มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 68 ผู้มีส่วนร่วมลึกลับ
ไม่ว่าผู้ใดได้ยินคำพูดประโยคแรก ก็ล้วนแต่ต้องคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้กำลังท้าทายจิ๋งจิ่ว
กระทั่งได้ยินคำพูดประโยคหลัง ทุกคนถึงได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเขา
นี่ถ้ามิใช่การจงใจหยามหน้าแล้วจะเป็นอะไร?
ตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยก่อนหน้านี้ ลั่วไหวหนานบอกว่าจะหักกระบี่ของจิ๋งจิ่ว เจ้าล่าเยวี่ยแผ่จิตสังหารใส่เขา เช่นนั้นหากเรื่องราวดำเนินไปตามปกติ ในเวลานี้นางก็ย่อมต้องโมโหอย่างมาก คิ้วสีดำที่เป็นเหมือนกระบี่เล่มเล็กเลิกขึ้น ในดวงตามีลำแสงกระบี่อันเยียบเย็นสว่างวาบขึ้นมา พลางกล่าวคำพูดที่มีชื่อเสียงของสำนักชิงซานประโยคนั้น บังคับกระบี่ให้ฟันไปทางชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังโต๊ะตัวนั้น
แต่เป็นเพราะช่วงเวลาในการบำเพ็ญพรตของนางยังสั้นเกินไป สภาวะไม่อาจเทียบชั้นคู่ต่อสู้ได้ จึงตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย จิ๋งจิ่วได้แต่ต้องเปิดไพ่ตาย ลงมือด้วยตัวเอง ฟันชายหนุ่มผู้นั้นขาดออกเป็นสองท่อนต่อหน้ามหาบัณฑิต ทั่วทั้งถนนเจิ่งนองไปด้วยโลหิต ภาพเหตุการณ์สยดสยองจนมิอาจทนดูได้ แล้วสำนักของชายหนุ่มจะยอมรับเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร งานชุมนุมเหมยฮุ่ยจะหยุดลงกลางคัน ยอดฝีมือขั้นแหวกทะเลโรมรันกันปานจะพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล ยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ห้ำหั่นกันจนฟ้าถล่มดินทลาย ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยฝนโลหิตกลิ่นคาวเลือด ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เวลานั้นสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยพลันรุกลงมาทางใต้ เทพดาบเพียงคนเดียวยากจะต้านทานไว้ได้ สู้จนตัวตายอย่างกล้าหาญ กองทัพเจิ้นเป่ยถูกสังหารสิ้น เมืองเจาเกอถูกตีจนแตก ราชวงศ์มนุษย์ถูกทำลาย….
ที่โชคดีก็คือ ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ยังมิทันได้เกิดขึ้นในกาลอวกาศนี้ก็ถูกจิ๋งจิ่วหยุดเอาไว้เสียก่อน
ความจริงแล้ว เมื่อก่อนเขาก็เคยทำเรื่องราวที่คล้ายๆ กันนี้ เพียงแต่ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีไม่กี่คนที่ล่วงรู้
ด้วยแรงที่กดลงมาบนมือ เจ้าล่าเยวี่ยรับรู้ถึงเจตนาของเขาได้อย่างชัดเจน
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว อารมณ์คือสิ่งที่ไร้ความหมาย เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
มิสู้สังหารด้วยกระบี่หรือไม่ก็รุกฆาต
หากไม่สามารถ ไยต้องโกรธด้วย
จิ๋งจิ่วปล่อยมือเจ้าล่าเยวี่ย เดินไปยังหน้าแผงหมากรุกท่ามกลางสายตาแปลกๆ เหล่านั้น
เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าถ้าหากไม่สนใจจริงๆ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องไปด้วย?
หากไม่ชอบจริงๆ ต่อให้ไม่ฟันกระบี่ลงไป ก็ควรจะออกไปจากตรงนี้มิใช่หรือ เหตุใดต้องฟังคำพูดของเขาด้วย?
