มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 72 ตำนานของผู้หลบหนีกระบี่
ผู้หลบหนีกระบี่มิใช่ผู้บำเพ็ญพรตที่อาศัยกระบี่หลบหนีไปมาบนโลก หากแต่เป็นคนบางคนที่แอบซ่อนตัวอยู่บนโลกเพื่อหลบหนีกระบี่
กระบี่ที่พวกเขาหนีคือกระบี่ของสำนักชิงซาน
บนโลกนี้มีผู้หลบหนีกระบี่อยู่สามคน
พวกเขาล้วนแต่มีความแค้นที่ยากจะคลี่คลายได้กับสำนักชิงซาน เป็นคนที่ถูกสำนักชิงซานป่าวประกาศว่าจะต้องสังหารให้ได้
ขอเพียงพวกเขากล้าปรากฏกาย สำนักชิงซานก็จะสังหารพวกเขาด้วยกระบี่เดียว หรือไม่ก็สังหารด้วยหมื่นกระบี่
กระบี่เดียวที่ว่าคือกระบี่แบกสวรรค์ของเจ้าสำนักชิงซาน ส่วนหมื่นกระบี่นั้นหมายถึงข่ายพลังกระบี่ของชิงซาน
ห่างกันนับหลายหมื่นลี้ สังหารด้วยกระบี่เดียว นี่ฟังดูคล้ายเป็นปาฏิหาริย์ มันจะเป็นจริงได้อย่างไร?
แต่ด้วยสภาวะอันลึกล้ำจนมิอาจหยั่งถึงของเจ้าสำนักชิงซานและสุดยอดกระบี่เลื่องชื่อเล่มนั้น ทั้งยังมีรากฐานอันลึกล้ำจนยากจะจินตนาการได้ของสำนักชิงซาน ไม่แน่อาจจะทำได้จริงๆ ก็เป็นได้
แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนเชื่อในเรื่องนี้ก็คือ หลังจากที่สำนักชิงซานป่าวประกาศเรื่องนี้ออกมา ผู้หลบหนีกระบี่สามคนนั้นก็มิเคยปรากฏตัวให้เห็นอีก
ไม่ว่าสภาวะจะสูงส่งเพียงใด ไม่ว่าเบื้องหลังจะมีคนที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนค่อยสนับสนุนอยู่ แต่ทั้งสามคนก็หายตัวไป
คำเรียกขานว่าผู้หลบหนีกระบี่ก็ได้มาด้วยเหตุนี้
ล่วงเกินสำนักชิงซานจนถึงขนาดนี้ ย่อมต้องทำเรื่องที่ผิดต่อสำนักชิงซานอย่างร้ายแรงแน่นอน แล้วก็ย่อมต้องมิใช่คนทั่วไป ทั้งสภาวะและฝีมือเองก็ย่อมมิใช่ธรรมดา
ผู้หลบหนีกระบี่ที่เก่าแก่ที่สุดในตำนานคือเซียนกระบี่ขั้นทะลวงสวรรค์คนหนึ่งแห่งทะเลใต้
ในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุด เขาได้เปิดข่ายพลังขังเกาะที่สำนักของตนเองตั้งอยู่เอาไว้ในทะเลหมอกที่อยู่ข้างน้ำวนยักษ์ทางตอนใต้ จึงสามารถหลบการถูกไล่ล่าสังหารมาได้
ส่วนผู้หลบหนีกระบี่คนที่สองว่ากันว่าเป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์ก่อนหน้านี้ เขาก่อความวุ่นวายขึ้นบนโลกเพื่อที่จะชิงเอาอำนาจกลับมา จนก่อให้เกิดเรื่องราวที่น่าเศร้าขึ้นมากมาย
ภายในการก่อกบฏที่มีการบันทึกเอาไว้อย่างไม่ละเอียดครั้งนี้ สำนักชิงซานสูญเสียลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมไปหลายสิบคน
คนผู้นั้นใช้กระดองของเต่าวิญญาณหมื่นปี ถึงได้หลบหนีการไล่สังหารของยอดเขาเทียนกวงได้
มีข่าวลือบอกว่าคนผู้นี้เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองธรรมดาเมืองหนึ่งที่อยู่ข้างต้าเจ๋อ ไม่กล้าถอดกระดองเต่าออกแม้เพียงชั่วอึดใจเดียว
