มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 7 อย่างนั้นก็ตายเสียเถอะ
ตอนที่ 7 อย่างนั้นก็ตายเสียเถอะ
Ink Stone_Fantasy
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมองดูคนประหลาดที่โพกผ้าสีเทาไว้บนใบหน้าสองคนนี้ สีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย พลางแผ่จิตจำแนกออกมาตรวจสอบดูรอบหนึ่ง
เขาพบว่าคนที่ค่อนข้างสูงผู้นั้นคือคนธรรมดา ส่วนสภาวะของหญิงสาวที่เอ่ยวาจาก่อนหน้านี้มิอาจตรวจสอบแน่ชัดได้ แต่ฟังเสียงดูแล้วยังอ่อนเยาว์ สภาวะจะสูงส่งได้ซักเท่าไรกันเชียว?
“ก็แค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าตัวเอง”
ลูกศิษย์ของสำนักซานตูคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “เช้าวันนี้ทหารยามภายในเมืองส่งสัญญาณเตือน เกรงว่าคนที่พวกเขาต้องการจะจับก็คือพวกเจ้า”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นมองดูปฏิกิริยาของจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย จึงยิ่งมั่นใจว่าการคาดเดานี้มิผิดแน่ จึงอดรู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมา
สถานที่อย่างเมืองเฉาหนานนี้ แม้นจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตก็มิอาจฆ่าคนตามอำเภอใจได้ แต่ถ้าหากคนที่ต้องการจะฆ่าเป็นคนที่มิกล้าเปิดเผยตัวตน เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดสนใจ?
ชายวัยกลางคนล้มเลิกความคิดที่จะข่มขู่เอายา เขามองดูจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเจ้าก็คือพวกเจ้าน่าจะเอายาให้พระสองรูปนั้นตอนที่อยู่ในเรือนเป่าซู่”
จากนั้นเขาก็หันไปสั่งกำชับเหล่าลูกศิษย์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฆ่าพวกมัน ระวังอย่าให้ยาเสียหาย”
……
……
ลำแสงกระบี่หลายสายปรากฏขึ้น บินพุ่งไปยังตรอกที่คับแคบ ตรงเข้าไปหาเจ้าล่าเยวี่ย
ตอนที่กระบี่บินเหล่านั้นมาถึงตรงหน้านาง จู่ๆ พลันเกิดเงาลวงตาจำนวนหลายสายแตกกระจายออกราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ยากที่จะแยกแยะได้ว่าอันไหนคือกระบี่จริง
นี่คือเพลงกระบี่สามดอกของสำนักซานตู ขึ้นชื่อเรื่องความแปลกประหลาดและการคาดเดาได้ยาก ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาหากมิได้เตรียมตัว เพียงเผชิญหน้ากันก็จะมักจะถูกโจมตีเข้า
เจ้าล่าเยวี่ยโบกมือ กระบี่มิคำนึงปรากฏ ก่อนจะบินวนรอบร่างกายนางด้วยความเร็วสูงจนมิอาจมองเห็นตัวกระบี่ได้ชัดเจน มองเห็นเพียงเส้นสีแสงแถบหนึ่งเท่านั้น
เสียงแตกหักดังขึ้น กระบี่บินเหล่านั้นกลายเป็นเศษเหล็กชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะร่วงตกลงพื้น ส่งเสียงติงๆ ตังๆ ดังชัดเจน
กระบี่บินของศิษย์สำนักซานตูถูกทำลาย ใจกระบี่เสียหายอย่างหนัก ไหนเลยยังจะทานทนไหว พวกเขาปากกระอักโลหิต ก่อนจะล้มลงไปกับพื้น
กระบี่มิคำนึงลอยนิ่งอยู่ตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย
นางมิได้คิดเลยว่าเงากระบี่ไหนกันแน่ถึงจะเป็นกระบี่จริง เพียงแค่ทำลายมันจนหมดสิ้นก็พอ
ชายวัยกลางคนผู้นั้นสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ออกมาจากกระบี่บินสีแดงเล่มนั้น ใบหน้าขาวซีด ตกตะลึงเป็นยิ่งนัก
ต่อให้เป็นกระบี่บินของเจ้าสำนัก เขาก็ยังมิเคยสัมผัสกับความรู้สึกกดดันเช่นนี้มาก่อน!
หรือนี่จะเป็นทหารเทพที่ร่ำลือกัน? อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว
ในเวลานี้ พวกเขาอยู่ห่างจากศิษย์สำนักซานตูไม่ถึงสิบจ้าง
ในระยะเท่านี้ ผู้บรรลุสภาวะสมความนึกคิดก็สามารถบังคับกระบี่ให้ไปโจมตีอีกฝ่ายได้เช่นกัน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ามิได้สังหารคนมาหลายปีแล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ตอนพวกเราเจอกันครั้งแรก เจ้าทำอะไรอยู่?”