มหาบัณฑิตกัวมองดูจิ๋งจิ่ว รู้สึกแปลกใจในความสัมพันธ์ของเขาและชายหนุ่มผู้นั้น พลางกล่าวว่า “เล่นเป็น?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “น่าจะถือว่าเป็น”
มหาบัณฑิตกัวไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเวลานี้เขาต้องการสมาธิอย่างมาก
เขาไม่เคยเดินหมากกับชายหนุ่มมาก่อน แต่เคยดูบันทึกการเดินหมากของอีกฝ่ายมามากมาย
เขาเชื่อมั่นอย่างมากว่าอีกฝ่ายคือคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหลายร้อยปี
เขาคือยอดฝีมือของอาณาจักรในวงการหมากล้อม ถึงขนาดได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในราชสำนัก แต่เขาก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
การประลองกับคนระดับนี้ เขาจำเป็นต้องรวบรวมสมาธิที่มีทั้งหมด ตัดขาดการรบกวนทุกอย่าง ถึงจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง
ชายหนุ่มผู้นั้นมิได้พูดกับจิ๋งจิ๋วอีก เขาหลับตาเริ่มทำสมาธิ
เขาไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ แต่มหาบัณฑิตกัวนั้นไม่เหมือนกับเจ้าของแผงหมากรุกเหล่านั้น
บนถนนเงียบสงัด บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
ทันใดนั้นเอง ในกลุ่มคนมีเสียงรถม้าดังขึ้นมา ทั้งยังมีเสียงกระบี่แหวกอากาศดังขึ้นด้วย
จากนั้น บนถนนก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ แล้วก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
“อยู่ที่ไหน?”
“พวกเจ้าฟังผิดหรือเปล่า บัณฑิตกัวกล่าวเช่นนี้จริงๆหรือ? ใช่คนผู้นั้นจริงๆหรือ?”
“ทำไมคนผู้นั้นถึงมาที่แบบนี้?”
คนที่สวมเสื้อผ้าไม่เหมือนกัน และมีอายุแตกต่างกันหลายสิบคนเดินทางมาถึงที่นี่
บางคนหน้าตาดูน่าเกรงขาม สวมชุดขุนนางดูสะดุดตา บางคนท่าทางดูสง่างาม สวมเสื้อคลุมยาว แล้วยังมีพ่อค้า แล้วก็มีผู้บำเพ็ญพรตที่ขี่กระบี่มา
คนเหล่านี้ต่างรู้จักกัน ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในวิถีหมากล้อมของเมืองเจาเกอ แล้วก็มีบางคนที่เป็นยอดฝีมือของอาณาจักรที่แท้จริง
เจ้าของแผงหมากรุกเหล่านั้นจำคนบางคนในนั้นได้ แล้วก็ย่อมต้องคาดเดาสถานะของคนที่เหลือได้ จึงพากันตกตะลึงกล่าวอะไรไม่ออก รีบเปิดทางให้คนเหล่านั้น
ยอดฝีมือทางวิถีมากล้อมเหล่านั้นมองดูมหาบัณฑิตกัวและชายหนุ่มผู้นั้นนั่งอยู่กันคนละฝั่งของโต๊ะ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ข่าวลือเป็นความจริง ในใจรู้สึกตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก ทว่ากลับต้องรีบปิดปากลง มิกล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา เพื่อจะได้ไม่รบกวนทั้งสองคน เพียงแต่เมื่อเห็นชายหนุ่มที่สวมหมวกลี่เม่าที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นี้คือใคร?
ชายหนุ่มผู้นั้นหลับตา คล้ายมิได้รับผลกระทบใดๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มหาบัณฑิตกัวลืมตาขึ้นมา กล่าวว่า “เริ่มเถอะ”
สายตาเขาคล้ายบ่อน้ำลึก เยือกเย็นสุขุม
ชายหนุ่มลืมตา กล่าวว่า “เชิญ”
สิ้นเสียงเชิญ เขาก็ทิ้งหมากดำเอาไว้ให้อีกฝ่ายโดยไม่ปล่อยให้มีโอกาสได้กล่าวอะไร
เหล่ายอดฝีมือทางวิถีหมากล้อมที่ตั้งใจเดินทางมาดูการประลองครั้งนี้ต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก ในใจครุ่นคิดว่าช่างหยิ่งยโสเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนดั่งที่ร่ำลือกันจริงๆ
มหาบัณฑิตกัวยังคงเยือกเย็น มิได้มีอาการโกรธหลังจากที่โดนดูถูก แล้วก็มิได้มีความรู้สึกยินดีที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาคีบหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ก่อนจะวางลงไปบนกระดานเบาๆ
ชายหนุ่มหยิบหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ก่อนจะวางลงไปยังอีกที่หนึ่งบนกระดาน