ผู้หลบหนีกระบี่คนที่สามนั้นมีชื่อเสียงยิ่งกว่า เขาเป็นปรมาจารย์รุ่นที่สามของสำนักเสวียนอิน ปรมาจารย์รุ่นสามผู้นี้เป็นมารชั่วที่มีชื่อเสียงอย่างมากในประวัติศาสตร์การบำเพ็ญพรต เนื่องเพราะกระทำย่ำศิษย์ของยอดเขาชิงหรง จึงถูกสำนักชิงซานสาบานว่าจะต้องฆ่าให้ได้ ตอนแรกเขาหาได้สนใจกับคำป่าวประกาศนี้ไม่ คิดจะพาสำนักเสวียนอินมาปะทะกับสำนักชิงซานซึ่งๆ หน้า ผลปรากฏว่าหลังจบศึกนองเลือด เทวสถานของสำนักเสวียนอินถูกทำลาย ยอดฝีมือในสำนักล้มตายไปกว่าครึ่ง ศิษย์ของแต่ละสาขาแตกกระจายไปยังที่ต่างๆ ในดินแดนทางเหนือ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาให้รุ่งเรืองเหมือนอย่างในอดีตได้
ปรมาจารย์ผู้นี้ถูกสำนักชิงซานตามไล่ฆ่าจนหวาดกลัวถึงขีดสุด หลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ภูเขาที่อยู่ห่างไกล ไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก
เรื่องราวของผู้หลบหนีกระบี่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าขานที่มีชื่อเสียงที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน
ผู้หลบหนีกระบี่สามคนนั้นไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลยจริงๆ ไม่แน่พวกเขาอาจจะตายไปนานแล้วก็ได้ เรื่องเล่าขานเหล่านี้ยังคงแพร่กระจายไปบนโลก กระทั่งชาวบ้านธรรมดาก็ยังรู้เรื่องนี้
แล้วก็มีการคาดเดาไปต่างๆ นาๆ หรือพูดอีกอย่างคือสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำนักชิงซานแต่งขึ้นมาเอง เพราะในเมื่อสามคนนั้นไม่กล้าเผยตัว แล้วใครจะพิสูจน์ได้? และเมื่อวันเวลาผ่านไป ข่าวลือนี้แพร่กระจายออกไปกว้างขึ้น ภาพลักษณ์ของสำนักชิงซานก็จะยิ่งดูยิ่งใหญ่ ทำให้คนเกิดความหวาดกลัว
นอกจากสำนักบำเพ็ญพรตที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่างสำนักจงโจว วัดกั่วเฉิงและสำนักเสวียนหลิงแล้ว คนที่คิดเช่นนี้นับวันจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งในวันนี้ท่ามกลางพายุหิมะที่ตกโปรยปราย มีคนเป่าขลุ่ยเดินทางมาถึงที่นี่ ยืนกล่าวว่า ‘ออกมาเถอะ’ ตรงด้านหน้าหน้าผาที่สูงชัน
หากนี่เป็นเรื่องจริง ผู้หลบหนีกระบี่ที่อยู่ในหน้าผาก็น่าจะเป็นปรมาจารย์รุ่นที่สามของสำนักเสวียนอินผู้นั้น ทั้งๆ มีสภาวะที่สูงส่งจนสะเทือนฟ้าดิน แต่กลับถูกสำนักชิงซานไล่ล่าจนไม่กล้าเผยตัว
เสียงขลุ่ยหายไป คงเหลือเพียงเสียงหวีดหวิวของลม ในภูเขาไม่มีเสียงอื่นอีก
“เจ้าน่าจะจำได้ว่าข้าเป็นใคร ตอนนี้ข้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ หรือเจ้าไม่อยากออกมาฆ่าข้าเพื่อระบายความแค้น?”