จิ๋งจิ่วย่อมต้องรู้ว่านางมิได้หมายถึงตอนที่ตนเองกระโดดไปอยู่ตรงหน้านางในครั้งแรกสุด หากแต่หมายถึงหลังจากนั้น
เวลานั้นเขาเพิ่งจะบั่นศีรษะจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูลงมา
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ในที่สุดชายวัยกลางคนของสำนักซานตูผู้นั้นก็ได้สติขึ้นมา เขาเรียกกระบี่บินออกมาเตรียมจะขี่หนีไป
ครั้นแน่ใจว่าจิ๋งจิ่วไม่มีความคิดที่จะปล่อยกระบี่ เจ้าล่าเยวี่ยจึงส่ายศีรษะ จากนั้นยื่นมือขวาชี้ไปกลางอากาศ
กระบี่มิคำนึงพุ่งออกไป
ลำแสงกระบี่สีแดงสดสายหนึ่งส่องสว่างต้นไม้ที่อยู่ข้างทางในตรอก
ชายวัยกลางคนผู้นั้นลอยร่วงลงมาจากฟ้า ก่อนจะตกกระแทกลงไปในตรอกอย่างแรง ร่างกายและศีรษะแยกออกจากกัน โลหิตสดๆ สาดกระจาย
ลำแสงกระบี่สีแดงวกกลับมาอีกครั้งราวกับสายฟ้า มาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย
ภายในตรอกมีเสียงพรึดดังเบาๆ ขึ้นมา ศิษย์ของสำนักซานตูที่กำลังกระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวดเหล่านั้นก็มิได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ อีก เนื่องเพราะศีรษะของพวกเขาก็หลุดร่วงออกมาจากร่างกายเช่นเดียวกัน
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปยังศพเหล่านั้น ก่อนจะใช้จิตจำแนกแห่งกระบี่ตรวจสอบดูรอบหนึ่ง จากนั้นย่อตัวลงไปค้นหาอะไรบางอย่างจากในตัวศพเหล่านั้น
จิ๋งจิ่วมองดูภาพเหตุการณ์นี้ รู้สึกชื่นชมเป็นยิ่งนัก ในใจครุ่นคิดดรุณีนางนี้แข็งแกร่งกว่าตนเองเมื่อในอดีตมากนัก
เพลิงกระบี่ลอยร่วงออกมาจากกระบี่มิคำนึง ก่อนจะตกลงไปบนซากศพเหล่านั้น พริบตาก็เผาศพเหล่านั้นจนเป็นเถ้าถ่าน
จิ๋งจิ่วพลันคิดอยากรู้ หากเหล่าศิษย์ร่วมสำนักที่มองเจ้าล่าเยวี่ยเป็นเหมือนดั่งเทพธิดาได้มาเห็นภาพนี้ พวกเขาจะคิดอย่างไร
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายรู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ จึงกล่าวว่า “คนอื่นจะคิดอย่างไร มันไม่เกี่ยวกับข้า”
จิ๋งจิ่วมิได้พูดเรื่องนี้ต่อ หากแต่เปลี่ยนประเด็นว่า “เพลิงกระบี่ไม่สามารถลบร่องรอยทั้งหมดได้”
เถ้าถ่านที่แปรเปลี่ยนมาจากซากศพเหล่านั้นยังคงอยู่ อีกทั้งในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็มีหลากหลายวิธีที่จะค้นหาเบาะแสได้ อย่างเช่นรอยเลือดที่อยู่บนกำแพงเหล่านั้น มีบางสำนักที่ถนัดการใช้วิชาเชื่อมโยงสองโลก หรือกระทั่งสามารถใช้พลังในการอนุมานว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นผ่านทางร่องรอยที่หลงเหลืออยู่เหล่านี้ ซึ่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยถนัดในเรื่องนี้อย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ามิได้คิดจะกำจัดศพทำลายร่องรอย ข้าเพียงแต่คิดว่าในตรอกมีคนตายตั้งมากมายขนาดนี้ ถ้าทำให้เด็กๆ ที่เดินผ่านมาตกใจเข้าจะทำอย่างไร?”
ฆ่าคนไม่กะพริบตา เรียกได้ว่าเย็นชาไร้ซึ่งความเห็นใจ แต่ยังมิลืมรายละเอียดเหล่านี้ แสดงว่านางรักโลกนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดว่านี่ค่อนข้างคล้ายกับศิษย์พี่เมื่อในอดีตจริงๆ ทันใดนั้นเขาพลันถามว่า “เมืองเฉาหนานมีร้านหม้อไฟที่มีชื่อเสียงไหม?”