หลายคนต่างสังเกตเห็นรายละเอียดที่แตกต่างกันบางอย่าง
มหาบัณฑิตกัวใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้คีบหมากขึ้นมา วางลงอย่างแผ่วเบา การเคลื่อนไหวดูสง่างาม คล้ายกับกิ่งหลิวที่แตะลงไปบนผิวน้ำ มิได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา
ชายหนุ่มนั้นใช้นิ้วสามนิ้วคีบหมากเอาไว้ ก่อนจะวางลงตามอำเภอใจ การเคลื่อนไหวมิค่อยน่าดูเท่าไร
หมากของเขากระแทกไปบนกระดาน ส่งเสียงดังแปะ แล้วก็มิได้มีท่าทีว่าจะบุกโจมตีแต่อย่างใด เป็นแค่การเดินหมากธรรมดาเท่านั้น
ตำแหน่งที่หมากเม็ดนั้นวางลงไปก็ธรรมดาอย่างมาก มองไม่เห็นว่าจะมีอะไรยอดเยี่ยม
……
……
ที่เรียกว่ายอดเยี่ยม ย่อมต้องหมายถึงการเดินหมากที่ดีที่ถูกมองเห็นได้
ที่เรียกว่าการเดินที่ดีก็คือความได้เปรียบที่สามารถถูกคำนวณออกมาได้หลังจากนั้น
หมากตัวแรก หากมองไม่เห็นความยอดเยี่ยม ก็อาจจะเป็นเพราะพื้นที่ว่างบนกระดานยังมีอยู่มากเกินไป ยังมีพื้นที่ให้คืบหน้าต่อไปได้ไม่จำกัด ดังนั้นจึงไม่อาจคาดการณ์ได้
แต่หากในการเดินสิบกว่าตาหลังจากนั้นยังคงเป็นการเดินแบบนี้ ทั้งปกติธรรมดา จืดชืดเหมือนน้ำเปล่า และมิได้มีความยอดเยี่ยมใดๆ เลย เช่นนั้นก็หมายความว่าผู้ที่ชมการเดินหมากอยู่นั้นไม่สามารถคาดการณ์การเดินหมากที่แท้จริงหลังจากนั้นได้
นี่อาจเป็นเพราะผู้ที่เดินหมากอยู่มีระดับฝีมือที่เหนือกว่าผู้ที่ชมหมากไปมาก แต่ที่สำคัญกว่านั้นยังคงเป็นเรื่องที่ว่าเดิมทีความคิดของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
ยอดฝีมือแห่งวิถีหมากล้อมเหล่านั้นมิได้ครุ่นคิดถึงเจตนาในการเดินหมากแต่ละตัวของชายหนุ่มอีกต่อไป หากแต่รอให้สถานการณ์บนกระดานมีความชัดเจนมากกว่านี้ค่อยทำการคาดการณ์ใหม่ดีกว่า
ทว่าจิ๋งจิ่วมิได้ทำเช่นนี้
เขามองดูกระดานหมาก คิดคำนวณอยู่อย่างเงียบๆ
เดิมวิธีการเดินหมากของเขาก็ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ อยู่แล้ว
เขาเคยชินกับการเริ่มคาดการณ์ตั้งแต่การเดินตาแรก ไปจนกระทั่งจบกระดาน
วิธีการเช่นนี้สุดโต่งเป็นยิ่งนัก ต้องอาศัยสมาธิที่สูงมาก แต่เหมาะสำหรับเขาซึ่งไม่เคยเรียนรู้หมากล้อมอย่างจริงจังมาก่อน
เขาย่อมต้องรู้ว่าวิธีนี้มีปัญหาอยู่เล็กน้อย เพียงแต่เมื่อก่อนไม่มีโอกาสได้รู้สึกแบบนี้
จนกระทั่งวันนี้ ในที่สุดเขาถึงได้รู้สึกถึงมัน
ปัญหาเล็กๆ ที่ว่านั้นก็คือ — การเดินหมากแบบนี้ค่อนข้างเหนื่อย
……
……
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
คงเหลือแต่เพียงเสียงหมากที่วางลงไปบนกระดาน
ผู้คนที่ได้ยินข่าวแล้วรุดมาชมการประลองยิ่งมีมากขึ้นทุกเรื่อยๆ คนที่มาล้วนแต่เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองเจาเกอ กระทั่งกั๋วกงบางคนก็ยังเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง
การประลองหมากที่ด้านนอกสวนเหมยเก่าในวันนี้จะเป็นการประลองหมากที่ถูกจดบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์หมากล้อม
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งราชสำนักและชายหนุ่มผู้ที่เป็นเซียนแห่งวิถีหมาก ใครจะชนะใครจะแพ้?
หมากวางลงไป
เวลาไหลผ่านไป
แสงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนคล้อย
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ข้างกระดาน
สายตาบางคู่มองมาทางเขาเป็นครั้งคราว ก่อนจะเลื่อนกลับไปมองกระดาน
เขาที่สวมหมวกลี่เม่าเป็นเพียงฉากหลังของการประลองครั้งนี้ ดังนั้นย่อมต้องถูกมองข้ามเป็นธรรมดา
นอกจากชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าตัวเขาในเวลานี้ก็กำลังเดินหมากอยู่เช่นกัน
หมากที่เดินก็คือหมากกระดานนี้
ยืนอยู่ตลอด ย่อมต้องรู้สึกเหนื่อยล้า
ดังขึ้นเขาจึงหยิบเอาเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา จากนั้นนั่งลงไป
…………………………………………….