มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 73 จิ๋งจิ่วเข้าวัง
ลู่กั๋วกงเล่าข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับถงเหยียนออกมาอีก
แต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ระหว่างสำนักจงโจวและราชวงศ์ล้วนแต่ใกล้ชิด เขารับผิดชอบคอยดูแลวัดไท่ฉาง ดังนั้นย่อมต้องล่วงรู้ความลับที่คนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่รู้
จิ๋งจิ่วฟังเงียบๆ คล้ายจะพอรู้แล้วว่าเหตุใดเด็กคนนั้นจึงมักจะมีท่าทางยโสโอหัง เย็นชา มองไม่เห็นหัวผู้อื่น
เขายื่นมือไปหยิบถ้วยชามาดื่ม ก่อนจะไอออกมาเล็กน้อย
“ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ?”
สีหน้าลู่กั๋วกงยิ่งดูเป็นกังวลมากขึ้น
ผู้บำเพ็ญพรตไม่มีทางเป็นหวัด แม้นชาจะหนาวเย็นแค่ไหน ก็ไม่มีทางถูกลมหนาวเล่นงานจนไอขึ้นมาได้
ทั่วทั้งเมืองเจาเกอต่างรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนอกสวนดอกเหมยเก่าในวันนี้
เขารู้ว่าตอนนั้นจิ๋งจิ่วก็อยู่ตรงนั้นด้วย เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วอยากรู้เรื่องราวของถงเหยียน จึงอดคาดเดาขึ้นมาไม่ได้ หรือจิ๋งจิ่วจะแอบโดนเล่นงานมาโดยไม่รู้ตัว
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเจอเทียนจิ้นเหรินที่สวนดอกเหมยเก่า”
ลู่กั๋วกงเองก็ทราบเรื่องนี้ จึงรู้สึกสงสัยขึ้นมา ในใจครุ่นคิด หรือว่าตอนนั้นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“เขาจะฆ่าข้า”
จิ๋งจิ่วไม่ได้เล่าออกมาว่าเทียนจิ้นเหรินทำอะไร
เศษจิตจำแนกเหล่านั้นแอบเข้ามาในร่างกายของเขา เป็นไปได้ว่าเพื่อแอบดู
แต่วิธีแบบนี้ได้คุกคามถึงการมีอยู่ของเขา หากทำสำเร็จ ความเป็นความตายของเขาก็จะอยู่ในกุมมือของเทียนจิ้นเหริน
เช่นนั้นสำหรับเขาแล้ว นั่นคือเทียนจิ้นเหรินอยากจะฆ่าเขา
ลู่กั๋วกงสีหน้าแปรเปลี่ยน รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งดูเหมือนดอกไม้ดอกใหญ่ นั่นย่อมมิใช่เป็นเพราะดีใจ หากแต่กำลังเคร่งขรึม
เขาตกใจเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เข้าใจ เหตุใดเทียนจิ้นเหรินถึงต้องทำเรื่องแบบนี้กับจิ๋งจิ่ว
“หากคืนนี้เขายังไม่ออกไปจากสวนดอกเหมยเก่า เช่นนั้นที่เขาฆ่าข้าก็เป็นเรื่องภายในของชิงซาน”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ ลู่กั๋วกงก็ทราบว่าตนเองควรจะรีบส่งคนไปจับตาดูสวนดอกเหมยเก่าเอาไว้ทันที
เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้จิ๋งจิ่วสั่งการอีก
ลู่กั๋วกงกล่าวอย่างเป็นกังวล “เรื่องในสำนักชิงซาน ข้าอาจจะสืบได้ไม่สะดวกขอรับ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ต้องสืบ เป็นฟางจิ่งเทียน”
ลู่กั๋วกงตกตะลึงอีกครั้ง ในใจรู้สึกหนักอึ้ง
ฟางจิ่งเทียนเป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหล เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเล
จิ๋งจิ่วเอาชื่อนี้มาบอกเขา นี่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจอย่างถึงที่สุด
ขณะเดียวกัน ความเชื่อใจแบบนี้ยังหมายถึงความมั่นใจในตัวเองด้วย
เขามั่นใจว่าตระกูลลู่ไม่มีทางหักหลังตนเอง
หรือว่าไม่กล้า?
แต่ว่าเพราะเหตุใดล่ะ?
