มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 74 หนึ่งก้าวหนึ่งดอก
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยจัดขึ้นวันแรกก็มีข่าวที่น่าตกตะลึงแพร่กระจายออกมาสามข่าว
ข่าวแรกคือในการประลองวิถีพิณในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ผู้ชนะในท้ายที่สุดแล้วมิใช่ไป๋เจ่าสาวน้อยอัจฉริยะแห่งสำนักจงโจว หากแต่เป็นเด็กสาวจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยคนหนึ่ง เด็กสาวนางนั้นมีนามว่ากั้วตง ว่ากันว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิของเหลียนซานเยวี่ย กิริยาท่าทางและใบหน้าดูธรรมดา นางบอกว่าตนเองเพิ่งจะเคยดีดพิณเป็นครั้งแรก แต่กลับได้รับคำชมเชยจากฉานจึ ไป๋เจ่าเองก็รู้สึกอับอายที่ไม่อาจสู้นางได้
ยังไงซะผู้ชนะก็เป็นสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย คำพูดที่แพร่หลายไปทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตประโยคนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้ง
ข่าวที่สองคือเรื่องที่ถงเหยียนมิได้เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในวันแรก หากแต่ไปยังสวนดอกเหมยเก่า เขาเอาชนะหมากรุกบนถนนที่อยู่นอกสวนเส้นนั้นไปสามสิบกว่ากระดาน เอาชนะมหาบัณฑิตกัวซึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งทางวิถีหมากล้อมแห่งราชสำนักไปในช่วงกลางกระดาน แล้วยังอีกเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกสนใจอย่างมาก นั่นก็คือบทสนทนาระหว่างเขากับจิ๋งจิ่ว
ส่วนข่าวที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนดอกเหมยเก่า
ที่แท้เทียนจิ้นเหรินที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนตามหาอย่างยากลำบากก็มาเก็บตัวอยู่ที่นี่ ลั่วไหวหนานเข้าพบเขาสำเร็จ คำถามที่เขาถามแพร่กระจายออกมา ชื่อเสียงของเขายิ่งเป็นที่เลื่องลือเหมือนอย่างที่จิ๋งจิ่วว่าเอาไว้ หลายคนรู้ว่าเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วเข้าไปในกระท่อม แต่ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาถามอะไร แล้วเทียนจิ้นเหรินตอบอย่างไร
ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนนี้ได้เกิดเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้น
จิ๋งจิ่วเข้าไปในวัง ฝ่าบาทเสินหวงพูดคุยกับศิษย์ชิงซานที่ตอนนี้ยังเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาผู้นี้อยู่นาน
ช่วงเวลาเช้าตรู่ ในสวนดอกเหมยมีหมอกจางๆ
เทียนจิ้นเหรินทำตัวเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือของสำนักกระบี่ซีไห่หรือศิษย์ของสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ที่คิดจะติดตามเพื่อให้การคุ้มครองปกป้องก็ล้วนแต่ถูกเขาปฏิเสธอย่างไม่สนใจใยดี มีเพียงเด็กติดตามคนหนึ่งที่คอยปรนนิบัติรับใช้ในชีวิตประจำวัน ยิ่งทำแบบนี้ชื่อเสียงของเขาบนโลกนี้ก็จะยิ่งดี ยิ่งได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน
เด็กรับใช้ขยี้ดวงตาที่ยังงัวเงีย ออกมาจากกระท่อมเตรียมเด็ดกิ่งเหมยสองสามกิ่งไปปักแจกัน
เจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกสวนมาทั้งคืนมองเห็นภาพนี้ จึงมั่นใจว่าเทียนจิ้นเหรินยังมิจากไป จากนั้นรีบส่งข่าวกลับเข้ามาในวัง
ไม่นาน จดหมายฉบับหนึ่งก็ถูกส่งจากในวังไปยังวัดจิ้งเจวี๋ย
จากนั้น จดหมายฉบับหนึ่งก็ถูกส่งจากวัดจิ้งเจวี๋ยมายังสวนดอกเหมยเก่า
ขณะนั้นเอง เด็กรับใช้เพิ่งจะจัดกิ่งเหมยสีแดงที่อยู่ในแจกันเสร็จร้อยร้อย ยังคงหาวออกมาไม่หยุด
เมื่อรับเอาจดหมายฉบับนั้นมา ทันทีที่นิ้วมือของเทียนจิ้นเหรินสัมผัสถูกจดหมาย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเนื้อหาในจดหมายคืออะไร มิใช่เป็นเพราะเขามีการรับรู้ที่เหนือมนุษย์แต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะความคิดที่อยู่ในจดหมายลอยเข้ามาในใจเขา
จดหมายฉบับนี้ฉานจึเป็นคนเขียนขึ้นมาเพื่อเชิญเขาไปพบที่วัดจิ้งเจวี๋ยในวันนี้
เทียนจิ้นเหรินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เตรียมรถไปวัดจิ้งเจวี๋ย”
เด็กรับใช้ตกใจ แล้วก็รู้สึกเป็นกังวล
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักฌานที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงกับท่านอาจารย์ผู้นั้นต้องการพบท่านอาจารย์ ไม่แน่อาจจะเพื่อทดสอบซึ่งกันและกันก็เป็นได้
เมื่อคืนท่านอาจารย์เพิ่งจะกระอักเลือดไป ท่านจะไหวหรือเปล่า?