หากพูดถึงหม้อไฟ ร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดล้วนแต่อยู่ที่มณฑลอี้โจว
ทางภาคเหนือเองก็มีหม้อไฟเช่นกัน แต่รสชาติแตกต่างกับทางมณฑลอี้โจวที่เน้นเผ็ดและชาอย่างสิ้นเชิง หม้อไฟของทางเหนือส่วนใหญ่ใช้น้ำจิ้มงาในการปรับรสชาติ อย่างเช่นร้านซีไหลที่อยู่ในเมืองเจาเกอ
แต่สำหรับชาวเมืองในเมืองเฉาหนานแล้ว ร้านหม้อไฟที่ดีที่สุดย่อมต้องเป็นร้านหงเม่าไจ
รูปแบบของหงเม่าไจนั้นค่อนไปทางเหนือ มิได้มีซูโร่วที่ทอดสดๆ เจ้าล่าเยวี่ยมิค่อยพอใจ นางจึงสั่งเนื้อแพะหั่นสดที่ตนเองชอบกินที่สุดเมื่อสมัยยังเป็นเด็กมาเจ็ดจาน
จิ๋งจิ่วยังคงกินเพียงผักต้มไม่กี่ใบ ที่นี่ล้วนแต่เป็นน้ำแกงใส ตรงกับความชอบของเขายิ่งนัก
ไม่ไกลจากหงเม่าไจ บนถนนที่ร้างผู้คนสายหนึ่งมีวัดที่ดูไม่สะดุดตาอยู่แห่งหนึ่ง
สมณะแพทย์สองรูปที่มาจากวัดกั่วเฉิงพักอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว
ในเวลานี้สมณะแก่กำลังเหม่อมองดูกล่องที่อยู่ในมือ
มิจำเป็นต้องเปิดกล่องออก อาศัยเพียงกลิ่น เขาก็รู้ว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในคือแผ่นน้ำแข็งสงบจิตที่เขากำลังต้องการอย่างเร่งด่วนในเวลานี้
สมณะหนุ่มคิดถึงลำแสงกระบี่ที่นำเอากล่องยามาส่งในวัด พลันรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งๆ ที่มิได้รู้สึกหนาว พลางกล่าวว่า “อาจารย์ลุง เราต้องแจ้งเจ้าหน้าที่หรือไม่ขอรับ?”
สมณะแก่ส่ายศีรษะ กล่าวว่า “พวกเดียวกัน”
สมณะหนุ่มได้ยินพลันตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะกล่าวถามอย่างมิแน่ใจว่า “เป็นสหายจากสำนักชิงซานหรือขอรับ?”
สมณะแก่พยักหน้า
สมณะหนุ่มคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนเป่าซู่ก่อนหน้านี้ ในใจครุ่นคิดมิน่าคนที่อยู่ในห้องพักชั้นเจ็ดห้องนั้นถึงสามารถมอบยาเซวียนเฉ่าออกมาได้อย่างง่ายดาย จึงกล่าวขึ้นมาอย่างดีใจว่า “เมืองเฉาหนานอยู่ใกล้ชิงซานขนาดนี้ สำนักซานตูนั่นยังกล้าโอหังถึงเพียงดี ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”
สมณะแก่เห็นลำแสงกระบี่ จึงวิเคราะห์ได้ว่าผู้ที่ส่งยามาคือใคร ครั้นได้ฟังที่ศิษย์หลานกล่าวก็อดส่ายศีรษะขึ้นมาไม่ได้ ในใจครุ่นคิดแต่ไหนแต่ไรมาชิงซานล้วนจัดการเรื่องราวอย่างเงียบๆ ไม่ทำตัวเป็นที่สนใจ คำพูดของเจ้านี้กล่าวผิดไปแล้ว
“แล้วก็มิรู้ว่าหลิวสือซุ่ยตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
สมณะหนุ่มคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับศิษย์สำนักชิงซานในแม่น้ำจั๋วเมื่อหลายวันก่อน พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แม้นเขาจะอายุยังน้อย แต่มิเสียทีที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก อีกทั้งตอนที่เผชิญหน้ากับปีศาจตนนั้น เขายังสุขุมเยือกเย็นได้ถึงเพียงนั้น ช่างน่านับถือจริงๆ”
สมณะแก่กล่าวเสียงราบเรียบ “ความสุขุมเยือกเย็นมักจะมาจากความกล้า สหายชิงซานมิเคยขาดแคลนสิ่งนี้”
สมณะหนุ่มกล่าวอย่างเป็นห่วง “สุดท้ายเขาสลบไปอย่างไรขอรับ? ข้าตรวจดูอยู่นานก็มิรู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขามาจากที่ไหนกันแน่”
ด้านนอกวัดพลันมีเสียงตะโกนวุ่นวายดังขึ้นมา
ประตูถูกผลักออก ชายวัยกลางคนที่สวมชุดขุนนางผู้หนึ่งเดินเข้ามา ด้านหลังเขามีทหารสิบกว่านายพยายามกันชาวบ้านที่มามุงดูเอาไว้ด้านนอก
………………………………………………………..