หลายปีก่อน หลังจากลู่กั๋วกงสืบทอดความลับนี้มาจากผู้เป็นบิดา เขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงคำถามนี้
จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ แต่เขาก็บอกกับตัวเองว่า — แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตนเองจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงปัญหาอะไรมากนัก
“เทียนจิ้นเหรินจัดการลำบากขอรับ”
ลู่กั๋วกงมิได้ปิดบังความลำบากใจของตน
ราชวงศ์มนุษย์มีกั๋วกงทั้งหมดยี่สิบเจ็ดคน เขาเป็นคนที่ทำตัวเรียบง่ายที่สุด แต่กลับมีอำนาจมากที่สุด ปัญหาอยู่ที่ว่าต่อให้เป็นเขาก็ยังไม่อาจจัดการเทียนจิ้นเหรินได้
อีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์ด้านการทำนายโชคชะตา ได้รับความเคารพยกย่องจากประชาชน สำนักปัญญาชนไป๋ลู่เองก็มีชื่อเสียงขจรขจาย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นทั้งสหายคนสนิทและเป็นอาจารย์ของเทพกระบี่แห่งซีไห่ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นที่ีอีกฝ่ายเดินทางมายังเมืองเจาเกอ ก็เป็นเพราะได้รับคำเชิญจากองค์ฝ่าบาทเสินหวง
ครั้นได้ยินเช่นนี้ จิ๋งจิ่วจึงแปลกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ทำไม?”
ลู่กั๋วกงมิได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ หากแต่กล่าวว่า “คำเชิญนี้ส่งออกไปพร้อมๆ กับคำเชิญของฉานจึ”
จิ๋งจิ่วเข้าใจ จึงกล่าวว่า “ฮ่องเต้ทรงอยากจะทำนายอะไร?”
ลู่กั๋วกงลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “มิกล้าคาดเดาขอรับ”
จิ่งจิ่วถาม “สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยส่งใครมา?”
สำนักบำเพ็ญพรตบนแผ่นดินมีมากมาย ผู้อาวุโสหลายคนล้วนแต่ถนัดในการคำนวณคาดการณ์ แต่สำนักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดยังคงเป็นสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและวัดกั่วเฉิง
ก่อนที่เทียนจิ้นเหรินจะปรากฏตัว ผู้บำเพ็ญพรตทุกคนล้วนแต่อยากได้คำทำนายของทั้งสองสำนักนี้
“เจ้าสำนักของสำนักแม่ชีกำลังเก็บตัว จึงไม่ได้มา”
ลู่กั๋วกงกล่าว “คนที่มาคือคนที่ลึกลับผู้นั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าคือใครขอรับ”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “อยากรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกกี่ปีหรือ?”
ลู่กั๋วกงไม่กล้ารับคำ
ฝ่าบาททรงเชิญฉานจึแห่งวัดกั่วเฉิงและเทียนจิ้นเหรินมาด้วยตัวพระองค์เอง แล้วยังคิดจะเชิญเจ้าสำนักของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมาอีก การให้ความสำคัญขนาดนี้ พระองค์ทรงคิดจะทำนายอะไรกันแน่?
ถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีอำนาจมากที่สุดบนแผ่นดิน สภาวะเองก็ลึกล้ำสุดประมาณ แต่ขอเพียงไม่สามารถบรรลุกลายเป็นเซียน อย่างนั้นในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้อยู่ดี
ในตอนที่ความตายใกล้มาเยือน ฮ่องเต้บางองค์เลือกที่จะกินยาวิเศษไม่หยุดเพื่อให้อายุขัยเพิ่มขึ้น ฮ่องเต้บางองค์เลือกที่จะไม่สนใจ ปล่อยให้อะไรจะเกิดก็เกิดไป จัดงานเลี้ยงใหญ่โตสนุกสนาน
เสินหวงองค์ปัจจุบันเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ การที่พระองค์ทรงต้องการทราบอายุขัยของตนเอง ย่อมต้องเป็นเพราะพระองค์ทรงต้องการจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เรียบร้อย ทั้งเรื่องของตนเองและเรื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์
จิ๋งจิ่วพลันกล่าวขึ้นมา “ข้าจะเข้าวัง”
นี่ย่อมต้องหมายความว่าให้ลู่กั๋วกงจัดการพาเขาเข้าไป
ลู่กั๋วกงตกใจ แต่กลับมิได้กล่าวกระไร หากแต่ถามว่า “เมื่อไรขอรับ?”
