนหนึ่ง น้ำกับน้ำหมึกค่อยๆแยกตัวออกจากกัน เมื่อถูกปลายพู่กันเขียนลงไปบนกระดาษ จะให้ความรู้สึกงดงามที่แตกต่างออกไป
บนตัวอักษรนอกจากจะมีหมึกสีดำแล้ว ยังมีรอยน้ำซึมอยู่อีกหลายส่วนด้วย คล้ายกับร่มกระดาษที่อยู่ใต้สายฝน หรือคล้ายหญิงสาวที่มุมขมับมีหยดน้ำแต้มอยู่
ดูแล้วงดงามอย่างมาก แต่หมึกสีดำและน้ำกลมกลืนอาศัยกัน ตัวอักษรจึงดูไม่ชัดเจน
จิ๋งจิ่วมองดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ยจนเบื่อแล้ว ดังนั้นจึงไม่ชื่นชอบ
ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ แต่ตัวอักษรนี้เขียนได้ดีจริงๆ
“เขียนได้ไม่เลว”
เขากล่าว
หากเป็นคนทั่วไป ในขณะที่กล่าวชมเชย น่าจะมีการอุทานตกใจออกมาอีกสักหลายประโยค
อย่างเช่น ดวงตาของท่านมองไม่เห็น เหตุใดจึงเขียนหนังสือได้งดงามถึงเพียงนี้?
เช่นนั้นแล้วชายชราก็จะสามารถตอบได้ว่า ตัวข้าคือเทียนจิ้นเหรินแห่งสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ ล่วงรู้ยอดวิชาสวรรค์ เป็นหนึ่งในใต้หล้า ดวงตาแห่งจิตเปิดออก ทุกสรรพสิ่งอยู่ในใจ….
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวเช่นนี้
จึงไม่มีการพูดต่อจากนั้น
ดังนั้นความเงียบภายในกระท่อมจึงดูค่อนข้างกระอักกระอ่วน
เขามิได้จงใจทำเช่นนี้ หากแต่ไม่ได้สนใจจริงๆ
ในโรงหมอของเจวี่ยนเหลียนเหริน เขาเคยพูดว่าเทียนจิ้นเหรินนั้นขู่คนเก่ง
เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีความสามารถอยู่บ้างอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะมีความสามารถมากเท่าไร ต่อให้เจ้าจะชี้นำซีไหลให้กลายเป็นเทพกระบี่ได้จริง ต่อให้เจ้าจะถูกคนทั้งโลกยอมรับว่าเป็นผู้ที่เข้าใกล้วิถีแห่งสวรรค์มากที่สุดก็ตาม
จิ๋งจิ่วก็ยังคงมิได้สนใจ แล้วก็มิได้ใส่ใจ
ชายชราก้มหน้า เหมือนดั่งหิมะขาวปกคลุมยอดเขา
ภายในกระท่อมเงียบสงัด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร
ในที่สุดชายชราก็เอ่ยปากขึ้นมา
เขาถามจิ๋งจิ่วคำถามหนึ่ง
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้สนใจสิ่งใดๆ บนโลกนี้ เหตุใดจึงมาที่นี่อีก?”
…………………………………………………………………..
[1]น้ำฮวาสุ่ย คือ น้ำในแม่น้ำที่เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นในช่วงเดือนสองหรือเดือนสามตอนที่ดอกท้อบาน