……
……
ฝนหยุดไปนานแล้ว
ฝนตกลงมาทั้งคืน ดินโคลนเฉอะแฉะเหมือนเนย พื้นหินส่องประกายระยิบระยับ เหมือนหยกดำก็มิปาน
กลีบดอกไม้ถูกสายฝนพัดร่วงตกลงมาบนพื้นที่เปียกชื้น ดูคล้ายสีสันที่จิตรกรเพิ่งจะแต่งแต้มลงไป น่าดูยิ่งนัก
เทียนจิ้นเหรินมองไม่เห็นภาพอันงดงามนี้ แต่เขาได้กลิ่นความชื้นที่อยู่ในอากาศ กลิ่นควันที่ลอยออกมาจากในวัดเก่า แล้วก็กลิ่นหอมจางๆ ของกลีบดอกไม้
เขากล่าวว่า “ชมต้นพลัมและต้นท้อในฤดูใบไม้ผลิ น่าจะมีสุราสักจอก”
“ผู้ออกบวชไม่อาจดื่มสุราได้”
ไม่รู้ว่าเสียงดังขึ้นมาจากไหน
วัดจิ้งเจวี๋ยตอนเช้าเงียบสงัด ไม่มีเสียงระฆังตอนเช้า แล้วก็ไม่มีพระเดินไปเดินมา หรือธูปที่กำลังกลายเป็นควันสีขาวเหล่านั้นจะจุดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน?
เด็กรับใช้ที่เดิมคอยพยุงเทียนจิ้นเหรินอยู่ตลอดเวลาผู้นั้น ในเวลานี้ได้หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด
แผละ แผละ เสียงฝีเท้าของคนผู้นั้นฟังดูค่อนข้างแปลก คล้ายแมวกำลังดื่มน้ำ คล้ายม้าย่ำลงไปบนโคลน
นั่นคือเด็กหนุ่มผู้นั้น บนศีรษะไว้ผมสีดำบางๆ ชั้นหนึ่ง จีวรสีแดงเข้มสวมใส่บนตัวอย่างหลวมๆ ดูมิค่อยใส่ใจอะไร
ดวงตาของเขาใสกระจ่าง แต่เท้าทั้งสองข้างกลับเปลือยเปล่า มีเศษดินโคลนเปรอะเปื้อน แลดูสกปรก
เทียนจิ้นเหรินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ขอเพียงในใจมีพระ จะกินเนื้อร่ำสุราก็ย่อมได้”
สมณะน้อยโบกมือพลางกล่าว “กินแล้วคือกินแล้ว ทำแล้วคือทำแล้ว จะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ แข็งเกินไป”
เทียนจิ้นเหรินมิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่โค้งตัวคารวะเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ฉานจึเรียกข้ามา มีเรื่องใดชี้แนะ?”
ที่แท้สมณะน้อยผู้นี้คือฉานจีที่ร่ำลือกัน
ในสายตาของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป เขาคือปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับสมณะน้อยรูปนี้
แต่ตัวเขารู้ดี ไม่ว่าจะเป็นความอาวุโส สถานะหรือสภาวะ ตนเองล้วนแต่ไม่อาจเทียบอีกฝ่ายได้ กิริยาท่าทางจึงดูเคารพนอบน้อม
ฉานจึกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงเชิญอาตมาและประสกมาเมืองเจาเกอ เจตนาของพระองค์ชัดเจน ประสกมีความเห็นอย่างไร?”
เทียนจิ้นเหรินกล่าว “เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์เรา ไม่อาจปฏิเสธเพียงเพราะหนทางสู่สวรรค์ยากสอดส่อง สมควรทำนายอย่างเต็มที่ เพื่อให้พระองค์สบายพระทัย”
ฉานจึถามอย่างใครรู่ “ได้ยินว่าเมื่อวานประสกทูลองค์ชายว่าอีกร้อยปี?”