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มพลางกล่าว
หน้าผาเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา
ชายหนุ่มกล่าวเยาะเย้ยว่า “เป็นถึงปรมาจารย์ของสำนักเสวียนอิน แต่กลับถูกสำนักชิงซานของข้าไล่ต้อนเหมือนหนูตัวหนึ่ง หรือเจ้าไม่คิดว่ามันน่าขายหน้า?”
ยังคงไม่มีเสียงตอบ
ชายหนุ่มหมุนตัว เอามือเท้าเอวพลางมองดูหิมะที่ตกโปรยปราย จากนั้นกล่าวว่า “ในเมื่อข้าหาเจ้าเจอแล้ว เจ้ายังจะหลบไปที่ไหนได้อีก?”
ไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าสภาวะการบำเพ็ญเพียรยังตื้นเขิน แต่กลับกล่าววาจาเช่นนี้กับปรมาจารย์ผู้นั้น บนใบหน้ามิได้มีวี่แววของความหวาดกลัวเลย
“ถูกต้อง ขอเพียงเจ้าไม่ออกมา ข้าก็เข้าไปไม่ได้”
ชายหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้ว ยิ้มพลางกล่าวว่า “แต่ข้าสามารถแจ้งพวกเด็กๆ ที่สำนักชิงซานได้นะ”
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับเขา แต่ในส่วนลึกของใต้ดินคล้ายจะมีแรงสั่นสะเทือนที่แผ่วเบาอย่างมากแผ่กระจายขึ้นมา
“เจ้าถามว่าคนบ้าอย่างข้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มมองดูพายุหิมะที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า
“ข้าเพียงแค่อยากจะเอาของที่เป็นของข้าคืน ไพ่นกกระจอกชุดนั้นมิได้เล่นมานานแล้ว เจ้าอยากจะเป็นเพื่อนเล่นไพ่คนใหม่ของข้าหรือไม่?”
……
……
เมืองเจาเกอมีฝนตกปรอยๆ อีกครั้ง เปาะแปะๆ ตะไคร่น้ำสีเขียว ชายหลังคาเปียกชื้น
เมื่อกลับมาถึงในบ้าน จิ๋งจิ่วเดินตามระเบียงทางเดินเข้าไป เตรียมจะกลับไปยังห้องของตนเอง ครั้นเห็น ‘พี่ชาย’ ของตัวเองอยู่ในโถงด้านนอก จึงหยุดฝีเท้าแล้วถามว่า “พวกเจ้าเล่นไพ่นกกระจอกเป็นไหม?”
พี่ใหญ่ของตระกูลจิ๋งรีบตอบกลับมา “เล่นบางครั้ง แต่น้อยมาก….ท่าน…เจ้าอยากเล่นหรือ?”
“แค่ถามดู” จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องที่พูดไปเมื่อครั้งที่แล้ว จึงถามว่า “ไปพนันรายการหมากล้อมมาแล้ว?”
พี่ใหญ่ตระกูลจิ๋งเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร จึงพยักหน้าอย่างงุนงง
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ จู่ๆ พลันกล่าวว่า “ขอคืนได้ไหม?”