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นมา ก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้”
……
……
จู่ๆ คิดอยากจะเข้าวังในเวลากลางดึก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นจะต้องไม่มีทางทำได้แน่ ต่อให้เป็นขุนนางที่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดในราชสำนักก็ไม่มีทางทำได้
แต่ลู่กั๋วกงทำได้ เพราะงานของวัดไท่ฉางจำเป็นต้องติดต่อกับในวังเป็นประจำ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตั้งแต่ฝ่าบาทองค์ก่อนหน้าเป็นต้นมา ลู่กั๋วกงก็ได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทเสินหวงทั้งสองพระองค์เป็นอย่างมาก
ต่อให้เขาถ่อมตนทำตัวเรียบง่ายเพียงใด แต่ด้วยเรื่องราวต่างๆ ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะในท้องพระโรงหรือว่าคนที่อยู่ในวังเหล่านั้น ก็ล้วนแต่มองออกนานแล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร
ประตูเล็กตรงมุมของพระราชวังเปิดออกอย่างเงียบๆ ลู่กั๋วกงพาชายหนุ่มสวมหมวกลี่เม่าคนหนึ่งเดินเข้าไป
ภาพเหตุการณ์นี้ย่อมต้องตกอยู่ในสายตาของใครหลายคน แต่ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์หรือขันทีที่เดินผ่านมาพอดีต่างก็หมุนตัวหลบไปอีกทางอย่างรู้กัน แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในวัง ไม่อยากจะถูกมองว่ามีเจตนาที่ไม่ดี แล้วก็ไม่อยากจะถูกกล่าวหาว่าแอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของฝ่าบาท
……
……
มีเมฆลอยมาจากทางใต้ บดบังแสงดาว ภายในวังตกอยู่ในความมืด ทำให้แสงไฟในตำหนักดูอบอุ่นเป็นพิเศษ
ลู่กั๋วกงยืนอยู่บนบันไดหินตรงด้านหน้าท้องพระโรง ดวงตาหรี่เล็กเหมือนเหยี่ยวที่จ้องมองความเคลื่อนไหวรอบตัว สุดท้ายสายตากลับถูกเงาที่ยืดยาวของตนเองดึงดูดเอาไว้
เขาคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงยินยอมให้จิ๋งจิ่วเข้าเฝ้า ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นด้านในท้องพระโรงด้วย
เพราะสถานะภายนอกของจิ๋งจิ่วนั้นเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของชิงซานคนหนึ่งเท่านั้น นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เขามองดูเงาของตัวเอง ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ มุมปากค่อยๆ มีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา
คำพูดที่เขาเคยพูดกับผู้เป็นบิดาเมื่อหลายปีก่อน —- เรื่องที่เรือนกั๋วกงกังวลใจมากที่สุดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เงามืดนั้น — ตอนนี้ดูเหมือนตัวเองจะคิดมากไปเอง
บิดากล่าวถูกแล้ว
เจตจำนงของฝ่าบาทหวงเสินและเจตจำนงของผู้ครอบครองป้ายไม้นั้นตรงกันจริงๆ ด้วย
ท้องพระโรงเงียบสงบ ไม่มีเสียงพูดคุยดังลอดออกมา
บางครั้งบางคราวจะมีเสียงไอดังขึ้นมา น่าจะเป็นจิ๋งจิ่ว
บางครั้งบางคราวจะมีเสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นมา น่าจะเป็นฝ่าบาท
ผ่านไปไม่นาน ประตูท้องพระโรงเปิดออก จิ๋งจิ่วเดินออกมา
ลู่กั๋วกงไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกับฝ่าบาท แล้วก็ไม่ได้ถาม หากแต่พาเขาออกไปนอกวัง
……
……
กลับมาถึงบ้าน เมื่อเห็นหนังสือหมากล้อมวางกองเหมือนภูเขาเล็กๆ จิ๋งจิ่วยิ้มออกมา
เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดูๆ พลันรู้ได้ทันทีว่าหนังสือหมากล้อมระดับนี้มิใช่หนังสือที่ ‘พี่ชาย’ ที่อยู่ที่เรือนด้านหน้าจะสามารถหามาได้อย่างแน่นอน น่าจะเป็นฝีมือของลู่กั๋วกง
เขาชงชาเขียว หยิบเก้าอี้ไม้ไผ่ออกมา เอนกายลงไปอย่างสบาย เริ่มอ่านหนังสือ
ฝนปรอยๆ ตกลงมาอีกครา กระทบหน้าต่างเบาๆ อีกทั้งหนังสือหมากล้อมที่น่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น ช่างเหมาะแก่การเข้านอนยิ่งนัก
แต่เขามิได้นอน กระทั่งแสงอาทิตย์ยามเช้ามาเยือน ในที่สุดเขาก็อ่านหนังสือทั้งหมดจนจบ ขณะเดียวกันข่าวที่รอคอยอยู่ข่าวนั้นก็มาถึง
…………………………………………………………….