เทียนจิ้นเหรินมิได้ปฏิเสธ เขากล่าวว่า “ข้าทำนายได้คร่าวๆ เพียงเท่านี้”
ฉานจึคล้ายรู้สึกคัน จึงเกาตรงหน้าอก ก่อนจะเดินไปใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง จากนั้นเอาโคลนที่อยู่บนเท้าเช็ดไปบนต้นไม้
“อาตมาเชิญประสกมา เพราะเมื่อรุ่งเช้าได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากฝ่าบาท”
เทียนจิ้นเหรินมองไม่เห็น ในสายตาเองก็มิได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา เขากล่าวอย่างราบเรียบว่า “อย่างนั้นหรือ?”
ฉานจึกล่าว “หมึกบนจดหมายยังไม่แห้ง น่าจะเพิ่งเขียนเสร็จ ดูเหมือนฝ่าบาทจะไม่ได้บรรทมทั้งคืน ทรงกังวลพระทัยเป็นยิ่งนัก”
เทียนจิ้นเหรินอุทานชมเชยว่า “ฝ่าบาททรงเป็นห่วงอาณาจักรและประชาชนไพร่ฟ้า ทรงงานขันแข็ง ช่างเป็นบุญของประชาชนยิ่งนัก”
ฉานจึแน่ใจแล้วว่าเช็ดโคลนบนเท้าจนสะอาดสะอ้านพอประมาณ จึงพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าวว่า “เรื่องอาณาจักรและไพร่ฟ้า? ไม่ พระองค์ทรงกำลังกังวลถึงผู้สืบทอดของสหายเก่าผู้หนึ่งเท่านั้น”
เทียนจิ้นเหรินเหมือนจะเดาได้ว่าหมายถึงอะไร อารมณ์ที่อยู่ภายในดวงตาสีเทาขาวค่อยๆ นิ่งค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น
“เป็นฟางจิ่งเทียน?” จู่ๆ ฉานจึพลันถามขึ้นมา
ในตอนที่ถ้ำปลอมของนักพรตจิ่งหยางเปิดออก เขาเองก็เห็นฟางจิ่งเทียน
เพราะในตอนนั้น ฟางจิ่งเทียนเกิดความคิดที่จะสังหารจิ๋งจิ่ว
และเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงใช้เมฆดอกบัวคุ้มครองจิ๋งจิ่วออกมา
เทียนจิ้นเหรินมิได้ตอบคำถามนี้
แสงอาทิตย์ยามเช้าปกคลุมวัด ท้องฟ้าสีครามสดใส แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของดวงอาทิตย์
ฉานจึมองดูท้องฟ้าพลางกล่าวกับตัวเองว่า “หรือจะเป็นเรื่องของสหายเก่า?”
เทียนจิ้นเหรินกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ในเมื่อฉานจึมีข้อสรุปในเรื่องนี้แล้ว ที่เรียกข้ามา ย่อมมิใช่เพื่อฟังข้าอธิบาย”
ฉานจึดึงสายตากลับมา จากนั้นมองดูเขาพลางกล่าวว่า “ถูกต้อง ประสกและอาตมาต่างทราบดี ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจ พูดไม่พูด ความจริงแล้วไม่สำคัญ”
เทียนจิ้นเหรินเข้าใจความหมายของเขา แต่ก็ยังรู้สึกไม่เข้าใจ จึงกล่าวถามว่า “เหตุใดฉานจึต้องออกหน้าในเรื่องนี้?”
“เพราะเด็กหนุ่มผู้นั้นน่าจะถือได้ว่าเป็นผู้สืบทอดของสหายเก่ากระมัง”
เสียงของฉานจึเต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจและหวนคิดถึงความหลัง
หลังจากนั้น เขาย่างเท้าออกไปยังป่าที่อยู่ห่างออกไปโดยไม่สนใจว่าเท้าจะเปรอะเปื้อนโคลนเปียกๆ เหล่านั้นอีก
……
……
ฉานจึจากไปเช่นนี้
ป่าเงียบเชียบ
บนพื้นหญ้าที่อ่อนนุ่มและเปียกชื้นคือรอยเท้าที่ฉานจึทิ้งเอาไว้
ด้านล่างต้นหญ้าที่ถูกเหยียบจนหักคือดินโคลนที่เปียกชื้น
ในโคลนมีดอกบัวสีขาวงอกออกมา
หนึ่งก้าว
หนึ่งดอก
นี่คือฌานที่ฉานจึทิ้งเอาไว้
เทียนจิ้นเหรินจ้องมองดอกบัวสีขาวที่งอกออกมาจากในดินโคลน ดวงตาสีเทาขาวดูเหม่อลอย
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่
………………………………………………