สีหน้าของพี่ใหญ่ตระกูลจิ๋งเปลี่ยนเป็นวิตกขึ้นมา กล่าวว่า “เหมือนจะ…ไม่ได้”
“อย่างนั้นเหรอ…แล้วในบ้านมีหนังสือที่เกี่ยวกับหมากล้อมหรือเปล่า? คืนนี้ข้าอยากจะดูหน่อย”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของพี่ใหญ่ตระกูลจิ๋งดูยินดีขึ้นมา เขากล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ข้าจะลองไปหาดู”
……
……
หลังฟังเสียงฝนอยู่ครู่หนึ่ง ดื่มชาไปชามเขียวหนึ่ง จิ๋งจิ่วก็หาหมากล้อมมาได้ชุดหนึ่ง จากนั้นเริ่มวางหมาก
ตัวหมากทยอยวางลงไปบนกระดาน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือว่าลำดับก็ล้วนแต่เหมือนกับหมากที่อยู่ด้านนอกสวนดอกเหมยกระดานนั้น
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเงียบๆ แล้วเริ่มวางหมากใหม่ ครั้งนี้เขายังคงถือหมากดำ เดินด้วยตัวเอง
ผ่านไปไม่นาน หมากกระดานนี้ก็จบลง โอกาสชนะแพ้ในท้ายที่สุดอยู่ที่ครึ่งๆ
หากเขาเริ่มเล่นตั้งแต่แรก สถานการณ์บนกระดานน่าจะดีกว่ามหาบัณฑิตกัวอยู่หน่อย แต่ก็ยังค่อนข้างเหนื่อยอยู่
ไม่รู้ว่าฝนในคืนฤดูใบไม้ผลินำพาอากาศหนาวเย็นมา หรือว่าความเหนื่อยล้าส่งผลต่ออาการบาดเจ็บ จิ๋งจิ่วไอขึ้นมาเล็กน้อย
ลู่กั๋วกงเดินออกมาจากในอุโมงค์พอดี ครั้นได้ยินเสียงไอของเขา สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนทันที พลางกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “อาจารย์เซียนเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ?”
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจ หากแต่ถามไปว่า “ถงเหยียนเป็นคนอย่างไร?”
ความจริงแล้วเขามิได้สนใจคำถามนี้ ถึงแม้เพิ่งจะเจอกันตรงด้านนอกสวนเหมยเก่า แล้วก็ได้เห็นฝีมืออันสูงส่งทางด้านวิถีหมากล้อมของเขา
ถ้าแพ้ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยจะทำอย่างไร? แพ้ก็แพ้สิ จะให้ทำยังไง? ถ้าเป็นจิ๋งจิ่วเมื่อหลายร้อยปีก่อนย่อมต้องคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน
ถึงแม้จะเป็นเขา ก็ไม่สามารถเป็นหนึ่งในใต้หล้าในทุกๆ เรื่องได้
แต่ตอนนี้เพื่อเสี่ยวล่าเยวี่ย แล้วก็…ความมั่งคั่งของตระกูลจิ๋ง เขาเหมือนจะต้องเอาชนะให้ได้เสียแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมต้องจริงจังหน่อย
คำตอบของลู่กั๋วกงทั้งรวดเร็วและชาญฉลาด
เขามิได้พูดถึงบ้านเกิด สภาวะ งานอดิเรกของถงเหยียน หากแต่พูดถึงข้อมูลเรื่องหนึ่งที่ฟังแล้วน่าเบื่อเป็นอย่างมาก
ตามปกติแล้ว ข้อมูลแบบนี้จะมีเพียงหญิงสาวตามตรอกซอกซอยบนถนนเหล่านั้นที่ชอบถามและพูดคุยกัน
“ถงเหยียนเป็นคู่หมั้นที่ฮูหยินของเจ้าสำนักจงโจวเลือกให้บุตรสาวของตนเอง แต่ตัวเขามิยินยอม”
ลู่กั๋วกงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ได้ยินว่าเป็นเพราะเขารู้มาว่าลั่วไหวหนานต่างหากที่เป็นคู่หมั่นที่เจ้าสำนักเลือกเอาไว้ให้ลูกสาวของตัวเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จิ๋งจิ่วพลันคิดถึงสาวน้อยบอบบางที่ดีดพิณในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในวันนี้ขึ้นมา
เขารู้ว่าชื่อของนางคือไป๋เจ่า
………………………………………………….